เกิดอะไรขึ้น:
การประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2566 ภาพรวมเป็นบวก โดย BCH ยังคงเป้ารายได้ในปี 2566 ไว้ที่ 1.25-1.3 หมื่นล้านบาท และคาดว่าการดำเนินงานจะแข็งแกร่งต่อเนื่องใน 4Q66 โดยได้แรงหนุนจาก
- กลุ่มผู้ป่วยเงินสด (Self-Pay): รายได้จากบริการที่ไม่เกี่ยวกับโควิดที่เพิ่มขึ้นทั้งจากผู้ป่วยคนไทยและผู้ป่วยต่างชาติ
- บริการกลุ่มผู้ป่วยประกันสังคม (SC): การได้รับรายได้เพิ่มเติมสำหรับโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (RW > 2) และรายได้ที่สูงขึ้นจากโครงการความร่วมมือกับสำนักงานประกันสังคมเพื่อให้บริการรักษาโรคซับซ้อน 5 โรค
- ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลงที่โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์ ใน สปป.ลาว หลังจากโรงพยาบาลแห่งนี้ชำระหนี้สกุลบาทครบทั้งหมดแล้วในเดือนกันยายน
ปี 2567 จะเป็นปีที่ดีขึ้น BCH ตั้งเป้าหมายเบื้องต้นไว้ว่า รายได้จะเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักในปี 2567 โดยได้รับการสนับสนุนจาก
- การขยายและปรับปรุงโรงพยาบาลที่มีอยู่เดิมที่เริ่มทยอยแล้วเสร็จในช่วงเดือนพฤษภาคม 2566 – มกราคม 2568 ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการผู้ป่วย
- ความสามารถในการรักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้น: เปิดศูนย์มะเร็งรังสีรักษา เกษมราษฎร์อารี เพื่อให้บริการผู้ป่วยโรคมะเร็งใน 3Q67, เปิด Kasemrad Plastic Surgery Center เพิ่ม 2-4 แห่ง, ขยายศูนย์หัวใจเพื่อให้บริการเต็มรูปแบบที่โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ฉะเชิงเทรา และเปิดศูนย์จีโนมิกส์เพิ่ม
- การเพิ่มสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติจาก 17% ใน 9M66 สู่ 20% ในปี 2567
โรงพยาบาลใหม่ 3 แห่งมีการดำเนินงานดีขึ้น ได้แก่ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล อรัญประเทศ, โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์ และโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ปราจีนบุรี รายงาน EBITDA รวม 20 ล้านบาทใน 3Q66 ปรับตัวดีขึ้นจาก 15 ล้านบาทใน 2Q66 BCH คาดว่าโรงพยาบาลสองแห่งแรก (ตั้งเป้าให้บริการผู้ป่วยเงินสด) จะคุ้มทุนที่ระดับกำไรสุทธิภายในสิ้นปี 2567 และโรงพยาบาลหลังสุด (ตั้งเป้าให้บริการผู้ป่วยประกันสังคม) จะคุ้มทุนที่ระดับกำไรสุทธิในเวลาต่อมาภายใน 1.5 ปี
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น BCH ปรับขึ้น 4.98%MoM สู่ระดับ 21.10 บาท ขณะที่ SET Index ปรับขึ้น 1.06%MoM สู่ระดับ 1,414.15 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2566:
InnovestX Research ปรับประมาณการกำไรปกติของ BCH เพิ่มขึ้น 7% ในปี 2566 และ 6% ในปี 2567 และคาดว่ากำไรปกติจะทำจุดสูงสุดของปีนี้ใน 4Q66 โดยอิงกับการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลง
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น BCH ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 4% ดีกว่า SET ที่เพิ่มขึ้น 1% และเชื่อว่า BCH จะปรับตัว Outperform SET ได้อย่างต่อเนื่อง โดยได้แรงหนุนจากการดำเนินงานและผลประกอบการที่แข็งแกร่งขึ้นใน 4Q66 – ปี 2567 ซึ่งคาดว่ากำไรปกติจะเติบโต 18% สู่ 1.7 พันล้านบาทในปี 2567 (ดีกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มการแพทย์ที่จะเติบโต 11%) โดยได้แรงหนุนจากการดำเนินงานที่ดีขึ้นของโรงพยาบาลใหม่
กลยุทธ์การลงทุนให้เรตติ้ง Outperform สำหรับ BCH ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 อ้างอิงวิธี DCF ที่ปรับใหม่เป็น 24 บาทต่อหุ้น (เพิ่มขึ้นจาก 23 บาทต่อหุ้น) โดยอิงกับ WACC ที่ 6.5% และการเติบโตระยะยาวที่ 3% และเลือก BCH เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มการแพทย์
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น การเกิดโรคระบาดใหญ่ที่จะส่งผลกระทบทำให้ผู้ป่วยชะลอการเข้าใช้บริการ การแข่งขันรุนแรง การขาดแคลนบุคลากร และความเสี่ยงด้านกฎหมาย