THE STANDARD POP ขอร่วมปิดฉากตอนสุดท้ายที่คลี่คลายลงไปของละคร มายาเสน่หา ด้วยบทสนาของ แหม่ม-คัทลียา แมคอินทอช และ แอน-สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์ ที่มารับบทเป็นจินตนาและเมทินี สองคุณแม่คนสำคัญที่เชือดเฉือนประชันบทบาท สร้างสีสันที่ทั้งสนุก เข้มข้น ให้แง่คิด
ทั้งในเรื่องคุณค่าของการทำงาน, การรับมือกับความสวย ความสาวที่เปลี่ยนแปลงไป และบทบาทการเป็นแม่ทั้งในชีวิตจริงและในละครเรื่อง มายาเสน่หา ที่ช่วยตั้งคำถามกับ ‘การรักลูกให้ถูกวิธี’ ที่ทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างน่าสนใจ
สามารถรอรับชมบทสัมภาษณ์ของทั้งคู่แบบเต็มๆ ในรูปแบบวิดีโอได้ที่ THE STANDARD POP เร็วๆ นี้
และสามารถรับชมละคร มายาเสน่หา ย้อนหลังได้ที่
ดูย้อนหลัง มายาเสน่หา EP.11 | 28-04-64 (ch3thailand.com)
ณ ตอนนี้ การทำงานสำคัญกับชีวิตพวกคุณอย่างไรบ้าง ในวันที่อายุมากขึ้น หลายคนเริ่มมองหาทางหยุดทำงานแล้วพักผ่อนให้เร็วที่สุด แต่ทุกวันนี้ก็ยังเห็นพวกคุณทำงานไม่หยุด รับบทบาทใหม่ๆ มากขึ้นเรื่อยๆ
แอน: แอนรู้สึกว่าคุณค่าของคนอยู่ที่การทำงาน แอนถูกแม่สอนมาตั้งแต่เด็กว่าให้ทำงาน เก็บเงิน ดูแลตัวเอง อีกเหตุผลหนึ่งที่ถึงแม้ไม่ได้เป็นนางเอกแล้วยังต้องทำอะไรอยู่มากมายเพราะว่าแอนชอบ ในช่วงที่ไม่ได้แสดง เวลาดูหนังฝรั่งแล้วเห็นบทเท่ๆ จะรู้สึกหมั่นเขี้ยวมาก อยากเล่นมาก
อย่างที่สองคือแอนมีความสุขกับการทำงานมากขึ้นถ้าเทียบกับตอนสาวๆ ที่เป็นนางเอกด้วยซ้ำ เพราะเมื่อโตขึ้น ชีวิตที่ผ่านมาได้สอนให้เราเข้าใจความเจ็บปวดรวดร้าวในตอนนั้นมากกว่าตอนเป็นวัยรุ่น ที่เขาพยายามให้เราเล่นบทที่ทุกข์มาก กินข้าวไม่ลง ทั้งที่เรายังไม่เข้าใจมันหรอก แต่ตอนนี้ประสบการณ์สอนให้เราถ่ายทอดความรู้สึกผ่านการแสดงได้คมขึ้น ชัดขึ้น
แหม่ม: คิดแบบพี่แอนเลยค่ะ ว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่ ตราบที่ร่างกายเรายังครบ 32 เราต้องทำงาน ไม่ใช่เพื่อคนอื่น แต่เพื่อตัวเรามีคุณค่า ในเมื่อมีศักยภาพเราจะปล่อยชีวิตไปเรื่อยๆ ไม่ทำอะไรเลยเหรอ
โชคดีที่เริ่มทำงานตั้งแต่อายุยังน้อย สะสมประสบการณ์ สะสมความภาคภูมิใจว่าเราทำงานได้ หาเงินส่งเสียตัวเองเรียนได้ พอมาถึงวันนี้ก็ยังอยากทำงานอยู่ เพราะเป็นสิ่งที่เรารักและผูกพันมาตลอด จนถึงวันที่เราต้องรับบทเป็นแม่ เราก็ยังอยากทำงานแบบนั้นอยู่ อยากทำงานให้เต็มที่ ทำอย่างไรก็ได้ แต่ขอให้ใช้เราให้คุ้มหน่อย คิดว่าเราทำอะไรได้สั่งมาให้หมด
เราไม่ได้คิดว่าต้องต่อรองค่าตัว อันนี้เป็นเรื่องรองลงมา ไม่ได้ดัดจริตนะ ถามว่าเงินดีไหม มันก็ช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิต แต่ถามว่าเป็นหลักสำคัญในตอนนี้หรือเปล่า ก็คงไม่ใช่ เพราะพูดตรงๆ ว่าเรามีครอบครัวที่ดี มีสามีคอยดูแล แต่การได้มาทำตรงนี้มันเหมือนที่พี่แอนบอกว่าสนุก หมั่นเขี้ยว ยิ่งทำให้คนดูชอบเรายิ่งสนุก เหมือนเสพติดคำชมแต่ไม่ใช่ว่าเหลิง คำชมเป็นกำลังใจที่บอกว่าแฮปปี้จังเลย พรุ่งนี้ต้องทำให้ดีกว่านี้อีก เป็นความสุขที่ไม่รู้จะอธิบายได้อย่างไร
ในวันหนึ่งที่อายุมากขึ้น ร่างกายเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ผู้หญิงที่ทุกคนรับรู้มาตลอดว่าเป็นคนที่สวยมากๆ มีวิธีการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างไรบ้าง
แอน: เคยคิดมาก่อนหน้านี้อยู่แล้วว่าวันหนึ่งคนเราจะโตขึ้น แก่ขึ้นไป ตอนอายุ 20 ก็มีความคิดแบบหนึ่ง มีสรีระอย่างหนึ่ง พออายุ 30 ก็รู้สึกว่ามีความเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมกับริ้วรอยของประสบการณ์บนหน้า พอ 40 ก็เปลี่ยนแปลงขึ้นไปอีก จนกระทั่งเข้าสู่วัย 50 ที่เรามองว่าความสวยภายนอกมันเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจริงๆ
แต่สิ่งที่ทดแทนกันได้คือเราได้ประสบการณ์ เราได้เติบโต พูดจาสนุกสนานและมีสาระมากขึ้น เราสามารถหยิบยกประสบการณ์มาคุยกับลูก มาคุยกับเด็กรุ่นใหม่ กับคนในสังคมได้ว่าเรารู้สึกอย่างไร มีชีวิตแบบไหน มีประสบการณ์หลากหลาย มีความสวย มีเสน่ห์ที่มาพร้อมกับบุคลิกของเราในวัยที่โตขึ้น
ก่อนมองเห็นและเข้าใจตามประสบการณ์ที่โตขึ้น เคยมีช่วงที่มองไม่เห็น ส่องกระจก ไม่ชอบเห็นตัวเอง เพราะเราไม่เหมือนเดิม
แอน: เคยรู้สึกแบบนั้น แต่ก็คิดได้ว่าเมื่อเราอายุ 50 เราก็สามารถสวยในอายุ 50 ได้โดยไม่จำเป็นต้องสวยเหมือนเด็กอายุ 22 เพราะต่อให้ใส่เอวลอย หุ่นดี มีซิกซ์แพ็กขนาดไหน เราก็ไม่มีทางสวยเท่าเด็กอายุ 22 อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นคนที่ชอบเรา เขาก็จะชอบความสวยของเราแบบที่อายุ 40 50 ปีแบบนี้
แอน สิเรียมตอนอายุ 22 กับตอนอายุตอนนี้คนไหนสวยกว่ากัน
แอน: ถ้าไปถามคนที่ชื่อแอน สิเรียม เขาจะบอกเลยว่าเขาชอบตัวเองตอนอายุ 50 มากกว่า (หัวเราะ)
พูดได้ไหมว่าไม่กลัวตัวเลขอายุที่เพิ่มขึ้น หลายคนมองว่าการถามอายุผู้หญิงเป็นเรื่องเสียมารยาทมากๆ
แอน: ไม่ซีเรียสนะคะ รู้สึกว่าเป็นไปตามนั้น ตามความเป็นจริง เราแค่สนุกสนาน พยายามรดน้ำตัวเองให้ดูสดชื่น แอนคิดว่าตรงนั้นสำคัญมากกว่า เพราะอายุมันเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา แต่อารมณ์ความรู้สึกแต่ละช่วงวัย หรือโมเมนต์ดีๆ เราสามารถเก็บไว้ให้ชุ่มฉ่ำในหัวใจได้
แหม่ม คัทลียา รู้สึกอย่างไรกับร่างกายและความสวยที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง
แหม่ม: เราก็ยังสวยอยู่นะคะ ไม่มีใครชมก็ชมตัวเอง (หัวเราะ) ล้อเล่นๆ แหม่มยอมรับความเปลี่ยนแปลงได้ เพราะเราส่องกระจกเห็นตัวเองอยู่ทุกวัน เห็นว่าวันไหนตากแดดเยอะฝ้าขึ้นชัด เราก็พยายามกลับมาดูแลตัวเองมากขึ้น
โชคดีเหมือนกันที่เราอยู่ในวงการที่ต้องดูแลตัวเองให้สมวัย ไม่ใช่ว่าอายุ 48 แต่มีคนทักว่าป้าอายุ 55 อันนั้นจะสะเทือนใจมาก (หัวเราะ) ก็ต้องประคับประคองดูแลตัวเองกันไป แหม่มเป็นคนอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง วัยนี้ก็เป็นอย่างนี้ ไม่ว่าอะไร
ถ้ามีคนเรียกว่าป้าตอนนี้จะโกรธไหม
แหม่ม: ต้องดูว่าคนเรียกเป็นใคร ถ้าคนเรียกหน้าแก่กว่าเราก็ต้องเคลียร์กันหน่อย (หัวเราะ) ล้อเล่น ถ้าเป็นเด็กเล็กๆ มาเรียกป้าอันนี้ไม่สะเทือนใจอยู่แล้ว
ต้องถามต่อด้วยว่า ป้าแล้วสวยไหมจ๊ะ เพราะคำว่าป้าไม่สำคัญเท่าความสวย ถ้าเป็นป้าที่สวยก็น่าดีใจนะ
บทบาทการเป็นแม่ในเรื่อง มายาเสน่หา ของทั้งคู่ที่ค่อนข้างสุดโต่ง คิดว่ากำลังทำทุกอย่างเพื่อลูกด้วยความหวังดี ซึ่งจริงๆ อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกจริงๆ ก็ได้ คิดว่าการรับบทบาทแบบนี้มีความสำคัญอย่างไรกับสังคมและคนดูเรื่องนี้บ้าง
แหม่ม: มันช่วยสะท้อนได้ว่าอย่าเป็นแบบนี้ การศึกษาจากตัวละครต่างๆ ไม่จำเป็นว่าต้องดูแต่ข้อดี หลายครั้งเราศึกษาจากข้อไม่ดีของเขาได้ ดูแล้วเป็นบทเรียนว่าอย่าไปทำอย่างนั้น นักแสดงเองก็เหมือนกัน ไม่จำเป็นว่าต้องเล่นเป็นคนดี ฉันต้องเป็นนางฟ้าอย่างเดียวเท่านั้น เพราะทุกบทบาทมีแง่มุมที่เรียนรู้และให้อะไรกับสังคมได้เหมือนกัน
แอน: ละครก็เหมือนชีวิตจริงของคนทั่วไป จากเรื่องนี้เราจะเห็นว่าโดยธรรมชาติของมนุษย์แม่จะเป็นอย่างนี้ มีอารมณ์รัก หวง ห่วง เป็นเจ้าของลูก พอรู้สึกเป็นเจ้าของเราจะรู้สึกอยากชี้นำ ชี้เป็นชี้ตายเขาตลอด บางทีเขาไม่ได้อย่างทำสิ่งนั้น แต่ฉันเป็นแม่ของเธอนะ ต้องฟังสิว่าฉันพูดอะไร
บางครั้งความคาดหวังที่แม้เป็นความหวังดีก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเสมอไป ต้องปล่อยให้เขาใช้ชีวิตของเขา แม่บางคนจะยอมรับไม่ได้ถ้าต้องเห็นลูกผิดหวัง เลยคิดว่าต้องลุกขึ้นมาปกป้อง ส่วนจะปกป้องถูกหรือผิดวิธีก็สามารถดูได้จากเรื่องนี้นะคะ
แหม่ม: บางครั้งถ้าเราป้องกันเขามาก เมื่อเจอปัญหาเขาจะไม่รู้วิธีแก้ บางครั้งถ้าเราบอกแล้วว่าลูกอย่าทำแบบนี้เลย เชื่อเถอะ แม่มีประสบการณ์มาแล้ว แต่เขายังไม่เชื่อ ก็ต้องปล่อยให้เขาทำ ถ้าเผื่อเขาล้มเราต้องคอยประคอง แล้วเขาจะรู้จากบทเรียนนั้น
เป็นเรื่องทำได้ยาก แต่ต้องทำ เพราะผลลัพธ์จะดีกว่า ถ้าให้เขาล้มตอนนี้ ในระยะยาวเมื่อเขาโตเต็มวัย เขาจะมีภูมิต้านทานไปเรื่อยๆ ระหว่างที่ล้มบ้าง เลือดออกบ้าง มีแผลบ้าง เราก็ใช้ประสบการณ์ของเราคอยสอนเขาไปด้วย ค่อยๆ ประคับประคอง ค่อยๆ สร้างภูมิต้านทาน แล้วเขาจะอยู่ในสังคมได้อย่างเข้มแข็ง
แอน: ต้องวางใจให้เป็น เพราะลูกต้องมีบทเรียนชีวิตและเส้นทางของตัวเอง ซึ่งความเป็นแม่เป็นลูกไม่สามารถหย่าขาดจากกันได้ ต้องดูแลกันไป แน่นอนว่าเราเป็นห่วง แต่ก็เป็นห่วงในระดับเฝ้าดูแล ถ้าเขามาขอความช่วยเหลือ เราก็คอยให้ความช่วยเหลือตามความเหมาะสม
สมมติว่าคัทลียาเป็นเพื่อนกับเมทินี และสิเรียมเป็นเพื่อนกับจินตนาในเรื่อง มายาเสน่หา อยากบอกอะไรเพื่อนคนนี้บ้าง
แหม่ม: เยอะมาก ต้องเรียกมาเลกเชอร์เลย จินตนาต้องมานั่งคุยกับฉันก่อนเลยตอนนี้ ปรับทัศนคติก่อน หนึ่งคือเขาต้องลดทิฐิ เอาใจเขามาใส่ใจเรา ลดความเอาแต่ใจลง ฟังเหตุผลคนอื่นก่อน แล้วก็ต้องรักลูกให้เป็น อุ๊ยตายแล้ว หลายอย่างเหมือนกัน จินตนาก็โดนหลายกระทงเหมือนกันนะ (หัวเราะ)
แต่อยากให้ดูไปเรื่อยๆ แล้วจะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เห็นความผิดพลาด เห็นการเปลี่ยนแปลง เห็นบทเรียนที่จะได้รับ เห็นการปรับปรุง แก้ไข และเห็นพัฒนาการของตัวละครไปจนถึงตอนสุดท้าย
แอน: เหมือนที่แหม่มพูดมาเลยค่ะ เมทินีก็มีปมในชีวิตเยอะ ถ้าจะให้แนะนำก็อยากให้เขาใจเย็นลง ฟังลูกให้มากขึ้น ที่สำคัญคือใช้ชีวิตอยู่กับตัวเองให้มีความสุข ไม่ต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร ไม่ต้องทะเยอทะยาน ต้องมี ต้องเหมือน ต้องได้รับการยอมรับ เปรียบเทียบกับจินตนาแล้วเอามาวัดผลกับลูกโดยไม่รู้ตัว