เกิดอะไรขึ้น:
ปี 2567 บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) ตั้งเป้ายอดขายปี 2567 เติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวระดับสูง YoY โดยได้แรงหนุนจากทุกกลุ่มธุรกิจ ยอดขายกลุ่ม MSC คาดว่าจะเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวระดับสูง YoY จาก SSS ที่เติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวระดับกลาง YoY และการขยายสาขา โดยใน 1Q67 SSS ของบริษัทกลับมาเติบโต 2-3%YoY ฟื้นตัวจากลดลง 0.5%YoY ใน 4Q66 ซึ่งได้รับผลกระทบจากยอดขายสินค้าที่ไม่ใช่อาหารที่ลดลงและราคาสินค้าอาหารสดที่ลดลง
สำหรับการขยายสาขาในปี 2567 BJC ตั้งเป้าเปิดไฮเปอร์มาร์เก็ตเพิ่ม 3 สาขา, ซูเปอร์มาร์เก็ต 7 สาขา, Big C Mini 200 สาขา, Big C Depot 3 สาขา และร้านขายยาเพรียว 11 สาขา ในส่วนของพื้นที่เช่าที่ว่างอยู่ 16,000 ตารางเมตร ที่สาขาราชดำริ ตั้งแต่ต้นปี 2566 (1.5% ของพื้นที่เช่าทั้งหมด) ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ก่อนหน้านี้นั้น บริษัทตั้งเป้าปรับปรุงพื้นที่ 7,000 ตารางเมตร เป็นพื้นที่เช่าใหม่ โดยตั้งเป้าแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2567
ส่วนยอดขายกลุ่ม Non-MSC คาดว่าจะเติบโตดังนี้:
- เพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขหลักเดียวระดับต่ำ YoY ในกลุ่ม PSC โดยยอดขายบรรจุภัณฑ์แก้วจะอยู่ในระดับทรงตัว YoY จากการปรับราคาผลิตภัณฑ์ลดลงตามต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงท่ามกลางยอดขายบรรจุภัณฑ์กระป๋องที่เติบโตเพิ่มขึ้นจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขหลักเดียวระดับกลาง YoY
- เพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขหลักเดียวระดับกลางถึงสูง YoY ในกลุ่ม CSC จากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่
- เพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขหลักเดียวระดับสูง YoY ในกลุ่ม H&TSC จากการกลับมาเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐใน 2H67
ในปี 2567 BJC ตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้นขยายตัว 80-100 bps YoY โดยได้แรงหนุนจากทุกกลุ่มธุรกิจ (ยกเว้นกลุ่ม H&TSC เนื่องจากยอดขายกลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์ที่มีมาร์จิ้นสูงฟื้นตัวช้า) และโครงการลดต้นทุนที่ประมาณ 30 bps YoY อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่ม MSC น่าจะเติบโต YoY โดยเกิดจากยอดขายสินค้า Private Brand มาร์จิ้นสูงที่เพิ่มขึ้น 1%YoY สู่ 13-14% ในปี 2567 และการจัดการกิจกรรมส่งเสริมการขายได้ดีขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่ม PSC และกลุ่ม CSC จะกว้างขึ้น YoY โดยได้แรงหนุนจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดลง ต้นทุนโซดาแอชที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดใน 1H67 ในกลุ่ม PSC ต้นทุนน้ำมันปาล์มที่ลดลงอย่างน้อยใน 1Q67 และสัดส่วนการขายที่ดีขึ้นในผลิตภัณฑ์มาร์จิ้นสูงใหม่ในกลุ่ม CSC
ด้านอัตราดอกเบี้ยและอัตราภาษี BJC ประเมินว่าต้นทุนทางการเงินปี 2567 จะยังอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับ 4Q66 ขณะที่การประเมินต้นทุนทางการเงินโดยเฉลี่ยได้ที่ 3.5% ต่อปี ใน 4Q66 และปี 2567 (เทียบกับ 3.2% ต่อปีโดยเฉลี่ยในปี 2566) InnovestX Research จึงคาดว่าดอกเบี้ยจ่ายจะเพิ่มขึ้น 8%YoY (450 ล้านบาท) สู่ 5.8 พันล้านบาท ในปี 2567 ทั้งนี้ ผลขาดทุนทางภาษียกมาจำนวน 6 พันล้านบาท จากทั้งหมด 7 พันล้านบาท จะหมดอายุในปี 2567 ด้วยเหตุนี้ BJC จึงคาดว่าอัตราภาษีที่แท้จริงของบริษัทจะอยู่ในช่วง Low to Mid-teen ในปี 2567 (เทียบกับ 8% ในปี 2566) และ High Teen ในปี 2568
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น BJC ปรับลง 2.04% สู่ระดับ 24.00 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลง 1.77% สู่ระดับ 1,359.39 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2567:
InnovestX Research ใช้สมมติฐานการเติบโตของยอดขายและมาร์จิ้นไว้ต่ำกว่าเป้าของ BJC โดยยึดหลักความระมัดระวัง แต่รวมเอาดอกเบี้ยจ่ายและค่าใช้จ่ายภาษีที่สูงขึ้นเข้ามาไว้ในประมาณการ ส่งผลทำให้ปรับลดประมาณการกำไรลง 4% ในปี 2567 และ 8% ในปี 2568 ในปี 2567 โดยคาดว่ากำไรจะเติบโต 8%YoY เนื่องจากยอดขายและมาร์จิ้นที่ดีขึ้นจะมากเกินพอชดเชยดอกเบี้ยจ่ายและค่าใช้จ่ายภาษีที่สูงขึ้น
ส่วน 1Q67TD ยอดขายสาขา (SSS) ของ BJC กลับมาเติบโต 2-3%YoY ฟื้นตัวจากลดลง 0.5%YoY ใน 4Q66 โดยคาดว่ากำไร 1Q67 จะเติบโต YoY จากยอดขายที่ดีขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ และมาร์จิ้นที่ดีขึ้นหลักๆ ในกลุ่ม PSC และกลุ่ม CSC จากต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานที่ลดลง แต่จะลดลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาล
ปัจจุบันหุ้น BJC เทรดที่ PE ปี 2567 ระดับ 18 เท่า ใกล้เคียงกับระดับ -2 S.D. จาก PE เฉลี่ย 10 ปี โดยคงคำแนะนำ OUTPERFORM สำหรับ BJC โดยให้ราคาเป้าหมายใหม่สิ้นปี 2567 อ้างอิงวิธี DCF (WACC 7.1% และการเติบโตระยะยาว 2.5%) ที่ 29 บาทต่อหุ้น
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือการเปลี่ยนแปลงในกำลังซื้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และนโยบายรัฐบาลใหม่ ความเสี่ยง ESG ที่สำคัญคือการบริหารจัดการพลังงาน ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนและมีคุณภาพ (E) แนวปฏิบัติด้านการจ้างงาน และความปลอดภัยของข้อมูล (S)