หยิบนาฬิกาขึ้นมา แล้วหมุนเม็ดมะยมย้อนเวลากลับไปในวันศุกร์ที่แล้ว มีการประชุมทางไกลในระบบออนไลน์อยู่ที่ใดสักที่ในโลกออนไลน์
การประชุมนั้นมีชื่อว่า Fan’s Forum Meetings ซึ่งเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้แฟนบอลของทีมปีศาจแดงได้มีโอกาสถามไถ่การทำงานของเหล่าผู้บริหารสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอย่างตรงไปตรงมา
โดยปกติแล้วการประชุมนี้จะมีขึ้น 4 เดือนครั้ง แต่เพราะสถานการณ์ในเวลานี้ทำให้ไม่มีใครสามารถจะเดินทางมาพบเจอกันได้จึง ต้องมีการนัดแนะกันบนโลกออนไลน์แทน ซึ่งโดยปกติอีกเช่นกันที่การประชุมนี้จะมักจะเป็นการประชุมที่ดุเดือด เพราะเลือดรักสโมสรของแฟนบอลนั้นเข้มข้นร้อนแรง และตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาการบริหารงานของสโมสรที่นำโดย เอ็ด วูดเวิร์ด รองประธานบริหารทีม ค่อนข้างมีปัญหาอย่างที่รู้กัน
แต่ในการประชุมรอบนี้ บรรยากาศนั้นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง และเป็นเรื่องที่น่าตั้งข้อสังเกตอย่างยิ่งครับ
ที่บอกว่าบรรยากาศนั้นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงก็คือ จากเดิมที่จะมีการเปิดฉากวิวาทะทางคารมกันอย่างเผ็ดร้อน เพราะสิ่งที่แฟนฟุตบอลคาดหวังกับสิ่งที่พวกเขาได้รับกลับมาจากผู้บริหารนั้นแทบจะเป็นเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบกัน
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดสูญเสียความยิ่งใหญ่ไปนับตั้งแต่ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน วางมือจากตำแหน่งผู้จัดการทีมเมื่อปี 2013 และในแต่ละปีที่ผ่านไปเหล่า เรดอาร์มี กองพันอสูรแดงก็ยิ่งสูญเสียความเชื่อมั่น และมองไม่เห็นความหวังที่ทีมจะกลับมายิ่งใหญ่เลย
มันเจ็บมากยิ่งขึ้น เมื่อคู่แข่งร่วมเมืองอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ผงาดขึ้นมาเป็นใหญ่พอดี
และมันเจ็บมากกว่า เมื่อคู่แค้นตลอดกาลอย่างลิเวอร์พูล ทำทุกอย่างที่ตรงกันข้ามกับพวกเขาทำ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างทีมด้วยการวางแผนระยะยาว มีทีมงานบริหารที่เก่งฉกาจ ใช้จ่ายเงินน้อย ผลักดันดาวรุ่งของสโมสร และมีผู้จัดการทีมที่ดีที่สุดคนหนึ่งของโลก
ลิเวอร์พูล หากโชคชะตาไม่โหดร้ายจนเกินไป กำลังจะได้เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก เป็นแชมป์ลีกสมัยแรกในรอบ 30 ปี
สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ตลอดมานั้นไม่แปลกครับที่แฟนๆ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะทำใจรับไม่ค่อยได้ที่ทีมมีสภาพไม่ต่างอะไรจาก ‘ตัวตลก’ เมื่อเทียบกับคู่แค้นและคู่แข่ง
เพียงแต่หลายอย่างในรั้วโอลด์แทรฟฟอร์ดเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากครับนับตั้งแต่เข้าสู่ปี 2020 เป็นต้นมา
จากบรรยากาศที่เป็นพิษ วันนี้ผมคิดว่าอากาศใน ‘โรงละครแห่งความฝัน’ กลับมาสดชื่นขึ้นเรื่อยๆ
เรื่องในสนามเป็นเหตุผลหนึ่งครับ ซึ่งสำคัญ โดยเฉพาะนับตั้งแต่ที่พวกเขาได้ บรูโน แฟร์นันด์ส มา ทุกอย่างดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไปหมด
อะไรที่เคยไม่เข้าล็อก อยู่ผิดที่ผิดทาง ทุกอย่างได้รับการแก้ไขจนเกือบหมด
แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดที่ทำให้เหล่าแฟนบอลผู้ถวายหัวใจให้ปีศาจกลับมารู้สึกดีกับสโมสรอย่างหมดใจครับ
ความรู้สึกดีๆ ที่กลับคืนมาในใจของพวกเขามาจากสิ่งที่สโมสรทำในช่วงเวลายากลำบากที่ผ่านมาต่างหาก
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้ทำในสิ่งที่ดีที่สุดคือ การเป็นที่พึ่งพาให้แก่ทุกคน และโชคดีที่พวกเขามีกำลังมากพอที่จะดูแลคนได้อย่างดี
เริ่มจากการคืนเงินให้แก่แฟนบอลเกือบ 700 คน ที่เดินทางไปออสเตรียเพื่อให้กำลังใจทีมในเกมกับ LASK ซึ่งเป็นการลงสนามนัดสุดท้ายก่อนจะมีการล็อกดาวน์ แต่สุดท้ายไม่มีใครได้เข้าสนาม เพราะมีคำสั่งให้แข่งในสนามปิด
เงินที่ต้องคืนรวมทั้งหมด 245,000 ปอนด์ ซึ่งอาจจะเหมือนน้อยสำหรับสโมสรในระดับนี้ แต่ในวิกฤตแบบนี้ก็ไม่ใช่น้อยครับ
จากนั้นคือการประกาศว่า พวกเขาจะดูแลสตาฟฟ์ทั้ง 940 ชีวิตของสโมสรอย่างดีที่สุดเหมือนเดิม แม้ว่าสโมสรจะประสบปัญหาในการขาดรายได้เมื่อไม่มีเกมการแข่งขันก็ตาม
บรรยาย: แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดส่งกำลังพล กำลังของ กำลังทรัพย์ เพื่อสร้างกำลังใจให้แก่ชาวเมืองแมนเชสเตอร์
การอุ้มชูพนักงานในยามยากของพวกเขาได้รับเสียงปรบมืออย่างกึกก้องและดอกไม้ช่อใหญ่จากสังคม สวนทางกับสโมสรที่เคยบริหารงานมาดีตลอดอย่างลิเวอร์พูล ที่โดนก้อนอิฐปาใส่เมื่อประกาศจะ ‘พักงาน (Furlough)’ ลูกจ้างของสโมสร
ว่ากันว่านี่อาจจะเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในยุคการบริหารของวูดเวิร์ด และมันนำไปสู่สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นตามมาอีกมากมายในช่วงที่ผ่านมาครับ
สิ่งที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดทำดีมากๆ คือการรีบยื่นมือช่วยเหลือ NHS หน่วยงานบริการสาธารณสุขแห่งชาติ หน่วยงานที่เป็น ‘ฮีโร่’ ตัวจริงของชาวอังกฤษในวิกฤตโควิด-19 และเป็นการช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง ไม่ว่าจะเป็นทางการเงิน การให้ใช้สถานที่ ไปจนถึงการบริจาคเพื่อช่วยเหลือองค์กรการกุศล และ Foodbank ซึ่งเป็นหนึ่งเส้นเลือดฝอยที่ช่วยหล่อเลี้ยงชาวอังกฤษที่ประสบปัญหาการดำเนินชีวิตที่ยากลำบาก
สิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าในความรู้สึกจะเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือเรื่องใหญ่ คือการทำให้สโมสรฟุตบอลกลับมาใกล้ชิดกับสังคมอีกครั้ง
การใกล้ชิดกับสังคม คือการใกล้ชิดกับชุมชน และการใกล้ชิดกับผู้คน
ระยะทางที่ห่างไกลของหัวใจสองฝั่งจึงหดสั้นลงจนแทบได้ยินเสียงตุ้บตั้บของหัวใจระหว่างกันและกัน
พูดให้ง่ายกว่านั้นคือ การที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้กลับมาเป็นที่รักของแฟนๆ อีกครั้ง
จริงอยู่ที่ความสำเร็จในสนามนั้นสำคัญ โดยเฉพาะกับทีมในระดับนี้ แต่บางครั้งแฟนบอลก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากกว่าการเห็นสโมสรที่พวกเขารักนั้นเป็นทีมที่มีหัวใจและทำในสิ่งที่ถูกต้อง
ความสุขและความภูมิใจจากการได้เห็นสิ่งดีๆ เหล่านี้นั้นมีค่าไม่แพ้โทรฟีรางวัล ณ ปลายทางของการแข่งขันครับ
สิ่งที่เป็นผลพลอยได้ที่มีความหมายมากๆ จากสิ่งนี้คือ สโมสรใดก็ตามที่หลอมหัวใจรวมเป็นหนึ่งเดียวกับแฟนๆ ได้ พวกเขาจะมี ‘พลังพิเศษ’ ที่พร้อมจะผลักดันให้ทีมก้าวไปได้ไกลกว่าเก่า
ดังนั้น แม้จะไม่มีอะไรการันตีว่า เมื่อเกมฟุตบอลกลับมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะกลับมาทำผลงานกันได้ดีเหมือนก่อนหน้าการล็อกดาวน์
แต่อย่างน้อยที่สุด พวกเขาจะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากแฟนบอลที่รอคอยวันจะได้กลับมาแสดงพลังในสนามอีกครั้ง
และเมื่อถึงวันที่เราเอาชนะโควิด-19 ได้ แฟนบอลได้รับอนุญาตให้กลับมาประจำการที่อัฒจันทร์ ผมเชื่ออย่างยิ่งว่า เราจะได้เห็นบรรยากาศใน Theatre of Dreams ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
เพราะในที่สุด หลังการรอคอยที่ยาวนานและเจ็บปวด พวกเขาได้ ‘ทีมนี้ที่รัก’ กลับคืนมาแล้ว
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
- นอกจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังมีอีกหลายสโมสรที่อุทิศหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อช่วยเหลือสังคม หนึ่งในทีมที่ทุ่มเทมากคือวัตฟอร์ด ที่เปิดสนามวิคาเรจ โรด ให้บุคลากรทางการแพทย์ใช้ บ็อกซ์ผู้บริหารถูกเปลี่ยนเป็นที่พักของเจ้าหน้าที่ NHS ที่ต้องแยกตัวจากครอบครัว มีการทำความสะอาดเก้าอี้สนาม 10,000 ที่นั่ง ทุกวัน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้มานั่งทานอาหารและพักผ่อนบนอัฒจันทร์ โดยแจกอาหารวันละ 1,000 คน
- โรมาในอิตาลี เป็นอีกหนึ่งสโมสรที่ได้หัวใจของแฟนบอล ความเอาใจใส่ดูแลแฟนบอล โดยเฉพาะกลุ่มแฟนบอลตั๋วปีที่สูงอายุ ด้วยการจัดรถเร็วส่งสิ่งของยังชีพ (และของที่ระลึกของสโมสร เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ) และช่วยเหลือสังคมเต็มที่ ทำให้ได้รับคำชื่นชมอย่างมาก