วันนี้ (7 กุมภาพันธ์) มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาครั้งที่ 8 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 2 เป็นพิเศษ บรรจุวาระวันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 นั้นเป็นการที่ทั้งสองสภาจะต้องพิจารณาพระราชบัญญัติส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. …. ที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ และเป็นการค้างมาจากการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2565
โดยร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ฉบับนี้ที่เสนอต่อประธานรัฐสภาเพื่อบรรจุนั้น ลงลายมือเสนอโดย พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และเป็นร่างพระราชบัญญัติที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบให้กรมประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลเป็นเจ้าภาพดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2560 บัดนี้ผ่านเข้าสู่ปีที่ 6 แล้วก็นำเข้าสู่การพิจารณาอย่างรวบรัด ทำให้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในหมู่ ส.ส. และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) อย่างกว้างขวาง รวมทั้งแวดวงสื่อมวลชนด้วย
มัลลิกากล่าวว่า ที่เห็นได้ชัดคือสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยออกมาคัดค้านกฎหมายนี้และเรียกว่ากฎหมายควบคุมสื่อ ส่วนสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ก็ออกแถลงการณ์เสนอให้ถอนร่างนี้ออกไป และให้เอาไปชี้แจงต่อสาธารณะเสียก่อนด้วย
“เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องใหญ่และสมาชิกจำนวนมากแสดงออกอย่างชัดเจนโดยการไม่เข้าร่วมประชุม ส่วนด้านนอกสภาก็มีการออกแถลงการณ์ ก็ชัดเจนว่าการนำเสนอกฎหมายฉบับนี้ของรัฐบาลนั้นเป็นเรื่องที่นำไปสู่ความขัดแย้งและเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง ไม่ตกผลึกทางความคิด และที่สำคัญที่สุดคือใช้เวลาร่างที่ยาวนาน ขณะที่บริบทของสังคมและบริบทของสื่อและนวัตกรรมของสื่อก็เปลี่ยนแปลงไปไกลแล้ว” มัลลิกากล่าว
มัลลิกากล่าวต่อไปว่า ทุกฝ่ายแสดงความห่วงใยเรื่องนี้รวมทั้งตนด้วย เพราะในฐานะที่เคยประกอบวิชาชีพนักสื่อสารสื่อมวลชน ก็มีความกังวลในประเด็นการเปิดช่องให้รัฐใช้อำนาจแทรกแซงความอิสระของสื่อมวลชนและทำลายกลไกการกำกับดูแลกันเอง ซึ่งตรงจุดนี้คือเกียรติยศของนักสื่อสารมวลชน และจุดนี้เองที่เรียกว่าจริยธรรม คุณธรรม แต่ในกฎหมายไม่สามารถนิยามสาระสำคัญนี้ได้ จึงไม่แปลกใจที่ทุกฝ่ายโดยเฉพาะนักสื่อสารมวลชนจะไม่ยอม
โดยเฉพาะที่มาของคณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชน และที่มาของรายได้สภาวิชาชีพสื่อมวลชน เพราะร่าง พ.ร.บ. ระบุในบทเฉพาะกาลให้อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งอยู่ภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรี เป็นคณะกรรมการในวาระเริ่มแรก รวมทั้งให้รัฐบาลจ่ายเงินให้ทุนประเดิมและจัดสรรให้จากงบประมาณรายจ่าย รวมถึงเงินที่ได้รับการจัดสรรจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ปีละไม่ต่ำกว่า 25 ล้านบาท ที่มาเหล่านี้ล้วนจะนำไปสู่การเข้าควบคุมสื่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตนจึงเห็นว่าอะไรก็ตามที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งควรจะยุติและกลับไปทบทวน
“อย่างไรก็ตาม ต้องให้ความเป็นธรรมกับคณะรัฐมนตรีในชุดปัจจุบันด้วยเช่นกัน อันเนื่องมาจากว่ากฎหมายฉบับนี้ร่างมาตั้งแต่ปี 2560 คือก่อนที่จะมีรัฐบาลชุดปัจจุบันแล้วร่างมาต่อเนื่องทะลุมิติจนถึงรัฐบาลนี้ ขณะที่ผู้รับผิดชอบหลักคือนายกรัฐมนตรีคนเดียวกัน คือ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ลงชื่อเสนอมาตอนที่เป็นรักษาการนายกรัฐมนตรี” มัลลิกากล่าว