สำหรับคนจีนอพยพ ความทรงจำถึงบ้านเกิดมีค่าดั่งอัญมณีล้ำค่า มันคืออดีตของพวกเขาที่ติดตัวและตรึงใจไว้ไม่ให้ลืมญาติพี่น้อง คือความกตัญญูรู้คุณต่อพ่อแม่และแผ่นดิน การจากมาของพวกเขาที่ได้รับการขนานนามว่า ‘พวกจีนเสื่อผืนหมอนใบ’ ซึ่งแปลว่า คนจีนที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาโดยไม่มีสมบัติติดตัวอะไรมาเลย แล้วมาสร้างเนื้อสร้างตัวเองที่นี่ หลายคนตั้งใจว่าจะมาหาเงินตั้งตัวแล้วก็จะกลับบ้านเกิด แต่หลายคนก็ไม่อาจทำได้อย่างที่ตั้งใจ เช่น อากง (ปู่) ของฉัน
วันที่อากงเดินทางมาถึงเมืองไทยพร้อมพี่ชายและน้องชาย ค่าตรวจคนต่างชาติเข้าเมืองไทยราคา 180 บาทต่อคน ก็นับว่าแพงมากแล้วในสมัยที่ทองบาทละ 300 บาท สำหรับ 3 คนพี่น้อง แม้เงินทองจะสำคัญแค่ไหน แต่ความรักความสามัคคีกันในหมู่พี่น้องสำคัญกว่าหลายเท่า เพราะพวกเขาต้องขยันทำมาหากินเพื่อหาเงินไปใช้หนี้ที่พ่อแม่ พี่สาว และน้องสาวหยิบยืมมาเป็นค่าเดินทางมาเมืองไทยของพวกเขา
3 พี่น้องเริ่มต้นทำงานกุลีที่แสนเหนื่อยยาก ค่าตอบแทนอันน้อยนิดก็ไม่ได้ช่วยให้ตั้งตัวได้อย่างที่คิดฝัน ครั้นเริ่มต้นได้ไม่นาน น้องชายคนเล็กของอากง หรือ ‘เหล่าเจ็ก’ ของฉันก็ไม่สามารถทนกับสภาพอากาศของเมืองไทยได้ ด้วยเหตุผลที่อากงของฉันก็ไม่ได้ชี้แจงให้ชัดเจน แค่บอกว่าน้องชายของเขาป่วยเป็นโรคผิดอากาศ ปอดไม่ดี เลยเดินทางกลับไป ท้ายที่สุดเหล่าเจ็กก็เสียชีวิตที่เมืองจีนในอ้อมแขนของพ่อแม่ ส่วนพี่ชาย 2 คนที่เป็นผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับน้องเคียงบ่าเคียงไหล่ในต่างแดนและเป็นผู้ส่งน้องชายกลับไปยังบ้านเกิดก็ได้แต่เสียใจที่ไม่ได้พบหน้ากันอีกแล้วตลอดชั่วชีวิต
เมื่อเอ่ยถึงเหล่าเจ็ก อากงบอกฉันเสมอว่า “เขาน่าสงสาร ต้องตายตั้งแต่ยังหนุ่ม”
ในช่วงเวลานั้น สถานการณ์เมืองจีนร้อนแรงขึ้น สงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ทำให้จีนก๊กมินตั๋งกับจีนประธานเหมาสามัคคีร่วมกันไล่ผู้รุกรานอันหยาบช้าให้ออกจากแผ่นดินจีน ในห้วงเวลานั้นหัวใจคนจีนเปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิม รักชาติ เพื่อปกป้องชาติจีน
ครั้นพอหมดสงครามกับต่างชาติ สงครามที่จบกลับไม่สงบ เพราะเกิดสงครามใหม่ จีนพี่จีนน้องกลับตีกันเอง สุดท้ายเจียงไคเช็กพ่ายแพ้จำต้องเจรจายอมความและถอยหลังไปพร้อมกับซ่งเหม่ยหลิงเมียรักสู่เกาะไต้หวัน ในขณะที่เหมาเจ๋อตงประกาศชัยและเปลี่ยนประเทศเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1949
ไม่มีใครคิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกแล้ว เพราะทุกคนเชื่อว่าประธานเหมาจะมาปลดปล่อยและสร้างความเท่าเทียมกันให้เกิดขึ้นในประเทศ จะไม่มีคนรวยมากดขี่เบียดเบียน จะไม่มีคนจนที่ต้องทุกข์ทรมานเพราะความอดอยาก เพราะทุกคนจะจนเท่ากันหมด ด้วยสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดว่าอีกเพียง 2 ปีหลังจากนั้น นโยบายการปฏิรูปที่ดินจะทำให้ความเหลื่อมล้ำสูญสลายไป แต่นั่นไม่ได้ทำให้อากงของฉันประหวั่นใจเท่ากับการสร้างความฮึกเหิมให้กับคนในชาติและคนจีนที่โพ้นทะเลว่า …จีนใหม่กำลังจะมาแล้ว…
โฆษณาชวนเชื่อในประเทศจีนนั้นก้าวล่วงมาถึงแผ่นดินไทยอันแสนร่มเย็น ทำให้คนจีนในไทยแยกกันเป็นฝักฝ่าย ฝ่ายก๊กมินตั๋งบ้าง ฝ่ายประธานเหมาบ้าง ไม่ต่างอะไรกับกีฬาสีเหลืองแดงเลย ต่างคนต่างใส่สีให้กับอุดมการณ์ทางการเมืองของตัวเอง
จากที่ฉันเคยฟังพ่อของฉันเล่า และได้ฟังเพื่อนๆ เล่า ซึ่งก็ฟังมาจากปากบรรพบุรุษของเขาอีกที เมืองไทยเวลานั้นวุ่นวายไม่แพ้เมืองจีน
จริงๆ แล้วเมืองไทยก็วุ่นวายเพราะคนจีนมาตลอดและวุ่นวายมาก่อนหน้า จะว่าไปก็ตั้งแต่คนจีนฮึกเหิมระดมทุนหาเงินปฏิวัติราชวงศ์ชิงในสมัยที่ ดร.ซุนยัดเซ็น มาเมืองไทยเพื่อระดมทุนหาเงินล้มราชวงศ์ชิงในปี 1903 สมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งดร.ซุนยัดเซ็นได้จัดปราศรัยพบปะพี่น้องชาวจีนที่เยาวราชโดยขอพระบรมราชานุญาต คนจีนในไทยเวลานั้นต่างคลั่งไคล้ประหนึ่งเป็นติ่งดร.ซุนยัดเซ็น คิดดูสิว่าต่อมาถึงกับมีการตั้งชื่อซอยที่เยาวราชว่า ซอยซุนยัดเซ็น (ผลิตผล) กันเลยทีเดียว
หลังจากนั้นเรื่อยมา เมืองจีนวุ่นวายแค่ไหน คนจีนในเมืองไทยก็วุ่นวายกับการเมืองในเมืองจีนมาโดยตลอด การระดมเงินช่วยเหลือกลับไปเมืองจีนมีมาโดยตลอดผ่านเหล่าสมาคมต่างๆ ของคนจีน ไม่ว่าจะระดมเงินสู้กับญี่ปุ่น หรือแม้แต่สู้กับจีนคนละก๊กว่าใครเป็นก๊กมินตั๋ง ใครเป็นคอมมิวนิสต์
แต่นั่นเป็นกิจกรรมของคนจีนระดับเจ้าสัวกับคนจีนที่อยู่ในไทยมาก่อนหน้าแล้ว ส่วนอากงซึ่งถือได้ว่ามาทีหลัง เป็นเพียงกุลีรากหญ้าและยังอยากจน ก็ไม่ได้มีบทบาทอะไรในวงการใดๆ ทั้งสิ้น ยามว่างจากทำงานในวันหยุดหรือวันมีงานพิเศษ อากงก็จะรับจ้างเล่นซอในวงดนตรีของสมาคมคนจีนต่างๆ แล้วแต่เขาจะจ้าง ซึ่งจะเป็นงานกลางคืนที่อากงได้ไปหารายได้พิเศษหลังจากเลิกงานหลักเสมอมา
ในฐานะที่เป็นคนรากหญ้า แถมไม่ได้มีสิทธิมีเสียงอะไรในสมาคมเพราะไม่ได้เป็นคนใหญ่คนโต ไม่มีแม้แต่เสียงอะไรจะแนะนำใครเป็นใครด้วยซ้ำ แถมยังถ่ายทอดนิสัยแบบนี้ให้ลูกและหลานทุกคนเสียด้วย เพราะจนถึงทุกวันนี้แทบไม่มีใครในสกุลยอมเข้าไปร่วมงานสมาคมแซ่ของตัวเองเลย นอกจากซื้อโต๊ะจีนประจำปี ไหว้บรรพบุรุษ (ป้ายชื่ออากงอาม่าของฉันอยู่ที่สมาคมค่ะ เลยต้องไปไหว้เสมอๆ) และรับประทานอาหารร่วมกันเล็กๆ น้อยๆ จะมีก็แต่แม่ของฉันในฐานะสะใภ้คนโตที่มักจะได้ไปร้องเพลงบนเวทีเป็นประจำ ดูสิ พ่อผัวเป็นนักดนตรี ลูกสะใภ้เป็นนักร้อง …ครอบครัวนี้การเมืองไม่ยุ่ง ชอบแต่ร้องรำทำเพลงล้วนๆ (อุ๊ย… นอกเรื่อง)
อากงไม่เคยเชิดชูฝ่ายใดชัดเจน ตลอดชีวิตของอากง ฉันไม่เคยได้ยินอากงเชิดชูประธานเหมาหรือประธานาธิบดีเจียงไคเช็ก มีแค่ ดร.ซุนยัดเซ็นเท่านั้นที่อากงของฉันนับถือ ในห้องนอนของอากงจะมีรูป ดร.ซุนยัดเซ็นติดไว้บนผนัง อากงติดภาพนั้นจนกระทั่งวันที่อากงจากไป ต่างกับพ่อของฉันที่โตมากับการโฆษณาชวนเชื่อของสายพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ชื่นชอบประธานเหมา และที่ชอบที่สุดคือท่านโจวเอินไหล ก่อนที่ในบั้นปลายจะหันมาชอบประธานเติ้งเสี่ยวผิง
ทำไมเป็นเช่นนั้น ฉันมาวิเคราะห์ดู อากงของฉันเกิดและเติบโตมาในช่วงที่พรรคก๊กมินตั๋งประกาศยกดร.ซุนยัดเซ็นเป็นที่สุดแห่งจีน เป็นบิดาแห่งชาวจีนทั้งชาติหลังล้มราชวงศ์ชิง ก่อนจะหนีมาเมืองไทย ดร.ซุนยัดเซ็นได้รับการยกย่องโดยเจียงไคเช็กมาโดยตลอด และแม้ในเมืองไทยเอง อากงก็ฟังวิทยุและอ่านหนังสือพิมพ์จีนที่เลือกอวยแต่พรรคก๊กมินตั๋งและยกย่องดร.ซุนยัดเซ็น แต่กับพ่อของฉันนั้นเติบโตมาในช่วงที่จีนทั้งหมดเป็นของประธานเหมาแล้ว ส่วนเจียงไคเช็กพร้อมมาดามคนงามนั้นเงียบหายและเงียบเสียงพร้อมกับลงไปในเวทีโลกแทบจะทันที
จีนในมืออากงคือไม่มีราชวงศ์ชิง จีน ณ เวลานั้นคือใจเป็นหนึ่งเดียวต่อต้านญี่ปุ่น จีนในเวลานั้นเป็นพี่น้องกันหมด ไม่มีแบ่งแยกขุนพลหรือชาวนา โฆษณาชวนเชื่อแต่ละครั้งที่ออกมาก็จะมาแต่จากพรรคก๊กมินตั๋งตลอด
ส่วนจีนในอุดมคติของพ่อคือจีนใหม่ จีนชาวนา จีนสร้างชาติ จีนประธานเหมา มีการโฆษณาชวนเชื่อให้คนจีนในโพ้นทะเลกลับประเทศไปกอบกู้ประเทศจีนที่โดนพัง โดนถล่มจนย่อยยับจากญี่ปุ่นบ้าง สมบัติเงินทองของชาติ รวมทั้งเงินในธนาคารชาติและสมบัติที่เป็นสิ่งล้ำค่าในวังต้องห้ามของราชวงศ์ชิง ก็ล้วนแต่โดนเจียงไคเช็กและเมียสาวผู้น่ารัก ซ่งเหม่ยหลิง หอบหิ้วหนีไปไต้หวันหมด จีนภายใต้คอมมิวนิสต์ไม่เหลืออะไรเลยนอกจากความรักชาติและรักชาวนา
ณ ตอนนั้นจีนไม่มีเงินทอง มีแต่หัวใจที่กอบกุมร่วมกันที่จะก่อร่างสร้างชาติใหม่ ที่จะไม่มีใครมาเอาเปรียบใคร ไม่มีคนรวยมาเบียดเบียน ไม่มีเชื้อพระวงศ์มาเกาะกิน ไม่มีขุนนางมาฉ้อราษฎร์ ไม่มีขุนพลมาบังหลวง ประชาชนทุกคนจะเท่าเทียม …กลับมาเถอะ กลับมาสร้างชาติจีนกัน (หวานซะไม่มี)
ช่างเป็นประเทศที่พร้อมจะอ้าแขนรับคนที่เคยหนีภัยยากแค้นและภัยสงครามทั้งหลายให้กลับบ้านเสียจริงๆ
สำเร็จไหมกับการโฆษณาชวนเชื่อของจีนคอมมิวนิสต์ให้คนจีนในโพ้นทะเลกลับประเทศตัวเองเพื่อไปรับใช้ชาติ เพื่อไปสร้างชาติใหม่ด้วยกัน
…สำเร็จค่ะ…
จากปากคำของแม่และของเพื่อนฉันเอง พบว่ามีคนจีนในไทยมากมายที่กลับประเทศจีนเพียงเพราะเชื่อในโฆษณาชวนเชื่อของประธานเหมา แม่บอกว่าเศรษฐีที่หน้าปากซอยบ้านตรงคลองเตย ซึ่งเป็นคนจีนมาค้าขายก่อนหน้าจนมีฐานะในระดับหนึ่ง มีลูกสาวและลูกชายหลายคน แต่มีลูกสาวหน้าตาสะสวยของเขาคนหนึ่งที่ฟังโฆษณาชวนเชื่อทางวิทยุและอาจจะฟังในโรงเรียนด้วย เพราะพี่ชายของแม่ก็ฟังจากที่โรงเรียนเหมือนกัน เจ่เจ๊สาวน้อยท่านนี้ในที่สุดแอบเอาเงินหนีกลับประเทศจีนไปเพื่อไปสร้างชาติจีนกับเขาด้วยเหมือนกัน
แม่ของฉันเล่าเพิ่มว่า คนอยากกลับไปเมืองจีนเยอะมาก แม้แต่พี่ชายของแม่ฉันเองที่ฉันจะเรียกว่า อากู๋ (น้า) ก็อยากจะกลับไปกับเขาเหมือนกัน แต่พอดีบ้านยากจนและยังไม่สามารถตั้งตัวให้ร่ำรวยได้
จริงๆ แล้วตลอดชีวิตของหว่องกง (ตาของฉัน) แกไม่สามารถสร้างตัวให้ร่ำรวยได้ เหมือนพวกเจ้าสัวที่แต่งหนังสือว่า เสื่อผืนหมอนใบ อดทน ขยันแล้วจะร่ำรวยกันจริงๆหรอก ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นจีนแบกะดินหรือจีนข้างถนนจะทำงานอุตสาหะแล้วสร้างตัวเป็นเจ้าสัวได้ทุกคนหรอกนะ
สำหรับครอบครัวแม่ของฉันนั้นโชคดีที่ยากจน ทำให้ไม่มีใครขอกลับไปเมืองจีนตามคำชวนของพรรคคอมมิวนิสต์ แม้กระทั่งครอบครัวอากงฝั่งพ่อของฉันเองก็เช่นกัน เพราะยังยากจนอยู่ ยังต้องช่วยกันสร้างฐานะในประเทศไทย ไม่มีเวลาจะมานั่งฝันถึงการสร้างชาติจีน ไม่มีเวลาคิดกู้ชาติ เพราะทุกคนต้องกู้ตัวเองขึ้นมาให้ได้ก่อน
เพื่อนฉันเล่าว่า ตอนที่ไปเรียนภาษาที่เมืองจีนไม่กี่ปีที่ผ่านมานี่เอง ได้เจอคนจีนที่เกิดในไทย เธอคนนั้นเล่าว่าเคยอยู่เมืองไทยมาก่อน ก่อนจะหนีพ่อหนีแม่และพี่น้องกลับมาประเทศจีนเพื่อมาสร้างชาติจีนตามคำเชิญชวนของประธานเหมา
…เพื่อนของฉันบอกว่า… คนจีนที่เจอคือแม่บ้านทำความสะอาดในโรงแรมที่เธอไปพัก พอรู้ว่าเพื่อนของฉันเป็นคนไทยก็เดินเข้ามาทักทายเป็นภาษาไทย แล้วสนทนาปราศรัยกัน เพื่อนของฉันก็เลยถามว่ามาอยู่จีนตั้งแต่เมื่อไร แล้วมาได้อย่างไร แล้วทำไมไม่กลับไป ซึ่งก็ได้คำตอบว่ามาเพราะเชื่อคำเชิญตามที่โฆษณานั่นแหละว่ากลับมาสร้างชาติจีนกัน ทุกคนที่กลับไปก็เต็มไปด้วยอุดมการณ์ที่รักชาติกันทั้งนั้น
แม่ของฉันเพิ่มเติมรายละเอียดว่า การบอกกล่าวเล่าขานที่ว่านี้ก็มาจากวิทยุและโฆษณาชวนเชื่อที่ประกาศตามหนังสือพิมพ์ที่ส่งมากันทุกค่ำคืน ยิ่งไปกว่านั้นพวกอาจารย์ในโรงเรียนจีนนี่แหละตัวดีเลย บอกและสอนหนทางหลีกหนีกลับประเทศตัวเองด้วยการเอาเงินเก็บมาซื้อตั๋วเรือกลับไปจีน จะมาสร้างชาติ แต่แล้วพอไปถึงเมืองจีนกลับไม่ได้เป็นอย่างที่ฝันไว้สักนิดเดียว
ไม่แปลกใจเลยที่มีนโยบายปิดโรงเรียนจีนในไทยมากมายในสมัยนั้น อาจารย์ในโรงเรียนจีนก็ติดคุกเป็นสิบเป็นร้อยคน
หลังจากที่หลอกล่อเชิญชวนให้หนุ่มสาวจีนกลับไปสร้างชาติมากมาย ไม่นานประธานเหมาก็ปิดประเทศ แม่ของฉันบอกว่าฝั่งไทยก็ไม่ให้เรือจากจีนเข้าออกเช่นกัน เพราะกระแสคอมมิวนิสต์มันมาแรงจนต้องตัดสัมพันธ์กัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันเกี่ยวเนื่องกับการเมืองไทยและการเมืองโลกด้วย
ในช่วงนั้นกระแสคอมมิวนิสต์โหมกระหน่ำไปทั้งภูมิภาคอินโดจีน ไม่ว่าจะกระแสโดมิโนที่เวียดนาม ลาว กัมพูชา ที่กลายเป็นคอมมิวนิสต์ไปแล้วนั้น ประเทศถัดมาที่ต้องเปลี่ยนแปลงให้ได้ก็คือประเทศไทยนี่เอง แล้วไหนจะกระแสคอมมิวนิสต์จากประเทศด้านใต้ของเราไม่ว่าจะมาเลเซียและอินโดนีเซียอีกด้วย ซึ่งความรุนแรงนั้นมากกว่าประเทศไทยหลายเท่านัก
พ่อของฉันเคยบอกว่า คนจีนคอมมิวนิสต์ที่มาเลเซียกับอินโดนีเซียนั้นถึงกับโดนกำจัดไปเป็นแสนๆ ถึงล้านคนเลยทีเดียว นับว่าคนจีนในไทยนั้นยังได้รับความเมตตายิ่งที่ไม่โดนกวาดล้างเป็นเบือเหมือนประเทศอื่น ยังไงก็แล้วแต่ ช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่เจ้าหน้าที่รัฐปราบปรามพวกอั้งยี่และพวกคอมมิวนิสต์ในไทยแบบล้างบาง แล้วก็มีการตัดสัมพันธ์กับจีนกันไปในระยะหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ครองอำนาจและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศอเมริกา
เหล่าหนุ่มสาวกู้ชาติไร้เดียงสาทั้งหลาย ครั้นโดนปิดห้ามเดินทางเข้าออกประเทศจีนก็ช็อกกันหมด ไหนจะนักเรียนไทยเชื้อสายจีนที่พ่อแม่ส่งกลับไปเรียนหนังสือ ไหนจะเหล่าหนุ่มสาวเยาวชนชาวจีนโพ้นทะเลที่กลับไปกู้ชาติสร้างเมือง ไหนจะคนที่อยากออกไปเมืองนอกขุดทองหาเงินกลับมาให้พ่อแม่ แล้วไหนจะคนนอกประเทศที่อยากกลับไปเยี่ยมญาติ เยี่ยมพ่อแม่ ทุกอย่างจบสิ้น ตัดขาด ไร้เรือไปหากันและกัน เฉกเช่นหลายสิบหลายร้อยปีที่ไทยจีนเคยมีสัมพันธ์กันมาก็ขาดสะบั้นลง
ความเป็นอยู่ของคนในจีนเป็นอย่างไร กว่าที่คนจีนในไทยจะรับรู้ก็เมื่อจีนเปิดประเทศอีกครั้ง นี่เป็นอีกครั้งที่พ่อของฉันชื่นชมโจวเอินไหลมากมาย คือการเปิดประเทศจีนแล้วทำให้พี่น้องพ่อแม่ที่แตกแยกจากกันนับสิบปีได้กลับมาพบหน้าไต่ถามถึงกันและกันอีกครั้ง และเมื่อมีการเยี่ยมเยียนก็ได้รู้ว่า อยู่เมืองจีนในช่วงนั้นยากแค้นแสนเข็ญนัก ไหนจะต้องเผชิญกับความอดอยากแร้นแค้นหลายต่อหลายรอบ ไหนจะมีการจับหัวจั่วหัวมั่วนิ่มจากพวกเรดการ์ดในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม แล้วรัฐยังบังคับมีกฎเกณฑ์กับการดำรงชีวิตมากมาย ไม่ว่าจะการเรียน อาชีพ การมีครอบครัว การมีคูปองแลกอาหารการกินเพราะความอดอยาก ประเมินกันว่าคนหลายสิบล้านต้องตายเพราะอดอยากขาดสารอาหาร เด็กแรกเกิดต้องเสียชีวิตเป็นล้านๆ คน เมืองจีนแสนยากเข็ญนักในช่วงปิดประเทศ
คนจีนเชื้อสายไทยที่เชื่อคำโฆษณาชวนเชื่อแล้วหนีพ่อหนีแม่กลับไปจีน แล้วเจอปิดประเทศจนกลับมาไม่ได้นั้นลำบากยิ่งนัก เมื่อยามเปิดประเทศ พี่น้องก็บินไปหา ก็พบว่าสาวสวยลูกสาวของเศรษฐีที่หน้าปากซอยก็ทรุดโทรมด้วยสภาพบอบช้ำเพราะความยากแค้นแสนเข็ญ ในขณะที่พี่ๆ น้องๆ ทุกคนในไทยมีฐานะการเงินที่ดีกันหมดแล้ว สำหรับเธอแล้วไหนจะไม่มีโอกาสได้กู้ชาติ ไหนจะไม่ได้แสดงความสามารถในการสร้างเมือง กลับต้องมาอดอยากไร้การศึกษาในช่วงที่โดนหลอกลวงให้กลับประเทศบ้านเกิดของตนเองอย่างน่าเศร้าใจ
จะโทษใครได้นอกจากตัวเองที่เชื่อทุกอย่างอย่างง่ายดาย…
โฆษณาชวนเชื่อที่รัฐบาลไหนก็ชอบใช้ ก็ยังมีผลลัพธ์ดีงามตามที่รัฐต้องการไปทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะรัฐไหนก็ตาม…
อดีตและประสบการณ์ของคนรอบข้างก็อาจเป็นบทเรียนสอนเราได้…
ส่วนอากงของฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองจะอยู่ที่นี่ไปจนวันตาย แต่ก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะบอกว่าอยากกลับไปอยู่เมืองจีนถาวร ไม่เคยเลย…
Cover Photo: shutterstock