สายลมกำลังเย็นสบาย แต่อุณหภูมิของโลกลูกหนังเมืองผู้ดีกำลังเริ่มร้อนได้ที่เลยทีเดียว
คืนนี้แล้วครับที่เราจะได้ชมเกมระหว่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับลิเวอร์พูล สองทีมที่ถูกจับตามองว่าจะเป็นคู่แข่งของการแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้
โดยเกมคืนนี้ที่สนามเอติฮัด สเตเดียม ถูกมองว่าจะเป็น ‘เกมแห่งฤดูกาล’ ในความหมายเกือบๆ ว่าใครชนะก็เอาแชมป์ไปเลย ทั้งๆ ที่ฤดูกาลเพิ่งจะผ่านมา 20-21 นัด ยังเหลือการแข่งขันอีก 17-18 นัด (แล้วแต่ทีม) กับช่วงระยะเวลาร่วม 5 เดือนนี่แหละ
สิ่งที่พูดกันนี้ใช่จะเป็นการพูดถึงในหมู่ของแฟนฟุตบอลเท่านั้นครับ แม้แต่เหล่าผู้รู้ นักเขียนมากประสบการณ์ และนักวิเคราะห์ทางหน้าจอโทรทัศน์ในอังกฤษเองก็มองในแบบเดียวกัน ซึ่งการที่จะเป็นเช่นนั้นได้ก็ย่อมมีเหตุมีผล
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะจากสิ่งที่เราได้เห็นตลอดช่วงระยะเวลาครึ่งฤดูกาลที่ผ่านมา ไม่มีทีมใดจะแข็งแกร่งและดูพร้อมจะเป็นแชมป์มากกว่าสองทีมนี้
ด้วยความเคารพต่อแฟนๆ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ถึงทีมของ เมาริซิโอ โปเชตติโน จะเล่นได้น่าประทับใจมากแค่ไหนก็ตาม (โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงการที่ทีมไม่ได้เสริมทัพผู้เล่นแม้แต่รายเดียวในช่วงตลาดการซื้อขายฤดูร้อนที่ผ่านมา) แต่มันยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ติดขัด โดยเฉพาะเรื่องความแข็งแกร่งของจิตใจและความสม่ำเสมอ
สเปอร์สพร้อมจะพลาดในเกมที่ไม่ควรพลาด ซึ่งพวกเขาไม่ได้เพิ่งเป็น หากแต่เป็นแบบนี้มาหลายปีแล้ว และเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ทีมที่เล่นฟุตบอลได้น่าประทับใจมากที่สุดทีมหนึ่งเช่นพวกเขาไม่เคยไปได้ถึงดวงดาว
สิ่งเหล่านี้ตรงข้ามกับแชมป์เก่าอย่างซิตี้ที่ยังแข็งแกร่งและพร้อมจะถล่มทีมคู่ต่อสู้ให้ราบเป็นหน้ากลองได้เสมอด้วยขุมกำลังที่เหนือกว่าทีมอื่น ขณะที่ลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด กลายเป็นทีมที่แข็งแกร่งมากที่สุด และทดแทนการขาดประสบการณ์ในการลุ้นแชมป์ด้วยการเล่นที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ร้อนแรง
สถานการณ์บนตารางคะแนนเองก็มีส่วนที่ทำให้ ‘เดิมพัน’ ของการพบกันครั้งนี้สูงติดขอบฟ้า
จากที่เคยนำจ่าฝูงมาสบายๆ การแพ้ 3 นัดในช่วงเดือนสุดท้ายของปี 2018 ทำให้ซิตี้ตกอยู่ในอันดับที่ 3 และมีแต้มตามหลังลิเวอร์พูลไกลถึง 7 แต้ม
หากทีมของเป๊ปพลาดแพ้ต่อทีมของคลอปป์ขึ้นมา ลิเวอร์พูลจะหนีห่างเป็น 10 แต้ม ซึ่งในระบบการแข่งขัน การชนะได้ 3 คะแนนนั้นมีค่าเท่ากับ 3 เกมครึ่ง
ประเมินจากผลงานของทัพหงส์แดงในช่วงครึ่งฤดูกาลที่ผ่านมา เป็นเรื่องยากจะจินตนาการได้ว่าพวกเขาจะพลาดต่อเนื่องกันได้มากถึง 3-4 นัดได้หรือไม่
ดังนั้นแมนฯ ซิตี้จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากที่จะต้องเอาชนะให้ได้สถานเดียวเพื่อลดช่องว่างให้เหลือ 4 คะแนน ซึ่งเป็นระยะห่างที่ใกล้และง่ายกว่ามากหากคิดจะแซงหน้ากลับขึ้นไปนำอีกครั้ง
เพียงแต่พวกเขาจะทำได้สำเร็จไหม และสุดท้ายแล้วเกมนี้มันมีความหมายถึงขนาดนั้นจริงหรือเปล่า
ตัดสินแชมป์ที่ตรงนี้?
สมมติหากลิเวอร์พูลบุกมาชนะแมนฯ ซิตี้ได้ในเกมนี้ จะหมายถึงการที่พวกเขาจะได้แชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 29 ปีเลยหรือ
คำตอบคือไม่ใช่อยู่แล้วครับ เพราะเส้นทางอีกยาวไกล
ในเรื่องนี้มีสถิติที่น่าสนใจเอามาฝากครับ โดยสมมติหากลิเวอร์พูลชนะ พวกเขาจะทิ้งห่างสเปอร์สเป็น 9 แต้ม และแมนฯ ซิตี้ 10 แต้ม ซึ่งในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ใช้ระบบชนะได้ 3 คะแนนในปี 1981/82 มีเพียง 4 ทีมที่เคยทิ้งห่าง 9 คะแนนหรือมากกว่าในช่วงเวลานี้ของฤดูกาลที่เคยพลาดแชมป์
หนึ่งในนั้นคือทีม ‘สาลิกาดง’ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ซึ่งเคยนำห่างมากถึง 12 คะแนนในช่วงกลางเดือนมกราคมของฤดูกาล 1995/96 แต่สุดท้ายแล้ว แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมชุดที่เต็มไปด้วยเด็ก (ที่ต่อมากลายเป็นตำนาน Class of ’92) สามารถแซงคว้าแชมป์ไปครองได้อย่างเหลือเชื่อและสะใจ
หรือย้อนกลับไปไม่นานในฤดูกาล 2013/14 ครั้งนั้นลิเวอร์พูลเคยนำห่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่ถึง 9 คะแนนในช่วงเดือนเมษายน แต่ท้ายที่สุดก็โดนแซง พลาดแชมป์ไปอย่างน่าเจ็บปวดด้วยการ ‘ลื่น’ เพียงครั้งเดียว
ดังนั้นสำหรับ เป๊ป กวาร์ดิโอลา และเจอร์เกน คลอปป์ พวกเขาไม่ได้คิดว่าเกมนัดนี้คือจุดตัดสินที่แท้จริง
เป๊ปกล่าวก่อนเกมว่า “นี่เป็นโอกาสดีที่เราจะได้ลดช่องว่าง สิ่งที่เราสนใจนั้นเหมือนเดิม ทุกคนถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเราแพ้ แต่เราจะพยายามเล่นตามแบบเรา ไปให้ถึงที่สุด และต่อสู้เพื่อพรีเมียร์ลีกให้ไกลที่สุดเท่าที่เราจะทำได้”
ขณะที่คลอปป์กล่าวว่า “การพบกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นแค่เกมปกติธรรมดา แค่เป็นเกมที่ยากมากแค่นั้น”
อย่างไรก็ดี ระหว่างเป๊ปและคลอปป์ เราได้เห็นเกมจิตวิทยาแบบเบาๆ ซึ่งไม่ค่อยได้เห็นจากทั้งคู่มากนักครับ เมื่อต่างฝ่ายต่างยกย่องอีกทีมว่าเป็นทีมที่ดีที่สุดในโลก เพื่อเป็นการโยนความกดดันให้กันและลดความกดดันในฝั่งของตัวเอง
นัยหนึ่งแล้วมันก็เป็นเครื่องสะท้อนที่ดีว่าเกมนัดนี้มีความหมายมากขนาดไหน
ขั้นต่ำที่สุดคือเกมที่มีความหมายไปกลับถึง 6 คะแนน โดยมีเรื่องของ ‘ขวัญและกำลังใจ’ เป็นปัจจัยผกผันที่จะเกิดขึ้นตามมาจากผลการแข่งขันในเกมนี้
พอล เมอร์สัน ตำนานกันเนอร์ส ยังมีคำถามว่าหากสมมติลิเวอร์พูลแพ้ในเกมนี้ขึ้นมา พวกเขาจะเสียสถานะ ‘ไร้เทียมทาน’ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดความมั่นใจที่สำคัญในช่วงที่ผ่านมา และถ้าเสียมันไปแล้วพวกเขาจะสามารถกลับมาได้ไหม หรือจะหลุดวงโคจรยาวไปเลย
เป็นคำถามที่น่าสนใจทีเดียว
เทศกาลงานดอกไม้ไฟหรือคืนที่ไร้แสงดาว
หนึ่งในสิ่งที่แฟนฟุตบอลไม่ว่าจะเป็นซิตี้เซนส์หรือเดอะ ค็อป หรือไม่ก็ตามอยากรู้คือซิตี้และลิเวอร์พูลจะเล่นกันอย่างไรในเกมนี้
จะเดินหน้าท้าชน ปูพรมเกมรุกบุกถล่มคู่แข่งให้ราพณาสูรเหมือนในฤดูกาลที่แล้วที่พบกันครั้งใดก็เปิดฉากบุกใส่กันยับไม่มีคำว่าถอยทุกครั้ง
หรือจะเป็นเกมที่เต็มไปด้วยความอึดอัดของความรู้สึกที่ไม่อยากแพ้เหมือนการพบกันครั้งแรกในฤดูกาลนี้ที่แอนฟิลด์
สำหรับเกมนี้ แนวโน้มนั้นค่อนข้างชัดเจนสำหรับแมนฯ ซิตี้ที่จะต้องเปิดฉากลุยเข้าใส่อย่างแน่นอน ซึ่งโชคดีที่พวกเขาฟื้นกลับมาจากความรู้สึกเลวร้ายที่แพ้ต่อคริสตัล พาเลซ และเลสเตอร์ ได้เร็วด้วยการเอาชนะเซาแธมป์ตันได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
หนึ่งในเหตุผลสำคัญคือการทยอยกลับมาของนักเตะตัวเอก โดยเฉพาะอย่าง เฟอร์นันดินโญ กองกลางตัวรับชาวบราซิล ที่พิสูจน์คุณค่าให้เห็นเมื่อทีมแพ้ต่อทีมรองบ่อนถึง 2 เกมติดในวันที่ไม่มีเขาเป็นกันชนให้ในพื้นที่ตรงกลางสนาม
นอกจากนี้ยังมี เควิน เดอ บรอยน์ ที่หายทันและมีโอกาสที่จะลงช่วยทีมในเกมนี้ด้วย
อย่างไรก็ดี มีคำถามต่อไปที่สำคัญไม่แพ้กันว่าพวกเขาจะเจาะเกมรับของลิเวอร์พูลได้ไหม จะยิงทิ้งเหมือนที่เคยถล่มยับถึง 5-0 ในเกมเมื่อฤดูกาลที่แล้วได้หรือไม่ เพราะลิเวอร์พูลในวันนี้แตกต่างจากวันวานอย่างมาก
สิ่งที่ทีมหงส์แดงแตกต่างจากเดิมชัดเจนที่สุดคือเรื่องของเกมรับที่แข็งแกร่งขึ้นราวกับเป็นคนละทีม ซึ่งเป็นผลจากการทุ่มเงินเพื่อซื้อ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ที่กลายเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟที่ดีที่สุดของพรีเมียร์ลีกในเวลานี้ และอลิสสัน ประตูชาวบราซิลที่กลายเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายเข้ามาช่วยกระชับแนวรับจนทำให้จุดอ่อนกลายเป็นจุดแข็ง ตลอดทั้งฤดูกาลพวกเขาเสียไปเพียงแค่ 8 ประตูเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากฤดูกาลที่แล้วที่ในช่วงเวลาเดียวกันเสียถึง 21 ประตู
ด้วยเกมรับที่แข็งแกร่ง ทำให้ทีมของคลอปป์ปรับสไตล์การเล่นได้อย่างยืดหยุ่น โดยสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ระบบการเล่นแบบดั้งเดิม 4-3-3 ที่มาพร้อมสไตล์ Gegenpressing ซึ่งก็เคยพิชิตซิตี้มาได้แล้วในเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกฤดูกาลที่แล้วทั้ง 2 นัดในรอบ 8 ทีมสุดท้าย
หรือจะเป็นระบบใหม่ 4-2-3-1 ที่มั่นคงและมีมิติในเกมรุกที่หลากหลายขึ้น โดยจะมีกองกลางตัวรับ 2 ราย และมีตัวทำเกมอย่าง เซอร์ดาน ชากิรี คอยช่วยพลิกเกมให้
ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าคลอปป์จะเลือกเล่นแบบไหน ซึ่งนั่นเป็นความได้เปรียบเล็กๆ เช่นกันกับความได้เปรียบอีกนิดว่าพวกเขาพอใจได้กับทั้งผลชนะหรือเสมอ
ฟิล ธอมป์สัน ตำนานรุ่นเดอะแห่งแอนฟิลด์ ได้วิเคราะห์ก่อนการลงสนามนัดนี้ โดยแสดงออกถึงความคาดหวัง (เช่นเดียวกับที่เราทุกคนคาดหวัง) คือการได้เห็น ‘เทศกาลงานดอกไม้ไฟ’ ในเกมนัดนี้
ในความหมายคือขอให้ได้ดูการเล่นฟุตบอลในระดับสูงสุด การดวลกันด้วยความสามารถของผู้เล่น การประลองสมองของสองยอดผู้จัดการทีมที่เก่งที่สุดในพรีเมียร์ลีกเวลานี้ และการเล่นด้วยหัวใจที่เร่าร้อนของสองทีมที่ไม่มีใครอยากยอมแพ้ให้กับใคร
เหมือนดอกไม้ไฟที่ถูกจุดขึ้นบนฟ้า
สว่างไสวและงดงาม
ขณะที่ มาร์ค ลอว์เรนสัน อดีตตำนานลิเวอร์พูลอีกคนวิเคราะห์ในทางตรงข้ามว่าเกมนี้ทั้งสองทีมน่าจะเกรงและเกร็งกับพลังทำลายล้างในเกมรุกของแต่ละฝ่าย ซึ่งอาจทำให้เกมออกมาเหมือนนัดแรกที่แอนฟิลด์ที่มืดมนราวกับคืนที่ไร้แสงดาว
นั่งดูกันอย่างเหงาๆ แล้วก็เข้านอน
การเบียดลุ้นแชมป์ที่ดีที่สุด
ไม่ว่าผลการแข่งขันในเกมนี้จะออกมาอย่างไรก็ตาม สิ่งที่ดีที่สุดที่จะเกิดขึ้นสำหรับฟุตบอลพรีเมียร์ลีกคือการที่เราจะได้เห็นการเบียดลุ้นแชมป์ที่ดีที่สุดในรอบหลายปี
จากจุดเริ่มต้นของพรีเมียร์ลีก การลุ้นแชมป์เป็นของทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, แอสตัน วิลล่า, นอริช, แบล็กเบิร์น โรเวอร์ส และน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ มาจนถึงยุคการขับเคี่ยวสุดคลาสสิกระหว่างอาร์เซนอลภายใต้การนำของ อาร์เซน เวนเกอร์ กับปีศาจแดงของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในช่วงปลายยุค 90s
เข้ายุคมิลเลนเนียม เชลซีกลายเป็นมหาอำนาจใหม่เมื่อได้ทุนจาก โรมัน อบราโมวิช เจ้าบุญทุ่มผู้คลั่งไคล้เกมฟุตบอลจากรัสเซีย ก่อนที่จะมีแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นอีกทีมในกลุ่มอำนาจใหม่ที่เข้ามาผงาดเหนือน่านฟ้าวงการลูกหนังเมืองผู้ดี
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไม่เคยมีการขับเคี่ยวครั้งใดจะเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเช่นเดียวกับคุณภาพของเกมฟุตบอลในระดับสูงสุดเหมือนการขับเคี่ยวระหว่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้
ผลดีที่เกิดขึ้นในทางตรง แน่นอนว่าย่อมเป็นความตื่นเต้น การลุ้นระทึก ซึ่งเป็นสิ่งที่แฟนฟุตบอลทั่วโลกมีความสุขไปกับมัน
ผลดีในทางอ้อมคือด้วยมาตรฐานที่ถูกยกระดับสูงขึ้น ย่อมหมายถึงการที่ทีมอื่นๆ ก็ต้องพยายามยกระดับตัวเองขึ้นด้วยเช่นกันเพื่อแข่งขัน เหมือนที่ลิเวอร์พูลได้พยายามถีบตัวเองอย่างหนักจนสามารถไล่ตามทีมอย่างซิตี้ที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ด้วยคะแนนเกิน 100 คะแนนเมื่อฤดูกาลที่แล้ว
ความสำเร็จของทั้งสองทีมซึ่งสามารถเล่นฟุตบอลเกมรุกได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจยังสร้างแรงบันดาลใจที่ดีให้เกิดขึ้นต่อวงการฟุตบอลในภาพรวม โดยเฉพาะกับเด็กรุ่นใหม่ที่จะได้เห็นการเล่นฟุตบอลที่ดี มีความสนุกในการเล่น ต่อสู้กันอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่ใช่สนใจเฉพาะเพียงแค่ผลของการแข่งขันโดยไม่เลือกวิธีการ
อีกประการที่น่าสนใจคือแนวทางของการบริหารสโมสรที่แตกต่างระหว่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และลิเวอร์พูล แต่ก็เป็นแนวทางที่น่านำมาศึกษา
ทีมหนึ่งร่ำรวย ใช้จ่ายไม่มีวันหมด แต่ไม่ใช่จะให้ความสำคัญเฉพาะกับการซื้อซูเปอร์สตาร์อย่างเดียว หากแต่พัฒนาเกมระดับเยาวชนอย่างแข็งแกร่ง และกลายเป็นหนึ่งในสโมสรที่มีระบบเยาวชนดีที่สุดในอังกฤษ (ไม่นับศูนย์ฝึก)
อีกทีมมีการบริหารสโมสรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ทุกอย่างสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตั้งแต่ผู้จัดการทีมที่เข้ากันได้กับเอกลักษณ์และตัวตนของสโมสร (ลองนึกภาพมูรินโญมาคุมลิเวอร์พูลสิ…) มีการกระจายอำนาจการบริหารจัดการทีมชัดเจน มีทีมเทคนิคที่เก่งกาจ สตาฟฟ์โค้ชชั้นยอด และการซื้อผู้เล่นที่คุ้มค่าการลงทุนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเซ็นฟรี การซื้อผู้เล่นฝีเท้าดีราคาถูก หรือการซื้อสตาร์ราคาแพงที่ตอบโจทย์
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สโมสรฟุตบอลทุกแห่ง ไม่เฉพาะในพรีเมียร์ลีก สามารถนำมาศึกษาและดูเป็นแนวทางได้
ถือเป็นเครื่องเคียงไว้คิดประกอบไปในระหว่างการเฝ้ารอให้เสียงนกหวีดแรกที่เอติฮัด สเตเดียม ดังขึ้น
กับซูเปอร์สตาร์อย่าง โม ซาลาห์, เซร์จิโอ อเกวโร, ดาบิด และแบร์นาโด ซิลวา, เควิน เดอ บรอยน์, เฟอร์นันดินโญ, ฟาน ไดค์, เฟียร์มิโน, เอแดร์สัน และอลิสสัน
ในเกมที่คู่ควรกับการขนานนามว่าเป็นเกมแห่งฤดูกาล เพียงแต่ยังไม่ใช่จุดตัดสิน หากเป็นเพียงจุดสตาร์ทอย่างเป็นทางการของการลุ้นแชมป์ที่น่าจะคู่คี่และสูสีที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
- ลิเวอร์พูลบุกมาชนะซิตี้ได้ถึงเอติฮัดแค่ครั้งเดียวจาก 9 ครั้งหลังสุดในพรีเมียร์ลีก โดยชัยชนะครั้งนั้นคือการชนะ 4-1 ในเกมที่ เจอร์เกน คลอปป์ คุมลิเวอร์พูลมาเยือนครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน 2015
- ตลอดชีวิต เป๊ป กวาร์ดิโอลา ไม่เคยคุมทีมแพ้ในบ้าน 2 เกมติดต่อกันมาก่อน ขณะที่ซิตี้ไม่เคยแพ้เกมในบ้าน 2 นัดติดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2016
- หากเป๊ปชนะ นี่จะเป็นการชนะเกมที่ 100 ของเขาในการคุมแมนเชสเตอร์ ซิตี้
- คลอปป์คือผู้จัดการทีมที่เป๊ปแพ้ทาง โดยในการพบกัน 15 ครั้ง เขาชนะแค่ 5 และแพ้กุนซือชาวเยอรมันถึง 7 ครั้ง
- ลิเวอร์พูลเริ่มต้นปี 2019 ด้วยการนำห่าง 7 คะแนน ไม่เคยมีทีมใดในประวัติศาสตร์ที่พลาดแชมป์พรีเมียร์ลีกหากนำด้วยแต้มที่ห่างมากขนาดนี้