“บางทีหลังจากที่ได้แชมป์มา 6 จาก 7 ปีหลังสุด มันก็อาจต้องมีสักปีหนึ่งที่ทีมอื่นสมควรที่จะได้เป็นแชมป์บ้าง”
คำพูดเชิงตัดพ้อจาก เป๊ป กวาร์ดิโอลา นายใหญ่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์เก่าพรีเมียร์ลีก 4 สมัยติดต่อกัน ไม่ช่วยให้สถานการณ์และความรู้สึกของทีม ‘เรือใบสีฟ้า’ ดีขึ้นสักเท่าไรนัก
เพราะมันไม่สามารถลบล้างความจริงที่ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา แพ้รวดติดต่อกัน 4 นัด (รวมทุกรายการ) ซึ่งเป็นสิ่งที่ยอดกุนซือชาวกาตาลันไม่เคยประสบมาก่อนในชีวิตการทำงาน
สิ่งที่ทำให้ทีมของเป๊ปต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้คืออะไร และมันพอจะเรียกว่าเป็นวิกฤตของพวกเขา (ที่พวกเราไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย) ได้หรือยัง?
ย้อนกลับไป 4 นัดที่ผ่านมา แมนฯ ซิตี้ เริ่มเกิดปัญหาเครื่องสะดุดในรายการฟุตบอลที่เคยเป็นขนมกรุบกริบอย่างลีกคัพหรือคาราบาวคัพ เมื่อพลาดท่าต่อท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ไปอย่างหวุดหวิด 2-1
ความพ่ายแพ้ในวันนั้นยังไม่ได้เป็นปัญหามากนักเมื่อทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ประสบวิกฤตตัวผู้เล่นบาดเจ็บอยู่หลายคน และจัดทีมชุดสองลงสนาม (แม้ว่าในทีมจะมีดาวรุ่งจริงๆ คือ เจมส์ แมคเอที และ นิโก โอไรลีย์ แค่ 2 คนในทีมตัวจริงก็ตาม)
เกมที่เป็นการส่งสัญญาณความผิดปกติให้เห็นคือวันที่ออกไปพ่ายต่อบอร์นมัธด้วยสกอร์ 2-0 ที่ไวทาลิตี้สเตเดียม ซึ่งเป็นการพ่ายแพ้ในเกมพรีเมียร์ลีกเป็นนัดแรกของฤดูกาล ซึ่งเป็นเหมือนการ ‘เปิดแผล’ ให้เราได้เห็นว่าจริงๆ แล้วภายใต้รูปโฉมที่ดูดี ภายในของแมนฯ ซิตี้ เต็มไปด้วยบาดแผลมากมายที่เกิดขึ้นจากการกรำศึกหนักในช่วงที่ผ่านมา
จากนั้นคือหายนะในเกมที่โดนสปอร์ติง ลิสบอน ภายใต้การนำของ รูเบน อโมริม ว่าที่นายใหญ่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คนใหม่ ถล่มแบบหมดสภาพถึง 4-1 ก่อนที่เอฟเฟกต์จะส่งผลต่อมาถึงเกมล่าสุดที่แพ้ต่อไบรท์ตันอีก 2-1
เป๊ป กวาร์ดิโอลา ผู้ไม่เคยสักครั้งในชีวิตที่จะเจอความพ่ายแพ้ 4 นัดติดต่อกันถึงกับหน้ามึนกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพียงแต่พยายามบอกว่า “ตอนนี้เพิ่งจะเดือนพฤศจิกายน” ยังมีเวลาที่ซิตี้จะหาหนทางกลับมาในเส้นทางของตัวเองได้
ใครก็เชื่อว่าเป๊ปจะทำได้อย่างแน่นอน เพียงแต่หากเรากรีดแผลให้กว้างและแหวกให้ลึกไปอีกก็จะพบว่ามีเหตุผลซ่อนอยู่ไม่น้อยในสถานการณ์ที่ซิตี้เผชิญอยู่ ณ เวลานี้
ขาดโรดรีไม่ตายหรอกเธอ?
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการสูญเสีย โรดรี นักฟุตบอลเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ 2024 ส่งผลกระทบต่อทีมอย่างรุนแรงที่สุด
เรียกว่าถ้าเป็นภัยพิบัติก็เหมือนกับมหาคลื่นสึนามิ หรือแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดเลยทีเดียว
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาโรดรียืนหยัดเป็นเสาหลักค้ำยันให้แมนฯ ซิตี้ ผงาดเหนือทุกทีมได้ตลอด ไม่เพียงแค่เฉพาะบทบาทของการควบคุมบงการเกมในแดนกลางให้กาลและเวลา (ภาษาฟุตบอลเรียกว่า ‘Pausa’) เลื่อนไหลไปตามใจชอบ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทีมที่เน้นการครองบอลอย่างซิตี้
แต่โรดรียังเป็นตัวแบกเกมรับในฐานะปราการด่านหน้าที่ต้านทานเกมรุกของคู่แข่ง ซึ่งหลายครั้งลงมาช่วยแก้ไขความผิดพลาดของเพื่อนร่วมทีมให้ทีมรอดตัวได้อย่างหวุดหวิด ซึ่งจะเห็นได้ตั้งแต่ต้นฤดูกาลที่แล้วที่ซิตี้ขาดกองกลางทีมชาติสเปนรายนี้ปุ๊บ แพ้ทุกนัดที่ไม่มีเขาทันที
ไม่นับเรื่องเกมรุก ที่หลายครั้งก็เติมขึ้นไปสนับสนุนทีมที่มักจะมีปัญหาขาดแคลนไอเดียในการเล่นบ่อยครั้ง เพราะตัวครีเอทีฟอย่าง เควิน เดอ บรอยน์, แบร์นาร์โด ซิลวา หรือแม้แต่ ฟิล โฟเดน เองก็ไม่ได้อยู่ในร่องในรอยตลอดเวลา
ตัวเลขสถิติยังฟ้องชัดเจน นับจากการออกสตาร์ทฤดูกาลที่แล้ว (2023/24) โรดรีลงเล่นให้แมนฯ ซิตี้ 53 นัด พวกเขาชนะ 39 นัด เสมอ 13 นัด และแพ้แค่เกมเดียวคือการแพ้ให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ
แต่ใน 24 นัดที่ไม่มีโรดรี แมนฯ ซิตี้ ชนะแค่ 14 นัด เสมอ 2 และแพ้ถึง 8 นัด
อัตราส่วนระหว่างการแพ้กับชนะของทีมที่มีโรดรีกับไม่มีโรดรีแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ 58.3% กับ 73.6%
แล้วทำไมไม่หาตัวแทนโรดรี?
เมื่อโรดรีสำคัญขนาดนั้น ทำไมแมนฯ ซิตี้ ไม่หาตัวตายตัวแทนของเขาสักคน?
ความจริงก็ไม่เชิงไม่หา เพียงแต่ตัวผู้เล่นที่ถูกซื้อเข้ามาเสริมทีมในช่วงที่ผ่านมาไม่มีใครดีพอที่จะทดแทนการขาดหายของโรดรีได้แม้แต่คนเดียว และที่แย่กว่านั้นคือ ไม่มีใครดีพอที่จะทำให้เป๊ปคิดปรับขยับแผนเพื่อหาทางออกในวิกฤตที่เกิดขึ้นได้ด้วย
2 นักเตะในตำแหน่งกองกลางที่ซิตี้ทุ่มเงินซื้อเข้ามาในฤดูกาลที่แล้วคือ มาเตโอ โควาซิช และ มาเตอุส นูเนส ซึ่งมีค่าตัว 25 และ 53 ล้านปอนด์ ตามลำดับ เวลาพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่นักเตะในคุณภาพระดับเดียวกับโรดรี
ในรายของโควาซิชที่ซื้อมาจากเชลซี แม้ว่าจะพอทำผลงานใช้ได้ แต่ก็ไม่ดีในระดับที่จะเป็นคนแบกทีมได้ตลอดเวลา และดูเหมือนจะเลยช่วงสูงสุดของการเล่นไปแล้ว ในขณะที่รายของนูเนสยิ่งแล้วใหญ่ เพราะแทบไม่มีบทบาทในทีม
แต่สิ่งที่ทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปอีกก็คือ การที่เมื่อมีโอกาสแก้ตัวในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา ทีมงานของซิตี้กลับเลือกดึง อิลคาย กุนโดกัน ที่ถูกโละจากบาร์เซโลนากลับมา
เกือบลืมไป! เพราะความจริงมีคนที่ถูกคาดหวังว่าจะเป็นตัวทดแทนของโรดรี แต่กลายเป็นการลงทุนที่ล้มเหลวที่สุดครั้งหนึ่งคือ คาลวิน ฟิลลิปส์ นั่นเอง
ความล้มเหลวของการ Recruitment
การเสริมทัพด้วยนักเตะอย่างฟิลลิปส์, โควาซิช, นูเนส และกุนโดกัน ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนถึงความล้มเหลวของระบบการ Recruitment แมนฯ ซิตี้ ที่เคยทำได้ดีมาโดยตลอด
โดยที่ปัญหาไม่ได้มีแค่นักเตะทั้ง 4 รายนี้เท่านั้น เพราะนักเตะอย่าง เยเรมี โดกู, ซาวินโญ หรือ แจ็ค กรีลิช เองก็ไม่ได้ให้ผลตอบแทนการลงทุนที่คุ้มค่า และก้าวขึ้นมาเป็นซูเปอร์สตาร์ของทีมได้เหมือนนักเตะเซ็ตก่อนอย่าง ริยาด มาห์เรซ, แบร์นาร์โด ซิลวา หรือแม้แต่กุนโดกัน
คนที่พอจะยิ้มออกอาจมีแค่ ยอสโก กวาร์ดิโอล แต่แลกมาด้วยการลงทุนระดับ 90 ล้านปอนด์ ซึ่งก็ไม่แน่ใจนักว่าคุ้มค่าแล้วหรือไม่ในการเอามาใช้เป็นแบ็กซ้าย และ มานูเอล อาคานจี กับ สเตฟาน ออร์เตกา ที่กลายเป็นตัวเซอร์ไพรส์ที่ดีกว่าที่คิด
อีกคนที่เป็นการลงทุนที่ดีคือ ฮูเลียน อัลวาเรซ ซึ่งน่าเสียดายที่นักเตะต้องการโอกาสในการลงสนามต่อเนื่องจึงย้ายออกจากทีม
ส่วนนักเตะที่พอจะพูดได้ว่าเป็นการซื้อที่ยอดเยี่ยมมีเพียงแค่ เออร์ลิง เบราต์ ฮาลันด์ คนเดียวเท่านั้น แต่นั่นก็เพราะนี่คือฮาลันด์ นักเตะที่ทุกคนมองเห็นศักยภาพอยู่แล้ว สิ่งที่ยากกว่าคือการขายไอเดียให้ย้ายมาร่วมทีมเท่านั้น
ทั้งหมดนี้ทำให้เราอาจกล่าวได้ว่า 3-4 ปีที่ผ่านมา ทีมงานของแมนฯ ซิตี้ ภายใต้การนำของ ซิกิ เบกิริสไตน์ ล้มเหลวในเรื่องของการเสริมทัพที่ดูประมาทอย่างเห็นได้ชัด
กลุ่ม Leader ที่หมดไฟ
ให้ความยุติธรรมกับทีม Recruitment ของซิตี้ การขาดการเสริมทัพที่ดีส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะที่ผ่านมาทีมแทบไม่แสดงอาการให้เห็นว่ามีปัญหาเลย
ตัวหลักอย่าง เอแดร์สัน, รูเบน ดิอาส, ไคล์ วอล์กเกอร์, โรดรี, กุนโดกัน, ซิลวา, เดอ บรอยน์, โฟเดน และฮาลันด์ ผ่านบททดสอบยากๆ ได้เสมอ แต่มาถึงฤดูกาลนี้สิ่งที่เริ่มสังเกตเห็นได้ก็คือ นักเตะแกนหลักหลายคนเริ่มโรยราอย่างชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็นวอล์กเกอร์ที่ความเร็วตกลงอย่างสังเกตได้จนกลายเป็นจุดอ่อน, แบร์นาร์โด ซิลวา ที่ความปราดเปรียวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนกุนโดกันสภาพก็คือแทบไม่เหลือสภาพแล้ว
การที่ผู้เล่นในระดับ Leader อาการออกแบบนี้ ทำให้ทุกอย่างยิ่งเลวร้ายขึ้นไปอีก เพราะหมายถึงการขาดผู้เล่นที่มี Winning Mentality และขาด Hunger หรือความกระหายในการหาทางเอาชนะคู่แข่งให้ได้
หรือเป๊ปเองที่ไฟมอด?
นับจากรับตำแหน่งในปี 2016 จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลา 8 ปีเต็มแล้วที่เป๊ปอยู่กับแมนฯ ซิตี้ (และจบฤดูกาลนี้ก็ถือเป็นปีที่ 9) ซึ่งถือว่าเป็นการคุมทีมที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของกุนซืออัจฉริยะที่เก่งที่สุดในโลก
ช่วงที่ผ่านมาเป๊ปเผชิญกับความท้าทายอย่างหนักหน่วงมากมาย ไม่ว่าจะตั้งแต่ช่วงเริ่มแรกในการพิสูจน์ฝีมือในฟุตบอลอังกฤษ ซึ่งสามารถพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ในฤดูกาลที่ 2 ก่อนจะเจอคู่แข่งแห่งชีวิตอย่าง เจอร์เกน คล็อปป์ ที่ตีรันฟันแทงกันมาหลายปี
ก่อนที่สองฤดูกาลที่ผ่านมาจะเจอกับความท้าทายจากคู่แข่งหน้าใหม่แต่เป็นคนคุ้นเคยอย่าง มิเกล อาร์เตตา อดีตมือขวาที่พาอาร์เซนอลขึ้นมาขอท้าชนด้วย
ไม่ว่าจะอย่างไร เป๊ปผ่านมาได้หรือหาทางกลับมาได้อย่างสวยงามเสมอ
แต่ดูเหมือนในเวลานี้เป๊ปเองก็เริ่มจะหมดไฟหรือไม่? ระบบการเล่น แท็กติก สูตร กลยุทธ์ วิธีการเล่นต่างๆ เริ่มไม่ได้ผล และคู่แข่งเริ่มค้นพบจุดอ่อน (ซึ่งแน่นอนก็เกิดจากการขาดโรดรีและมีปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บหลายรายผสมด้วย)
โดยเฉพาะในเกมรุกที่เคยเป็นจุดเด่นก็ตกลงอย่างมีนัยสำคัญ
เรื่องเกมรับเห็นได้ชัดว่าค่าเฉลี่ยการเสียประตูเพิ่มจากฤดูกาลที่แล้วจาก 0.92 เป็น 1.17 ประตู และยังเปิดโอกาสให้คู่แข่งยิงได้เยอะขึ้นด้วย แต่ที่อาการหนักกว่าน่าจะเป็นเกมรุก
ในฤดูกาล 2023/24 แมนฯ ซิตี้ เคยมีค่าเฉลี่ยทำประตูต่อนัดอยู่ที่ 2.53 ประตู แต่ในฤดูกาลนี้ตัวเลขตกลงมาเหลือแค่ 2 ทั้งๆ ที่มีการยิงเข้ากรอบเฉลี่ยมากขึ้นจาก 18.5 เป็น 19.6 ครั้ง
ผู้ที่แบกความหวังของซิตี้ในเกมรุกมีคนเดียวคือฮาลันด์ที่ทำไป 15 ประตู (ทุกรายการ) จากจำนวนประตูทั้งหมดที่ทีมทำได้ 36 ประตู โดยผู้เล่นตัวรุกคนอื่นช่วยทีมได้น้อยมาก ไม่ว่าจะเป็นโฟเดน (3 ประตู), โดกู (2), ซาวินโญ (0) หรือกรีลิช (0)
กลายเป็นผู้เล่นอย่าง จอห์น สโตนส์, กวาร์ดิโอล, นูเนส และโควาซิช ที่ยิงกันได้คนละ 3 ประตูในเวลานี้
หลายคนอาจจะมองว่าคู่แข่งเริ่มจับทางและแก้เกมของแมนฯ ซิตี้ ได้แล้ว
แต่มองอีกมุมหนึ่ง คนอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอลา ถ้าคิดจะเปลี่ยนอะไรทำไมจะเป็นไปไม่ได้? ถ้ามันจะเป็นไปไม่ได้ก็อาจเป็นเพราะไม่อยากหรือเหนื่อยล้าเกินกว่าที่จะทำหรือเปล่า?
อย่างไรก็ดี ในคำพูดของเป๊ปหลังเกมกับไบรท์ตันยังคงมั่นใจว่าซิตี้จะหาทางกลับมาได้แน่นอนหลังจากนี้ ระยะห่าง 5 แต้มกับจ่าฝูงลิเวอร์พูลไม่นับว่าไกลสำหรับพวกเขา และยังมีโอกาสแก้ตัวในตลาดซื้อขายรอบฤดูหนาว
นี่มันเพิ่งเดือนพฤศจิกายนเอง
จะรีบหนาวกันไปไหน จริงไหม?
อ้างอิง:
- https://www.bbc.com/sport/football/articles/crln56x6820o
- https://www.bbc.com/sport/football/articles/c079vdd83gzo
- https://mancitynews.com/man-city-news-guardiola-premier-league-title/