ด้วยความเนิบช้า บทสนทนาน้อยๆ และสัญลักษณ์หลายอย่างที่สอดแทรกอยู่ในเรื่อง ทำให้ ‘มะลิลา’ ไม่ใช่หนังที่ดูสนุก ตื่นเต้น เร้าใจ แต่ถ้าคาดหวังจะได้เสพภาพความรักที่สวยงาม อบอุ่น ละเมียดละไม มะลิลา ผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของผู้กำกับ นุชี่-อนุชา บุญยวรรธนะ คือหนังที่คุณไม่ควรพลาด
มะลิลา เล่าเรื่องความรักที่เต็มไปด้วยความหลังระหว่าง พิช (โอ-อนุชิต สพันธุ์พงษ์) ช่างทำบายศรีที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย และเชื่อว่าการทำบายศรีคือการเยียวยาตัวเองที่ดีที่สุด และ เชน (เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารศ) ชายหนุ่มติดเหล้าผู้สูญเสียลูกสาว เจ้าของสวนมะลิที่ตั้งใจสร้างขึ้นมาเพื่อพิชคนรักเก่าของเขา
สิ่งแรกที่น่าสนใจมากๆ ในหนังเรื่องนี้คือ ความฉลาดของผู้กำกับที่เลือกการทำบายศรีมาเป็นแกนหลักในการสะท้อนถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่ เพราะบายศรีคือศิลปะชั้นสูง ต้องบรรจงสร้างขึ้นมาด้วยความปราณีต ใช้เวลานานกว่าช่างทำบายศรีจะทำเสร็จสักชิ้นหนึ่ง แถมยังมีอายุขัยสั้น เพราะทันทีที่จบพิธีทางศาสนา ดอกไม้ประกอบบายศรีก็จะเหี่ยวเฉา สุดท้ายต้องลอยไปกับสายน้ำอย่างไม่มีใครสนใจ
ซึ่งนี่คือภาพจำลองของชีวิตที่ชัดเจนที่สุด เพราะชีวิตของมนุษย์นั้นแสนสั้น กว่าจะเกิดและเติบโตขึ้นมาก็แสนลำบาก แต่ทุกชีวิตล้วนมีคุณค่าเสมออย่างน้อยก็ในหัวใจของใครคนหนึ่ง เช่นเดียวกับบายศรีที่มีความหมายกับผู้ประกอบพิธีเพียงไม่กี่คน เชนและพิชก็เป็นเพียงคนชายขอบตัวเล็กๆ ที่อาจไม่ได้มีความหมายกับโลกมากเท่าไร แต่อย่างน้อยภาพความทรงจำที่เคยมีร่วมกันของทั้งคู่ก็จะเป็นคุณค่าในการมีชีวิต เป็นช่อบายศรีที่แสนสวยงามซึ่งกันและกันต่อไปแม้ในวันที่ไม่เหลือลมหายใจอยู่บนโลกนี้แล้วก็ตาม
เนื้อเรื่องส่วนใหญ่เราคงไม่สามารถพูดอะไรได้มากนัก เพราะหนังค่อนข้างเปิดกว้างสำหรับการตีความที่หลากหลาย แต่สิ่งที่เรายืนยันได้อย่างหนึ่งก็คือ มะลิลา คือผลงานการแสดงที่ดีที่สุดของโอ อนุชิต และเวียร์ ศุกลวัฒน์ อย่างไม่มีข้อสงสัย
ส่วนใครที่ดูจากหน้าหนังแล้วคิดว่านี่คือหนังเกย์ที่เน้นขายเนื้อหนังของพระเอกทั้ง 2 คน คุณกำลังคิดผิดอย่างมหันต์ เพราะเชนและพิชคือตัวแทนของ ‘มนุษย์’ ผู้มีความรัก ความหลังฝังใจและความเจ็บปวดไม่ต่างอะไรจากผู้ชายและผู้หญิงตามขนบทั่วไปแม้แต่น้อย เราสามารถเอาผู้ชาย ผู้หญิง หรือคนเพศใดก็ได้สวมใส่แทนบริบทของทั้งคู่ได้อย่างเนียนตาและไม่ขัดเขิน
หนังไม่ได้ขายฉากเซ็กซ์ที่หวือหวาอย่างพร่ำเพรื่อ แต่เมื่อถึงเวลา ทั้งโอและเวียร์ก็แสดงออกซึ่งความรักได้อย่างสวยงาม ลึกซึ้ง มีความหมายจนนักแสดงสายวายจอมจิ้นรุ่นใหม่ต้องก้มหัวและมาศึกษางานจากรุ่นพี่ทั้ง 2 คน
ทางฝั่งโอ อนุชิตนั้นแน่นอนอยู่แล้วว่าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการแสดง โดยเฉพาะในเรื่องนี้ที่เก็บรายละเอียดแทบทุกอย่างของหนังได้อย่างหมดจดจริงๆ น้ำเสียง สีหน้า แววตา เรียกว่าไม่มีแม้แต่จุดเดียวที่เขาจะปล่อยให้สูญเปล่า บางฉากเราไม่ต้องเห็นเขายิ้ม แต่ก็รู้ได้ว่าเขากำลังมีความสุข บางฉากไม่มีแม้แต่น้ำตาหรือเสียงสะอื้นไห้ แต่เราก็เข้าใจได้ว่าข้างในหัวใจของเขากำลังเจ็บปวดและอ้างว้างมากขนาดไหน
ส่วนเวียร์ ศุกลวัฒน์ในเรื่องนี้คือส่วนผสมที่ลงตัวมากๆ ระหว่างความแข็งแรงและความอ่อนโยน เวียร์ทำให้เชนเป็นคนที่ดูทะมัดทะแมงเวลาคว้าด้ามพร้าเพื่อฟันหญ้าถางทางให้คนรัก ดูอบอุ่นเมื่อมีคนรักนอนอิงอยู่บนหน้าอก ดูร้อนแรงเมื่อถูกกระตุ้นด้วยแรงขับทางเพศ และดูปวดร้าวเจียนตายเมื่อคนที่รักต้องจากไป เวียร์ทำทุกอย่างได้สมบูรณ์แบบแม้กระทั่งน้ำเสียงที่พูดน้อยแต่มีความหมาย โดยเฉพาะพาร์ตหลังที่พูดได้แค่คำว่า ‘ครับ’ เพียงอย่างเดียว ก็เป็นการตอบรับที่เต็มไปด้วยท่าทีของการจำยอม ผิดหวัง สงสัย ใคร่รู้ และอีกหลายความรู้สึกที่แล้วแต่ว่าใครจะรับรู้ว่าอย่างไร
ต้องบอกว่าเวียร์โชคดีมากๆ ที่มีโอกาสร่วมงานกับผู้กำกับสายละเมียดละไมอย่างนุชี่ เพราะยอมรับว่ามีหลายครั้งที่เราเกิดตั้งคำถามทะลุผ่านหน้าคมๆ และแผงซิกซ์แพ็กไปที่การแสดงของเวียร์ว่าเขาคู่ควรจริงๆ หรือเปล่ากับชื่อพระเอกแนวหน้าของเมืองไทย แต่บทบาทที่ได้รับในเรื่องนี้ทำให้เรารู้ทันทีว่า เวียร์เป็นนักแสดงที่มีฝีมือพร้อม ที่ขาดเพียงบทภาพยนตร์ดีๆ ที่จะรีดศักยภาพของเขาออกมาได้อย่างเต็มที่ต่างหาก