มาร์ค มาร์เกวซ สร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งด้วยการคว้าแชมป์โลกจักรยานยนต์ทางเรียบเป็นสมัยที่ 9 โดยเป็นแชมป์ในรุ่นโมโตจีพี เป็นสมัยที่ 7 หลังคว้าอันดับ 2 ในรายการ เจแปนิส กรังด์ปรีด์ ที่สนามโมเตกิ
ความสำเร็จดังกล่าว ทำให้ มาร์เกซ เป็นแชมป์โลกรุ่นโมโตจีพีสูงสุดสมัยที่ 7 ของเขา เทียบเท่าสถิติของ วาเลนติโน รอสซี นักขับระดับตำนานชาวอิตาลี
ความสำเร็จครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในการกลับมาครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์วงการกีฬา หลังจากที่เขาต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากนานถึง 6 ปี หรือ 2,184 วัน นับตั้งแต่คว้าแชมป์ครั้งล่าสุดในปี 2019
แชมป์โลกครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ มาร์เกซ ต้องผ่านช่วงเวลา 4 ปีที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความไม่แน่นอน อันเนื่องมาจากอาการบาดเจ็บรุนแรงที่แขนขวาจากอุบัติเหตุในปี 2020
เขาต้องเข้ารับการผ่าตัดที่แขนและไหล่ขวาถึง 5 ครั้งนับตั้งแต่ปี 2019 พลาดการแข่งขันไป 30 สนาม และมีสถิติการล้มถึง 108 ครั้ง
ความยากลำบากทั้งทางร่างกายและจิตใจที่เกิดขึ้น มันมากเกินกว่าที่นักบิดผู้เคยคว้าแชมป์โลก 8 สมัยในขณะนั้นจะรับไหว และทำให้เขาเคยคิดที่จะอำลาวงการไปเลยด้วยซ้ำ
เขาเปรียบเปรยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนการ “สู้กับตัวเอง” การคว้าแชมป์ครั้งนี้จึงเป็นบทพิสูจน์ถึงความทรหดอดทน การไม่ยอมแพ้ และความแข็งแกร่งทางจิตใจที่น่าทึ่งของเขา ซึ่งเขาเองยอมรับว่าเป็น “ความท้าทายที่ยากที่สุดในอาชีพ”
แต่หลังจากผ่านการคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว มาร์เกซ ได้ทำการตัดสินใจครั้งใหญ่ที่พลิกผันอาชีพของเขา คือ การยอมยกเลิกสัญญามูลค่ามหาศาลกับฮอนด้า เพื่อย้ายไปร่วมทีมรองอย่างเกรซินี เรซซิง
การกระทำนี้เป็นการเดิมพันกับความสามารถของตัวเอง โดยเป้าหมายสูงสุดของการย้ายทีมครั้งนี้ คือการได้เข้าร่วมทีมโรงงานของดูคาติ ที่นับได้ว่าเป็นทีมที่มีรถดีที่สุดในปัจจุบัน เพื่อพิสูจน์ว่า หากเขาได้คร่อมรถที่ดีพอ เขาก็ยังเป็นยอดนักบิดคนเก่า
แผนการของ มาร์เกซ ประสบความสำเร็จเกินกว่าที่คาดฝัน และการย้ายทีมไปสู่ดูคาติ ที่เกิดขึ้นช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
การตัดสินใจที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะกลับมาเป็นแชมป์อีกครั้ง โดยให้ความสำคัญกับศักยภาพของรถแข่งมากกว่าผลตอบแทนทางการเงิน
เมื่อได้ย้ายมาอยู่กับทีมโรงงานดูคาติ ในปี 2025 มาร์เกซ ก็สามารถปรับตัวเข้ากับรถได้อย่างรวดเร็วและกลับมามีผลงานที่ยอดเยี่ยมในทันที
ประกอบกับการที่มีโชคอีกเล็กน้อย จากการที่ ฟรานเชสโก ‘เป็กโก’ บันยาญา เพื่อนร่วมทีมซึ่งถูกมองว่าเป็นคู่แข่งที่จะแย่งแชมป์โลก ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับรถ GP25 ได้ดีเท่าที่ควรจะเป็น และกว่าจะดูเข้าที่เข้าทางก็ต้องผ่านไปเกือบ 10 สนามแล้ว
นั่นยิ่งทำให้ เส้นทางของ มาร์เกซ ในการเป็นแชมป์โลกสมัยที่ 9 และ แชมป์โมโตจีพี สมัยที่ 7 เป็นแค่เรื่องจองเวลาเท่านั้น และสุดท้าย ที่โมเตกิ มาร์เกซ ก็กลับมาทวงบรรลังก์ของเขาคืนได้สำเร็จ
นอกจากเป็นแชมป์แล้ว ในปีนี้ มาร์เกซ ยังสร้างสถิติใหม่ๆ ขึ้นมามากมาย ไล่ตั้งแต่ การเป็นนักบิดคนที่สองในประวัติศาสตร์ที่คว้าแชมป์โลกกับทีมโรงงานดูคาติ ได้ตั้งแต่ปีแรกที่เข้าร่วม ต่อจาก เคซีย์ สโตนเนอร์ ในปี 2007 พร้อมทำคะแนนสะสมรวมได้สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ในยุคที่มีการแข่งขัน สปรินต์ เรซตั้งแต่ปี 2023 โดยทำได้ 541 คะแนน และยังเหลือการแข่งขันอีกถึง 5 สนาม
นอกจากนี้ มาร์เกซ ยังสร้างสถิติชนะการแข่งขันทั้ง สปรินต์ เรซ และ เมน เรซ ได้มากที่สุดในหนึ่งฤดูกาล คือ 10 ครั้ง ทำลายสถิติเดิมของ เป็กโก ที่ทำไว้ 5 ครั้งในปี 2024 ลงอย่างราบคาบ และเขายังเป็นนักบิดคนแรกที่ชนะการแข่งขัน 7 สนามติดต่อกันกับดูคาติ และยังเป็นคนแรกที่คว้าแชมป์ 2 การแข่งขันใน 1 เรซ ได้ 7 ครั้งติดต่อกันด้วย
มาร์เกซ ยังกลายเป็นนักบิดคนที่ 6 ในประวัติศาสตร์ที่คว้าแชมป์โลกรุ่นสูงสุดกับผู้ผลิตสองค่าย ได้แก่ ฮอนดา กับ ดูคาติ ได้ด้วย
อ้างอิง:
- https://www.motorsport.com/motogp/news/what-the-2025-motogp-title-means-to-marc-marquez/10763196/
- https://www.motogp.com/en/news/2025/09/28/marc-marquez-his-comeback-in-numbers/759820
- https://www.motogp.com/en/news/2025/09/28/sports-greatest-ever-comebacks-marc-marquez-2184-day-journey/760026
- https://www.motorsport.com/motogp/news/how-marc-marquez-can-become-the-2025-motogp-champion-in-the-japanese-gp/10762821/