แม้เวลาจะผ่านมาเพียงไม่ถึง 15 เดือน แต่โลกทั้งใบเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจนยากจะเชื่อ
วันที่ 19 มกราคม 2020 ลิเวอร์พูลลงสนามในแอนฟิลด์ต้อนรับการมาเยือนของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สถานการณ์ในขณะนั้น ทีมของ เจอร์เกน คล็อปป์ กำลังควบตะบึงสู่การเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก แชมป์ที่พวกเขาไม่เคยได้ครอง และจะเป็นแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 30 ปี โดยตลอดทั้งฤดูกาลพวกเขาเก็บชัยชนะได้ทั้งหมด
มีเพียงเกมเดียวที่ ‘หงส์แดง’ ไม่สามารถชนะได้คือการไปเยือน ‘ปีศาจแดง’ คู่ปรับแห่งถนนสาย M62 ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด แต่การทำประตูตีเสมอในช่วงท้ายเกมจาก อดัม ลัลลานา ก็เป็นหนึ่งในการจุดประกายสำคัญที่ทำให้พวกเขาไม่แพ้ใครในลีกมาอีกเลยนับจากนั้น
เกมวันนั้นเป็นหนึ่งในวันแดงเดือดที่ดีที่สุดสำหรับเดอะ ค็อป เมื่อทีมของพวกเขาแสดงให้เห็นถึงความเหนือกว่าเกือบทุกกระบวนท่า โดยที่แม้ทีมของ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ จะพยายามแค่ไหน แต่ระดับชั้นของการเล่นนั้นแตกต่างกันมากเกินไปในยามนั้น
แต่เพราะความเป็นอริตลอดกาล ทำให้แม้จะมีประตูขึ้นนำจาก เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ในช่วงนาทีที่ 14 แต่เดอะ ค็อป ก็กัดเล็บจิกเนื้อกันตลอดทั้งเกมที่เหลือนับจากนั้น
จนกระทั่งในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ อลิสสันตัดบอลจากลูกเตะมุมได้ก่อนที่จะมองเห็น โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ที่พร้อมออกตัวทันที นายทวารชาวบราซิลส่งบอลยาวตูมเดียวถึงกองหน้าชาวอียิปต์ที่ควบเอาบอลเข้าไปก่อนจะยิงผ่าน ดาบิด เด เคอา เป็นประตูย้ำชัย 2-0 ในเกมนี้
และนั่นเองเป็นวินาทีที่เดอะ ค็อป เชื่อว่าพวกเขาจะได้แชมป์พรีเมียร์ลีกที่รอคอยมายาวนานเหลือเกิน เสียงร้อง We’re Gonna Win the League ดังกระหึ่มและช่างไพเราะเพราะพริ้ง
ยุคสมัยแห่งความยิ่งใหญ่ของลิเวอร์พูลกำลังจะกลับมาอีกครั้ง เหล่าค็อปชนเชื่อกันแบบนั้น
ขณะที่ฟากยูไนเต็ด พวกเขามองไม่เห็นความหวังและเสียงเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงดังกระหึ่ม
เราต้องการผู้เล่นใหม่ ได้ยินไหม เอ็ด วูดเวิร์ด
สำหรับบางคน เราต้องการผู้จัดการทีมใหม่!
นั่นเป็นช่วงเวลาก่อนที่โรคปอดอักเสบปริศนาจะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ทั้งใบจนแทบจำความรู้สึกเดิมว่าโลกใบนี้เคยเป็นอย่างไร
และนั่นเป็นช่วงเวลาสุดท้ายก่อนที่ บรูโน แฟร์นันด์ส จะนั่งเครื่องบินจากลิสบอนมาแมนเชสเตอร์
การกลับมาที่สมภาคภูมิของปีศาจแดง
ไม่ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ชื่อของ บรูโน แฟร์นันด์ส จะถูกจดจำในฐานะ ‘วีรบุรุษ’ ของแมนฯ ยูไนเต็ด อย่างแน่นอน
ความจริงก็เป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่กองกลางตัวทำเกมจากโปรตุเกสที่หลายสโมสรใหญ่ให้ความสนใจและมีข่าวตลอดระยะเวลาหลายปี แต่กลับไม่มีสักสโมสรที่สนใจอยากจะดึงตัวเขาไปร่วมทีมอย่างจริงจัง
ราวกับเขาเกิดมาเพื่อจะเป็น ‘ราชาปีศาจ’ คนใหม่เท่านั้น
การมาถึงของอดีตกัปตันสปอร์ติง ลิสบอนเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของแมนฯ ยูไนเต็ด ไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยการเล่นที่มหัศจรรย์ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นได้เพียงลำพัง หากไม่ยิงก็จ่าย ไม่จ่ายก็ยิง และทำให้แมนฯ ยูไนเต็ด ทำผลงานในช่วงหลังเดือนมกราคมได้ยอดเยี่ยมอย่างเหลือเชื่อ
จากทีมที่แทบไม่เหลือความหวัง พวกเขาจบฤดูกาลด้วยการเป็นทีมอันดับ 3 ได้สิทธิ์ผ่านเข้ามาเล่นในแชมเปียนส์ลีก
ถึงจะมีเสียงครหาว่า “เก่งคนเดียวอยู่ได้ไม่นานหรอก” หรือ “ปิดตายมันคนเดียวก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว” ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงอยู่ช่วงหนึ่ง แต่เมื่อเข้าสู่ฤดูกาลใหม่ จากที่เคยต้องแบกทีมอยู่เพียงลำพัง นักเตะหลายคนในทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ก็เริ่มจะช่วยกันประคองทีมได้
กลุ่มนักเตะอย่าง เฟร็ด, สกอตต์ แมคโทมิเนย์, มาร์คัส แรชฟอร์ด, เมสัน กรีนวูด, อารอน วาน-บิสซากา, ลุค ชอว์, แดนียล เจมส์ เริ่มเบ่งบาน ไม่ต่างอะไรจากภาษิตโบราณจีนที่กล่าวไว้ว่า ‘เมื่อถึงเวลาดอกไม้จะบานเอง’
นักเตะเหล่านี้ก้าวผ่านช่วงเวลาที่สำคัญของการเติบโตจากนักเตะธรรมดาเป็นนักเตะชั้นยอด
เช่นกันกับ พอล ป็อกบา ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองเป็นตัวปัญหาของทีม ด้วยสถานะของนักเตะที่ค่าตัวแพงที่สุดของสโมสร เป็นผู้เล่นระดับเวิลด์คลาสเพียงคนเดียวก่อนหน้าที่แฟร์นันด์สจะย้ายมา และดูไม่สบอารมณ์อย่างรุนแรงกับการเล่นร่วมกับทีมชุดนี้
หลังเดือนธันวาคมเป็นต้นมา ป็อกบาดูเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน เขามีความสุขกับการเล่นมากขึ้น เล่นเพื่อทีมมากขึ้น และการกลับมาเข้าฟอร์มของเขาช่วยยกระดับทีมได้อย่างมาก
อีกหนึ่งนักเตะที่มีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงของยูไนเต็ดคือ เอดิสัน คาวานี ดาวยิงพระกาฬระดับโลกของจริง ที่แม้จะมีปัญหาไม่ค่อยได้รับโอกาสในการลงสนามจนคิดถึงการที่จะย้ายกลับไปเล่นใกล้ให้กับโบคา จูเนียร์ส สโมสรดังของอาร์เจนตินา ซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านเกิดที่อุรุกวัย แต่เมื่อ อองโตนี มาร์กซิยาล ได้รับบาดเจ็บ กองหน้าสมญา ‘เอล มาทาดอร์’ ก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถอันเอกอุของเขา
ประสบการณ์ของคาวานีสร้างความเปลี่ยนแปลงในผลการแข่งขันได้ และช่วยดึงขีดความสามารถของน้องๆ ในทีมได้ด้วย ซึ่งการได้นักเตะระดับนี้มาเป็นต้นแบบมีส่วนอย่างมากต่อเด็กรุ่นใหม่ในทีมที่จะได้ศึกษาและเรียนรู้จากนักเตะที่อยู่ในระดับสูงสุดได้อย่างยาวนาน แม้ว่าการได้ตัวเขามาจะเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของทีมในช่วงก่อนตลาดการซื้อขายจะปิดตัวลงก็ตาม
แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มี โอเล กุนนาร์ โซลชาร์
กุนซือชาวนอร์เวย์เป็นผู้ที่แบกรับความกดดันมากที่สุด ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างเสียหายมากที่สุด แต่ก็ใช้ความอดทนในการประคับประคองสถานการณ์ และเมื่อถึงจุดหนึ่งเราได้เห็นแล้วว่าเขาสามารถพาทีมมาถึงจุดที่ดีได้อีกครั้ง
สำหรับฤดูกาลนี้ โอกาสจะลุ้นแชมป์นั้นเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ และความจริงหากพวกเขาเกิดพลาดท่าพ่ายขึ้นมาในเกมนี้ ทุกอย่างจะจบทันที แมนฯ ซิตี้ จะเป็นแชมป์ แต่ผลงานที่ดีต่อเนื่องในช่วงหลายเดือนหลังนั้นสามารถนำมาใช้เป็น ‘ต้นทุน’ สำหรับฤดูกาลหน้าได้
หากคว้าชัยชนะในเกมแดงเดือดวันนี้ นอกจากจะเป็นการ ‘ชะลอ’ ไม่ให้ซิตี้ คู่ปรับร่วมเมือง ได้แชมป์อย่างง่ายดายแล้ว นี่จะเป็นการ ‘ประกาศ’ ที่เสียงดังและฟังชัด
ว่าพวกเขาจะขอเป็นผู้ท้าชิงสำหรับฤดูกาลหน้า
และแน่นอนว่าสำหรับชาวปีศาจแดง ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการเหยียบย่ำคู่ปรับตลอดกาลอีกแล้ว ซึ่งนี่นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่พวกเขาลงแข่งด้วยสถานะเป็นต่อแบบสุดกู่
การไขว่คว้าครั้งสุดท้ายของราชาผู้ตกจากบัลลังก์
ปฏิกิริยาของ โรแบร์โต เฟียร์มิโน ที่ล้มตึงทั้งยืน และ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ที่กระฟัดกระเฟียดด้วยความเดือดดาล หลังจากที่ โจ วิลล็อก ยิงแฉลบ ฟาบินโญ ก่อนบอลจะเปลี่ยนทางเข้าประตูไป ทำให้นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ไล่ตีเสมอลิเวอร์พูลได้ที่แอนฟิลด์ คือภาพสะท้อนผลงานของฤดูกาลนี้ได้อย่างชัดเจนที่สุด
น่าผิดหวังและน่าโมโหแทน
ทั้งๆ ที่เพิ่งจะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ ก็ดันเป็นการฉลองที่เลวร้ายที่สุด เพราะไม่มีแฟนบอลคนใดที่จะได้ร่วมฉลองไปด้วยกัน และดูเหมือนพวกเขาจะไม่มีโอกาสได้แห่ขบวนฉลองที่เคยให้คำมั่นสัญญากันเอาไว้เมื่อปีกลาย
และทั้งๆ ที่ควรจะได้ต่อยอดความสำเร็จ ครองความยิ่งใหญ่ต่อไปอีกยาวนาน ดูเหมือนวันนี้ วันเวลาที่ดีจะผ่านพ้นพวกเขาไปนานแล้ว
ลิเวอร์พูลของ เจอร์เกน คล็อปป์ พบกับจุดเปลี่ยนที่สำคัญหลายครั้งมากเกินไปในฤดูกาลนี้ ซึ่งความจริงสัญญาณของการล่มสลายก็เริ่มตั้งแต่ในฤดูกาลที่แล้วเมื่อพ่ายแพ้เป็นเกมแรกของฤดูกาลต่อวัตฟอร์ด จากนั้นคือการกระเด็นตกรอบเอฟเอคัพด้วยน้ำมือของเชลซี และโดนแอตเลติโก มาดริด ยิงแซงในช่วงต่อเวลาพิเศษ ตกรอบแชมเปียนส์ลีกอย่างเหลือเชื่อ
จากนั้นคือการโดนแมนฯ ซิตี้ ถล่มหลังกลับมาลงแข่งได้ใหม่ และเมื่อเข้าสู่ฤดูกาลใหม่ ความพ่ายแพ้ครั้งแรกในฤดูกาลนี้คือการแพ้แอสตัน วิลลา 2-7 ซึ่งเป็นสถิติที่เลวร้ายที่สุดสำหรับทีมที่เป็นแชมเปียน
อะไรอีก? เสีย เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ไปตลอดฤดูกาลโดยที่ไม่ได้ทั้งจุดโทษหรือใบแดงของ จอร์แดน พิคฟอร์ด ทั้งยังโดนริบประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บจากจังหวะล้ำหน้าที่น่ากังขา และภาพเหตุการณ์แบบนี้ก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก
อาการบาดเจ็บของผู้เล่นมากมาย ติอาโก อัลกันตารา ที่พักยาวตามฟาน ไดจ์ค ตามด้วย โจ โกเมซ ที่ปิดฉากฤดูกาลตามไปอีกคน, ดีโอโก โชตา บาดเจ็บ 3 เดือน, โจเอล มาทิป และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน พักยาวทั้งฤดูกาล
จุดโทษในเกมกับไบรท์ตัน การเสมอกับเวสต์ บรอมวิช อัลเบียน การพ่ายแพ้คาแอนฟิลด์ครั้งแรกต่อเบิร์นลีย์ และจากนั้นพ่ายแพ้ในแอนฟิลด์ติดต่อกันรวมทั้งหมด 6 นัด ซึ่งเป็นสถิติที่เลวร้ายที่สุดตลอดกาลในประวัติศาสตร์ของสโมสร
ความมั่นใจที่เคยมีถูกบดขยี้ ความทะนงตนไม่เหลือ ศักดิ์ศรีไม่มีความหมาย มีเพียงแค่ความพยายามที่จะเอาตัวรอดให้ผ่านแต่ละวันไป
ลิเวอร์พูลกลายเป็นราชาตกบัลลังก์ที่น่าเศร้าที่สุดทีมหนึ่ง ทั้งๆ ที่พวกเขายังนำจ่าฝูงในช่วงคริสต์มาส ซึ่งปกติแล้วไม่มีทีมใดเลยที่นำในช่วงนี้แล้วพลาดแชมป์พรีเมียร์ลีก แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ลิเวอร์พูลโยนทุกอย่างทิ้งไป ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
และทั้งๆ ที่เชื่อกันว่าทีมชุดนี้จะประสบความสำเร็จได้อีกหลายปี แต่เวลานี้สิ่งที่คล็อปป์ต้องทำคือการผ่าตัดทีมขนานใหญ่ และเริ่มมีการมองหานักเตะใหม่ที่จะเข้ามาเสริมทัพในช่วงปิดฤดูกาลนี้
อย่างไรก็ดี การปรับปรุงทีมนั้นไม่ได้มีปัจจัยขึ้นอยู่กับเรื่องเงินอย่างเดียว หากแต่แรงดึงดูดของสโมสรก็สำคัญ ซึ่งเวลานี้ลิเวอร์พูลไม่ใช่ทีมที่น่าดึงดูดเหมือนเมื่อ 12 เดือนก่อนแล้ว โดยเฉพาะหากพลาดหวังในการไปแชมเปียนส์ลีกอีก
ดังนั้นใน 5 นัดที่เหลือของฤดูกาลจึงสำคัญอย่างมากต่อความรู้สึกของทีม อย่างน้อยก็เป็นรางวัลปลอบใจในฤดูกาลที่โหดร้ายนี้
ชัยชนะที่โอลด์แทรฟฟอร์ดมีความหมายเช่นนั้น ไม่ว่าจะต้องพยายามดิ้นรนแค่ไหน และต่อให้ชัยชนะในครั้งนี้จะเป็นการส่งมอบแชมป์ให้แมนฯ ซิตี้ ด้วยมือตัวเองก็ตาม
แดงเดือดที่เงียบเหงาครั้งสุดท้าย
นอกเหนือจากความสำคัญและความหมายที่เหลืออยู่ให้ทั้งสองทีมไขว่คว้าแล้ว เกมนี้จะเป็นเกมแดงเดือดครั้งสุดท้ายที่เงียบเหงา หลังจากที่ต้องดวลกันมาแบบไม่มีคนดูหนึ่งปีเต็ม เพราะปัจจุบันประเทศอังกฤษเริ่มต้นในการนำชีวิตปกติธรรมดากลับคืนมาอีกครั้งแล้ว หลังการระดมฉีดวัคซีนคืบหน้าไปตามแผนการที่วางเอาไว้
ในเกมนัดชิงคาราบาวคัพที่สนามเวมบลีย์เมื่อสัปดาห์ก่อนก็เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นแฟนฟุตบอล 2 ฝั่งกลับเข้าสนามมาพร้อมกันครั้งแรก หลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยมีการทดลองให้แฟนบอลเจ้าบ้านเข้ามาชมเกม และบรรยากาศนั้นชวนคิดถึงอย่างยิ่ง
แดงเดือดครั้งนี้จึงจะเป็นครั้งสุดท้าย หวังว่าเราจะไม่ต้องเผชิญกับยุคมืดแบบนี้อีก ที่นักเตะทั้งสองทีมจะลงสนามแข่งกันเองโดยไม่มีสิ่งที่สำคัญที่สุดของเกมฟุตบอลอีก
ราตรีมืดมนที่ยาวนานกำลังจะผ่านไป
เช้าวันใหม่สำหรับเกมฟุตบอลกำลังจะกลับมา