มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงข่าวสรุปผลการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลก ประจำปี 2568 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-14 มิถุนายน ที่กรุงเทพมหานคร ภายใต้หัวข้อ “การทูตเชิงรุกที่ตอบโจทย์ประชาชน: จากนโยบายสู่การปฏิบัติ”
ในวันเดียวกัน เวลา 18.26 น. คณะเอกอัครราชทูต กงสุลใหญ่ และผู้บริหารกระทรวงการต่างประเทศ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ให้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อรับพระราชทานพระบรมราโชวาทเกี่ยวกับการเจริญไมตรีกับมิตรประเทศ ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศระบุว่า การประชุมในปีนี้มีขึ้นในช่วงเวลาสำคัญที่โลกกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและระเบียบโลกใหม่จากการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ของมหาอำนาจ ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจของไทยโดยตรง จึงเป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่ประเทศไทยต้องปรับตัวอย่างรอบด้าน
เป้าหมายของการประชุม คือ การเปิดพื้นที่ให้เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้กำหนดนโยบายของไทย ทั้งจากภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะในประเด็นเศรษฐกิจซึ่งเป็นวาระสำคัญของรัฐบาล โดยมีผู้บริหารจากหลากหลายหน่วยงานเข้าร่วม อาทิ พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒน์ฯ, ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท., ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานหอการค้าไทย และ นาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ที่ประชุมได้ร่วมกันระดมสมองเพื่อจัดทำ แผนปฏิบัติการด้านการทูตเชิงรุก ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงและตอบโจทย์ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม
ในการเปิดการประชุมเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน นายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายผ่านบันทึกวีดิทัศน์ โดยมอบหมายให้คณะทูตร่วมกันวิเคราะห์และปรับยุทธศาสตร์การต่างประเทศของไทย ให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของโลก โดยคำนึงถึงความท้าทาย โอกาส และจุดแข็งของไทย เพื่อวางตำแหน่งประเทศให้ได้รับประโยชน์สูงสุด
หลังการหารืออย่างเข้มข้นตลอด 4 วัน ที่ประชุมเห็นตรงกันว่าจำเป็นต้องดำเนินการ 2 เรื่องหลัก ได้แก่
(1) การปรับกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) ของนโยบายต่างประเทศ
(2) การปรับกระบวนยุทธ์ (Strategic Recalibration) ของทีมประเทศไทย
ในด้านกระบวนทัศน์นโยบายต่างประเทศ มีแนวคิดหลัก 3 ประการ ได้แก่:
1. Repositioning ประเทศไทย: ใช้ยุทธศาสตร์ลดและกระจายความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ (Geo-strategic de-risking & Multiple Alignment) เพื่อรักษาสมดุลเชิงยุทธศาสตร์ และขยายความร่วมมือกับมหาอำนาจขนาดกลางและประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่มีบทบาทสร้างสรรค์
2. Rebranding ประเทศไทย: วางภาพลักษณ์ใหม่ของประเทศบนเวทีโลก ด้วยจุดยืนและอัตลักษณ์ที่ชัดเจน โดยใช้ “คุณค่าเชิงยุทธศาสตร์” และ Modern Soft Power เป็นเครื่องมือหลัก ซึ่งไม่เพียงส่งเสริมภาพลักษณ์ แต่ยังช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมและสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแก่ประชาชน เป้าหมายคือการเปลี่ยนบทบาทของไทยจาก “มิตรของทุกคน” ไปสู่ “มิตรที่ทุกคนขาดไม่ได้”
3. การทูตเชิงรุก (Proactive Diplomacy): โดยเฉพาะการทูตเพื่อเสถียรภาพในภูมิภาค เน้นการเสริมความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน และเสริมบทบาทของอาเซียนและกลุ่มความร่วมมือต่างๆ
ขณะเดียวกัน การทูตเศรษฐกิจเชิงรุกถูกเน้นย้ำทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ในระยะสั้น จะมุ่งส่งเสริมการส่งออก แก้ไขอุปสรรคทางการค้า เพิ่มมูลค่าการท่องเที่ยวโดยเฉพาะกลุ่ม high spenders และดึงดูดการลงทุน รวมถึงกลุ่ม talent และ wealth จากทั่วโลก
ในระยะกลางและยาว จะเน้นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย และการเข้ามีบทบาทในเวทีโลก ผ่านแนวทางสำคัญ อาทิ:
- การผลักดันการเจรจาความร่วมมือทางการค้าและการลงทุน (โดยเฉพาะ FTA ใหม่ๆ)
- การเพิ่มบทบาทใน OECD และ BRICS
- การผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ เพื่อเสริมความเชื่อมโยงในภูมิภาค
- การลงทุนด้านพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีลดคาร์บอน
- การร่วมกำหนดระเบียบโลกในประเด็นใหม่ เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล, จริยธรรมในการใช้ AI, และความมั่นคงทางไซเบอร์
ในส่วนของ กระบวนยุทธ์ของทีมประเทศไทย รัฐมนตรีต่างประเทศย้ำว่าต้องผลักดันให้เกิด เอกภาพในการขับเคลื่อนนโยบายต่างประเทศ โดยยกระดับกลไกความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชน
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญ คือ การพัฒนาบริการด้านกงสุล และการดูแลคนไทยในต่างประเทศให้มีประสิทธิภาพและตอบสนองสถานการณ์ต่างๆ ได้ทันเหตุการณ์
ในการประชุมครั้งนี้ ยังมีการสื่อสารประเด็นนโยบายที่ประชาชนให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง เช่น การดูแลแรงงานและนักศึกษาไทยในต่างประเทศ แผนอพยพฉุกเฉิน สถานการณ์ในเมียนมา การหลอกลวงทางโทรคมนาคม แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และสถานการณ์ในตะวันออกกลาง โดยทำงานร่วมกับหลายหน่วยงาน เช่น กรณีตัวประกันในฉนวนกาซา และลูกเรือประมงไทยในเมียนมา
หลังการประชุม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้มอบหมายให้เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ นำประเด็นจากการหารือไปจัดทำแผนปฏิบัติการ พร้อมตัวชี้วัดที่ชัดเจน และให้มีการรายงานผลการดำเนินงานเป็นระยะต่อนายกรัฐมนตรี ตามที่ได้รับพระราชดำริในพิธีปิดการประชุม
มาริษสรุปว่า การต่างประเทศในศตวรรษที่ 21 ต้องเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายสาธารณะ ที่ไม่เพียงขับเคลื่อนผลประโยชน์ของรัฐ แต่ต้องตอบสนองประชาชนอย่างเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง
อ้างอิง:
- กระทรวงการต่างประเทศ