×

BJC – กำไรมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นใน 2H66

27.08.2023
  • LOADING...

เกิดอะไรขึ้น:

 

ใน 3Q66TD ประเมินยอดขายสาขาเดิม (SSS) กลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ (MSC, 64% ของยอดขายปี 2565) เติบโตเล็กน้อย YoY โดยได้แรงหนุนจากการบริโภคภายในประเทศที่ฟื้นตัวและจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นใน 3Q66TD 

 

BJC จึงเพิ่มจำนวนสาขาสำหรับนักท่องเที่ยวจาก 25 สาขา สู่ 60 สาขา ด้วยการปรับปรุงร้านไฮเปอร์มาร์เก็ตและซูเปอร์มาร์เก็ตที่มีอยู่เดิมผ่านการปรับเปลี่ยนประเภทสินค้า โดยเพิ่มสินค้าที่มีราคาสูงและมาร์จิ้นสูง เพื่อให้สอดรับกับโปรไฟล์นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศในแต่ละพื้นที่สาขา โดยใช้เงินลงทุนเพียงเล็กน้อย 

 

ในปี 2566 บริษัทวางแผนขยายสาขาเพิ่ม โดยตั้งเป้าเปิดไฮเปอร์มาร์เก็ต 2 สาขา, ซูเปอร์มาร์เก็ต 2 สาขา, Big C Food Services 4 สาขา (ไม่ได้เปิดสาขาใหม่ใน 1H66), Big C Mini 180 สาขา (เทียบกับ 22 สาขาใน 1H66) และตลาด Open-Air 4 สาขา (เทียบกับที่เปิดไป 1 สาขาใน 1H66) และตั้งเป้าเร่งปรับปรุงร้านค้ารูปแบบขนาดใหญ่ให้ได้ถึง 15 สาขา (เทียบกับ 5 สาขาใน 1H66) โดยในจำนวนนี้มีไฮเปอร์มาร์เก็ต 4 สาขาที่บริษัทตั้งเป้าปรับโฉมเป็นร้านค้าคอนเซปต์ใหม่ ‘Big C Place’ (ดีไซน์ที่ทันสมัยเพื่อเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการจับจ่ายและพักผ่อนของชุมชน โดยมีผู้เช่าที่หลากหลายเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนเข้ามาใช้บริการและใช้เวลาในการเยี่ยมชมสินค้ามากขึ้น) ในปีนี้ 

 

โดยการปรับโฉมไฮเปอร์มาร์เก็ตเป็น Big C Place แห่งแรกเสร็จเรียบร้อยแล้วในเดือนกรกฎาคม 2566 คือ Big C Place ลำลูกกา BJC วางแผนมุ่งเน้นการเพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง เช่น สินค้า Private Brand และปรับปรุงการบริหารจัดการการส่งเสริมการขายและโลจิสติกส์ เพื่อเพิ่มมาร์จิ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้

 

ด้านกลุ่ม Non-MSC BJC คาดว่ายอดขายกลุ่ม Non-MSC ใน 2H66 จะปรับตัวดีขึ้น YoY ในอัตราที่เร็วกว่า 1H66 โดยได้รับการสนับสนุนจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในเวียดนาม ที่จะช่วยกระตุ้นยอดขายทั้งในกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ (PSC, 17% ของยอดขายปี 2565) และกลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภค (CSC, 14% ของยอดขายปี 2565) การเปิดตัวสินค้าใหม่ และการเริ่มเดินเครื่องสายการผลิตใหม่สำหรับกระป๋องอะลูมิเนียมในเดือนกันยายน (กำลังการผลิตในประเทศไทย +10%) 

 

สำหรับช่วงที่เหลือของปี 2566 BJC คาดว่ามาร์จิ้นของกลุ่ม CSC จะปรับตัวดีขึ้น อันเป็นผลมาจากต้นทุนน้ำมันปาล์มและค่าขนส่งที่ลดลง และมาร์จิ้นของกลุ่ม PSC จะฟื้นตัว อันเป็นผลมาจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดลง (น่าจะเริ่มเห็นผลเชิงบวกใน 2H66) การประหยัดต่อขนาดมากขึ้นจากปริมาณการขายที่ดีขึ้น และไม่มีการปิดเตาหลอมแก้วชั่วคราวเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพเหมือนใน 2Q66 (กลับมาเปิดใช้งานแล้วใน 3Q66) 

 

ส่วนอัตราภาษี BJC ประเมินว่า อัตราภาษีที่แท้จริงของบริษัทจะอยู่ที่ระดับเกือบ 15% ในปี 2566 (เทียบกับ 10% ใน 1H66) และจะเพิ่มขึ้นสู่ 15-20% ในปี 2567-2568 หลังจากทยอยใช้และสิ้นสุดระยะเวลาการใช้ขาดทุนสะสมยกมาประมาณ 9 พันล้านบาท

 

กระทบอย่างไร:

 

ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น BJC ปรับเพิ่มขึ้น 3.65%MoM สู่ระดับ 35.50 บาท ขณะที่ SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 2.20%MoM สู่ระดับ 1,557.41 จุด 

 

แนวโน้มผลประกอบการปี 2566:

 

2H66 คาดว่ากำไรจะปรับตัวดีขึ้น YoY โดยได้แรงหนุนจากยอดขายที่เร่งตัวขึ้นและการขยายตัวของมาร์จิ้น โดยคาดว่ากำไรปกติ 3Q66 จะเติบโต YoY สนับสนุนจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นและอัตรากำไรขั้นต้นที่กว้างขึ้น (ส่วนใหญ่เกิดจากมาร์จิ้นของกลุ่ม PSC ที่กว้างขึ้น เพราะต้นทุนก๊าซธรรมชาติลดลง) แต่จะลดลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาล 

 

ส่วน 4Q66 คาดว่ากำไรปกติจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี 2566 จากปัจจัยฤดูกาล และจะเติบโต YoY โดยได้รับการสนับสนุนจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นและอัตรากำไรขั้นต้นที่กว้างขึ้น (หลักๆ เกิดจากกลุ่ม Non-MSC เพราะต้นทุนก๊าซธรรมชาติลดลง)

 

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนยังคงเรตติ้ง Outperform สำหรับ BJC ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 อ้างอิงวิธี DCF (WACC 7% และการเติบโตระยะยาว 2.5%) ที่ 42 บาทต่อหุ้น

 

ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญคือ การเปลี่ยนแปลงในกำลังซื้อและต้นทุนที่สูงขึ้น จากแรงกดดันเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และนโยบายของรัฐบาลใหม่

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

X
Close Advertising