*บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์
หากต้องเปรียบเทียบภาพยนตร์เรื่อง Mamma Mia! Here We Go Again กับของหวานสักอย่างหนึ่ง เราคงต้องเลือก Rainbow Cake ที่กำลังเทรนดิ้งเพราะสีสันจัดจ้าน ดูสนุก ดูโลกสวย นุ่มนวล และถึงแม้จะกินไปเรื่อยๆ แล้วรู้สึกเลี่ยน แต่ถ้าถามว่าครั้งหน้าจะสั่งอีกไหม? สั่งแน่นอน
Mamma Mia! Here We Go Again เป็นภาพยนตร์เพลงโรแมนติกคอเมดี้ภาคต่อ ที่ย้อนกลับไปในปี 1979 ตอนที่ ดอนนา เชอริแดน (แสดงโดย ลิลี เจมส์) จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และตัดสินใจออกผจญภัยทั่วยุโรปเพื่อทำตามความฝัน โดยระหว่างการเดินทาง เธอได้ผูกมิตรกับชายหนุ่มเจ้าเสน่ห์ 3 คน เริ่มด้วยแฮร์รี (ฮิวจ์ สกินเนอร์) หนุ่มอังกฤษที่กรุงปารีส, บิล (แสดงโดย จอช ดีแลน) หนุ่มสวีเดนผู้เสนอจะพาดอนนาไปยังเกาะคาโลไครีในกรีกด้วยเรือใบของเขา และแซม (แสดงโดย เจเรมี เออร์วิน) หนุ่มไอริช-อเมริกันที่ไปเจอบนเกาะคาโลไครี และดอนนาตกหลุมรักหัวปักหัวปำ แต่เขาก็ทำให้หัวใจเธอแตกสลาย เมื่อพบว่าแซมหมั้นหมายอยู่กับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง
สุดท้ายเธอรู้ว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์และตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่บนเกาะคาโลไครีต่อไป แม้จะไม่รู้ว่าพ่อของลูกคือใครกันแน่ในผู้ชาย 3 คนนี้
ตัดมาที่ปัจจุบัน โซฟี เชอริแดน (แสดงโดย อแมนดา ไซย์ฟรีด) ลูกสาวของดอนนา (แสดงโดย เมอรีล สตรีป) ก็ตัดสินใจว่า เพื่อเป็นการยกย่องแม่เธอที่เสียชีวิตไปเมื่อปีก่อน เธอจะเปิดโรงแรมของแม่อีกครั้งในชื่อ Hotel Bella Donna โดยได้เชิญพ่อทั้ง 3 คนมาปาร์ตี้งานเปิดตัว แต่ที่สร้างความช็อกคือ การมาปรากฏตัวของคุณยาย รูบี้ เชอริแดน (แสดงโดยแชร์) ที่ใช้ชีวิตเป็นเอ็นเตอร์เทนเนอร์อยู่ลาสเวกัสมาโดยตลอดและไม่เคยสนใจครอบครัวมาก่อน
นี่คือผลงานจากการร่วมมือของ โอล พาร์กเกอร์ ผู้กำกับชาวอังกฤษและ ริชาร์ด เคอร์ทิส ผู้เขียนบทเจ้าของเดียวกับเจ้าพ่อหนังโรแมนติกคอเมดี้ที่เคยเขียนบท Notting Hill และ Love Actually มาแล้ว ตลอดเกือบ 2 ชั่วโมงของภาพยนตร์ สิ่งที่ประสบความสำเร็จที่สุดเห็นจะเป็น Production Design ของ อลัน แม็กโดนัลด์ ที่เสียชีวิตขณะถ่ายทำเรื่องนี้ ที่ถ่ายทอดความรู้สึกตระการตา กลมกล่อม และชุ่มฉ่ำไปด้วยสีสันที่ทำให้เป็นเหมือนช่วงเวลาซัมเมอร์ในยุโรป ด้วยการนำโทนสีร้อนทุกเฉดใน Pantone มายำรวมกันอย่างลงตัว แถมคอสตูมที่ดีไซน์โดย มิเชล แคลปตัน สาวคนเก่งที่เคยทำเสื้อผ้าให้ซีรีส์ Game of Thrones และ The Crown ก็ให้กลิ่นอายยุค 70s และการแต่งกายแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่ทำให้เรานึกถึงแบรนด์อย่าง Jacquemus และ Missoni ในตอนนี้มากๆ
แน่นอนบทเพลงอมตะของวง ABBA ก็ยังเป็นอีกหนึ่งห้องหัวใจของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ 2 สมาชิก เบนนี แอนเดอรส์สัน และ บียอร์ก เอลเวส ได้ปรากฏตัวในหนังเรื่องนี้ด้วย โดยในภาคนี้ถึงแม้เพลงที่นำมาใช้จะไม่ได้คลาสสิกสุดๆ ที่คนต้องร้องอ๋อทันทีเหมือนภาคแรกในปี 2008 แต่สาวกตัวจริงของ ABBA ก็ต้องรู้จักเพลงอย่าง When I Kissed The Teacher จากอัลบั้ม Arrival ปี 1976 ที่เปิดภาพยนตร์, I Have A Dream, Dancing Queen, Kisses of Fire และ Waterloo เพลงที่ทำให้วงชนะการแข่งขันรายการ Eurovision ในฐานะตัวแทนประเทศสวีเดนในปี 1974 ซึ่งในปีนี้ทางวงได้ประกาศออกมาแล้วว่าจะกลับมารวมตัวกันสำหรับสารคดีใหม่ พร้อมมี 2 เพลงใหม่ที่จะแสดงด้วยกันครั้งแรกในรอบ 35 ปี
อีกหนึ่งไฮไลต์ก็คงหนีไม่พ้นการกลับมาเล่นหนังอีกครั้งของนักร้องระดับตำนานและเจ้าของรางวัลออสการ์อย่างแชร์ หลังจากที่ห่างหายจากจอเงินไปตั้งแต่ปี 2010 กับเรื่อง Burlesque และก็เป็นอีกครั้งที่เธอได้ปรากฏตัวคู่กับ เมอรีล สตรีป หลังเคยประชันบทบาทด้วยกันมาแล้วในภาพยนตร์เรื่อง Silkwood ในปี 1983 โดยใน Mamma Mia! Here We Go Again ถึงแม้แชร์จะแสดงแค่ช่วงท้าย แต่เพราะเธอคือแชร์ เธอก็ถือได้ว่าแย่งซีนทุกคน และต่อไปเราจะไม่แปลกใจถ้ามีผู้แข่งขันรายการ RuPaul’s Drag Race จะนำฉากที่แชร์ร้องเพลง Fernando ไปทำก๊อบปี้โชว์
ตอนแรกที่มีการประกาศสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ เราก็หวาดกลัวว่าจะออกมาไม่ประทับใจ เนื้อเรื่องจะสะเปะสะปะเพราะเวอร์ชันแรกสร้างจากละครเพลงบรอดเวย์ที่เพอร์เฟกต์ และเป็นแค่เกมของฮอลลีวูดที่สมัยนี้ชอบสร้างหนังภาคต่อหรือรีเมกเพราะมีฐานแฟนอยู่แล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่า Mamma Mia! Here We Go Again ถือว่าดีเทียบเท่าภาคแรก มีเสน่ห์ที่เข้าไปชมแล้วไม่ต้องคิดมาก และสนุกกับชีวิตไว้ก่อน แถมภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเป็นการตอกย้ำว่าหนังเพลงก็เป็นแนวที่ไม่ควรเลือนหายไปไหน เพราะมันมีพลังบางอย่างที่ทำให้คนรู้สึกร่วมได้ แม้ภาค 3 อาจดูเป็นไปไม่ได้เพราะเพลง ABBA คงหมดสต็อก แต่ถ้าจะหันไปใช้เพลงของแชร์เราก็ไม่ติด เพราะแค่เปิดภาพยนตร์ด้วยเพลง Believe หรือ Turn Back Time ของเธอก็น่าตื่นเต้นแล้ว
*ภาพยนตร์ Mamma Mia! Here We Go Again เข้าฉายวันที่ 9 สิงหาคมนี้