สถานีโทรทัศน์ CNN รายงานความเห็นของผู้เชี่ยวชาญและนักวิเคราะห์ ซึ่งบรรยายทิศทางแนวโน้มของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในเดือนมีนาคมว่าจะตกอยู่ในภาวะผันผวนอย่างหนักหน่วง เนื่องจากต้องเผชิญกับปัจจัยกดดันทั้งภายในและภายนอก ไม่ว่าจะเป็นสงครามยูเครน, การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed, ภาวะเงินเฟ้อ, วิกฤตโควิด และปัญหาราคาน้ำมัน
ทั้งนี้ในช่วงต้นเดือนที่รัสเซียบุกยูเครน นักลงทุนวิตกกังวลหนักจนฉุดดัชนีอุตสาหกรรม Dow Jones ร่วงลงมากกว่า 800 จุด ก่อนที่จะทยอยฟื้นตัวกลับมากได้บ้างที่ 2.5 เปอร์เซ็นต์ ส่วนดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 2 เปอร์เซ็นต์ และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 1 เปอร์เซ็นต์ กระนั้นโดยภาพรวมแล้วในเดือนมีนาคมนี้ตลาดหุ้นยังคงปรับตัวในช่วงขาลงมากถึง 9 เปอร์เซ็นต์
รายงานระบุว่า เดือนมีนาคมมักจะเป็นเดือนที่มีความเคลื่อนไหวในตลาดที่ชวนให้ตกตะลึงเสมอ ยกตัวอย่างเช่น ความเฟื่องฟูของยุคดอตคอมในช่วงปลายทศวรรษ 1990 สิ้นสุดลงในเดือนมีนาคม 2000 เมื่อดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้นสูงสุดและร่วงลงมากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ในเดือนดังกล่าว ขณะที่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว หุ้นร่วงลงในเดือนมีนาคมหลังจากการระบาดของโควิดในอเมริกาเริ่มต้นขึ้น ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั่วประเทศต้องหยุดชะงัก
นอกจากนี้ภาวะถดถอยครั้งใหญ่ หรือ Great Recession จากวิกฤตการเงินในปี 2008 ก็เข้าสู่ช่วงพีคในเดือนมีนาคมปี 2009 โดยครั้งนั้นหุ้นร่วงลงหนักจนแตะระดับต่ำสุด คือ ลดลงเกือบ 60 เปอร์เซ็นต์จากระดับสูงสุดในเดือนตุลาคมปี 2007
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์กล่าวว่า หากนักลงทุนศึกษาข้อมูลมาอย่างดีและลงทุนด้วยความระมัดระวัง ก็สามารถทำผลงานได้ดีในช่วงเดือนมีนาคมท่ามกลางความผันผวนนี้ได้เช่นกัน เพราะจากการศึกษาข้อมูลตลาดหุ้นของ Yardeni Research ซึ่งย้อนไปถึงช่วงปี 1928 พบว่าตลาดหุ้นในช่วงเดือนมีนาคมปรับตัวขึ้น 57 ครั้ง และปรับตัวลงอีก 37 ครั้ง
ไรอัน ดีทริก (Ryan Detrick) หัวหน้านักกลยุทธ์ตลาดจาก LPL Financial ระบุว่า ความเคลื่อนไหวของตลาดในแดนลบนับตั้งแต่ต้นปีอาจไม่ใช่เรื่องที่ดีนักในสายตานักลงทุน แต่อย่างน้อยก็โชคดีว่าหลังจากนี้ไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ ที่น่ากังวล และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed น่าจะเป็นข่าวดีสำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ตลอดช่วงระยะเวลาที่เหลือของปีนี้
ขณะเดียวกันทางด้านเว็บไซต์การลงทุน Investing.com ได้ประมวล 5 ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามองในรอบสัปดาห์นี้ เนื่องจากจะมีผลกระทบต่อการลงทุนในตลาด ประการแรกก็คือทิศทางความเคลื่อนไหวของตลาดวอลล์สตรีท หลังจากที่ Fed ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย ว่าจะยังมีแรงหนุนขยับขึ้นมาในแดนบวกได้มากน้อยแค่ไหน
ประการที่สองยังคงเป็นสถานการณ์สงครามในยูเครน ที่ต้องรอดูว่ารัสเซียกับยูเครนจะสามารถบรรลุข้อตกลงในการเจรจายุติสงครามได้หรือไม่ ส่วนประการที่สามก็คือถ้อยแถลงของเจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed ที่จะแสดงความเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มทิศทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ตลอดทั้งปี 2022
สำหรับประการที่สี่ก็คือราคาน้ำมัน หลังจากปรับตัวลดลงแรงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากแรงกดดันด้านดีมานด์ที่มีมากกว่าซัพพลายในตลาด โดยสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) กล่าวว่า ตลาดน้ำมันอาจสูญเสียน้ำมันจากรัสเซียถึง 3 ล้านบาร์เรลต่อวันตั้งแต่เดือนเมษายน ซึ่งการสูญเสียนั้นจะมากกว่าความต้องการที่ลดลงแล้วจากราคาเชื้อเพลิงที่แพงขึ้น
ส่วนประการสุดท้ายคือ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ หรือ PMI ของยูโรโซนและอังกฤษ ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญต่อแนวโน้มของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในอนาคต และวัดว่าสงครามยูเครนได้สร้างผลกระทบให้กับยุโรปมากน้อยแค่ไหน
อ้างอิง:
- https://edition.cnn.com/2022/03/19/investing/march-stock-market-volatility/index.html
- https://m.investing.com/news/economy/top-5-things-to-watch-in-markets-in-the-week-ahead-2788028
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP