เกิดอะไรขึ้น:
เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) รายงานกำไรสุทธิ 1.9 พันล้านบาทใน 2QFY66 (มกราคม-มีนาคม 2566) ฟื้นตัวจากขาดทุนสุทธิ 3.3 พันล้านบาทใน 2QFY65 และเพิ่มขึ้นอย่างมากจากกำไรสุทธิ 343 ล้านบาทใน 1QFY66 กำไรสุทธิสูงกว่าตลาดคาด 18% โดยได้รับการสนับสนุนจากรายได้และอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง สำหรับ 1HFY66 (ตุลาคม 2565 – มีนาคม 2566) AOT มีกำไรสุทธิ 2.2 พันล้านบาท ฟื้นตัวจากขาดทุนสุทธิ 7.5 พันล้านบาทใน 1HFY65
รายการที่สำคัญใน 2QFY66 ดังนี้
- ใน 2QFY66 AOT รายงานจำนวนผู้โดยสารรวมทั้งหมด 26 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 15%QoQ, 68% ของระดับก่อนเกิดโควิด) ซึ่งประกอบด้วยผู้โดยสารระหว่างประเทศ 14 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 27%QoQ, 60% ของระดับก่อนเกิดโควิด) และผู้โดยสารภายในประเทศ 12 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 4%QoQ, 80% ของระดับก่อนเกิดโควิด)
- รายได้อยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านบาทใน 2QFY66 เพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 3 พันล้านบาทใน 2QFY65 และเพิ่มขึ้น 25%QoQ รายได้ค่าบริการผู้โดยสาร (43% ของรายได้) เพิ่มขึ้น 31%QoQ สู่ 4.7 พันล้านบาท และรายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ (26% ของรายได้) เพิ่มขึ้น 23%QoQ สู่ 2.8 พันล้านบาท
- ต้นทุนการดำเนินงานของ AOT เพิ่มขึ้น 4%QoQ ซึ่งช้ากว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นทุนส่วนใหญ่เป็นต้นทุนคงที่ ด้วยเหตุนี้อัตรากำไรจากการดำเนินงานจึงเพิ่มขึ้นสู่ 34.2% ใน 2QFY66 จาก 21.4% ใน 1QFY66
กระทบอย่างไร:
วันนี้ (15 พฤษภาคม ณ 12.30 น.) ราคาหุ้น AOT ไม่เปลี่ยนแปลง DoD ที่ระดับ 73.25 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลดลง 0.67%DoD อยู่ที่ระดับ 1,550.85 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2566:
ในปี FY2566 (ตุลาคม 2565 – กันยายน 2566) ผลประกอบการของ AOT จะฟื้นตัวกลับมามีกำไร 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งบ่งชี้ว่ากำไรจะเร่งตัวขึ้นในระยะถัดไป โดยได้แรงหนุนจากจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศที่เติบโตเพิ่มขึ้น และการกลับมาเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ
ในเดือนเมษายนจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศของ AOT อยู่ที่ 67% ของระดับก่อนเกิดโควิด และคาดว่ากำไรปกติของ AOT จะเพิ่มขึ้นใน 3QFY66 (เมษายน-มิถุนายน 2566) หลังจากบริษัทกลับมาเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2566 โดยเฉพาะค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่อผู้โดยสารสำหรับ 3 สัมปทานใหม่ที่มอบให้กับ King Power ในปี 2562
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนคงเรตติ้ง Outperform สำหรับ AOT ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 อ้างอิงวิธี DCF ที่ 82 บาทต่อหุ้น โดยอิงกับ WACC ที่ 7.4% และอัตราการเติบโตระยะยาวที่ 2%
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือเหตุการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะทำให้ความต้องการเดินทางลดลง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- คัดมาให้ 9 หุ้น SETHD ปันผลเกิน 3.50% ต่อเนื่องติดกัน
- 8 อันดับหุ้นกลุ่มน้ำมันสุดแกร่ง ผลตอบแทนราคา YTD ปี 65 ยังบวก
- หุ้น AURA พุ่งแรง! เข้าเทรดใน SET วันแรกด้วยราคาเปิดที่ 13.90 บาท เพิ่มขึ้น 27.52% จากราคา IPO