อีพีอัลบั้ม 7 เพลงยาวเพียง 20 นาที งานเดบิวต์ของแซมมี่ (SAMMii) หรือ แซมมี่-ภัคธีมา ชิลเลอร์ งานเพลงที่ทำให้เราหยุดเพื่อหันมามอง เสียงของเธอมีเสน่ห์ เนื้อเพลงของเธอมีอะไรให้สังเคราะห์ ดนตรีเป็นพร็อพที่เรียบง่ายแต่ดูมีอะไร
เธอเพิ่งจะอายุ 19 ปี แต่งานเพลงของเธอเกินตัวไปนิด เพลงของแซมมี่ไม่มีงุ้งแง้ว ไม่มีแอบรักไม่กล้าบอก แต่เป็นเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรักที่ไม่สมหวังทั้งหมด พอและจะขอหยุดไว้เพียงแค่นั้น สมกับชื่ออัลบั้ม Make Me Sick! แซมมี่เขียนเพลงเองทั้งหมดทั้งเนื้อภาษาไทยและอังกฤษ อัลบั้มนี้ได้โปรดิวเซอร์มือฉมัง Richard Cracker (ริชาร์ด เครเกอร์) ผู้เคยทำเพลงให้ศิลปินไทยอย่าง วาเลนติน่า พลอย, แดเนียล ดิษยะศริน, ส้ม มารี และ LYRA (บางส่วนของ BNK48) มาแล้ว ซึ่ง Richard ก็ทำให้เพลงในอัลบั้มนี้เป็นพร็อพที่ฟังง่ายและร่วมสมัย
แซมมี่เป็นคนเสียงต่ำ (Low Key Voice Tone) เสียงของเธอเหมาะกับเพลงช้าและเศร้า เหมือนเสียงของ Adele และ Lana Del Rey และผมว่าเสียงของเธอมีความคล้ายกับ Dua Lipa และถ้าเป็นเพลงไทยก็คงจะนึกถึงเสียงของ พัด-สุทธิภัทร สุทธิวาณิช นักร้องนำวง Zweed n’ Roll รวมไปถึงบางเพลงที่ทำให้นึกถึงเสียงของ ปาล์มมี่ กับ วี–วิโอเลต วอเทียร์ ด้วย
ความรักในอัลบั้มนี้เป็นความรักที่จบแล้วคือจบ ไม่อาลัยอาวรณ์มูฟออนไม่ได้เหมือนเพลงที่เราได้ยินกันทั่วไป และเพลงทั้งหมดก็เล่าไปในเรื่องราวเดียวกันด้วย คือเหมือนว่าแซมมี่ได้รักกับใครสักคน แต่ในที่สุดก็รู้ว่าคนๆ นั้นเค้ายังรักคนเก่าอยู่ สิ่งที่เธอทำคือตัดใจแล้วจากไปเองทั้งที่ก็ยังรักอยู่ มันทำให้อัลบั้มฟังวนซ้ำกลับมาได้อย่างต่อเนื่อง อยู่ในปราสาทวังวนอย่างชื่อเพลงๆ หนึ่งในนั้น Make Me Sick! ได้ความเป็น Feminist ที่แข็งแกร่ง ยืนหยัดเพื่อตัวเองได้ ชวนให้นึกถึงงานของ Billie Eilish และ Lorde ที่สุด
อัลบั้มเปิดด้วย Bedroom Panic (Interlude) ที่มีเสียงนับถอยหลังก่อนที่ยานจะถูกปล่อยออก ซึ่งผูกกับเพลงสุดท้ายของอัลบั้มที่ไล่เขาให้ไปกลับดาว ชื่อเพลงมาจากการที่แซมมี่เคยเป็นโรคแพนิก เธอมีความตื่นตระหนกและไม่อยากนอน แล้วก็มีเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น เพื่อที่จะบอกว่าเพลงต่อจากนี้คือเรื่องจริงไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป
Make Me Sick! อินโทรกีตาร์เหมือนจะเป็นเพลงช้า แต่เพลงนี้สลับเร็วในท่อนฮุก กีตาร์หวานและพริ้ว ซาวด์แบบนี้ชวนคิดถึงเพลง Dream ของ Daniel Ryn เพลงนี้แซมมี่แต่งตั้งแต่ตอนอายุ 16 ปี ซึ่งน่าจะเป็นต้นเรื่องราวของความสัมพันธ์ที่เอามาเขียนอัลบั้มนี้ทั้งหมด
“Please never cry for me.
Please never think that it was all a game.
Cause I loved you, but it was making me sick! sick!”
– Make Me Sick!
ต่อด้วย Plaster เพลงช้าที่เปรียบเทียบกับความรักที่เธอเข้ามาเพื่อเยียวยาเขา ทำการปิดแผลในใจที่คนอื่นทำเอาไว้ แต่วันหนึ่งเธอก็รู้ว่าการที่เธอทำไปเท่าไรก็ลบเลือนสิ่งนั้นไม่ได้ ในที่สุดเขาก็ยังคงกลับไปหาเธอคนนั้นอยู่ดี ซึ่งก็เหมือนกับพลาสเตอร์ที่มันไม่คงอยู่ตลอดไปหรอก เพลงนี้ได้ แทน ลิปตา มาช่วยเกลาเนื้อและโปรดิวซ์ให้
“เธอแปะแผลเองได้แล้ว
ดูแลตัวเองดีๆ เข้าใจไหม
ฉันรักษาแผลที่เขาทำไว้ได้แค่นี้”
– Plaster
ทานตะวัน เป็นเพลงแรกของแซมมี่ที่ทำออกมาและทำให้ทุกคนต้องหันมามอง วิธีการเขียนเนื้อเพลงเหมือนกวี ความล่องลอยของหัวใจที่ไหลไปกับเนื้อเพลงได้อย่างง่ายดาย การเปรียบเปรยที่ทำให้เราต้องฟังซ้ำๆ เพื่อเข้าใจ มันคือการรอคอยใครสักคนที่หลงรักใครอีกคน ดอกทานตะวันที่หันหน้าไปหาตะวันเสมอๆ มันคงเป็นสิ่งที่เศร้ามากที่เรามองทานตะวันในขณะที่ทานตะวันไม่เคยคิดจะหันมามองเรา เพลงนี้มีแค่เสียงร้องและกีตาร์ ได้ความเหงา เยือกเย็น และหนาวจับใจ แม้ในวันที่ไม่มีตะวันก็ตาม
“อาจเพราะ ฟ้าในวันนี้ไม่มีตะวัน
อาจเพราะ เมฆในวันนั้นทำเธอเสียใจ
หรืออาจเป็นฉัน ที่ยังคงรอดูเขาหายไป จากใจของเธอ
หันกลับมา โอ้เธอ ทานตะวัน”
– ทานตะวัน
เพลงต่อไป ปราสาทวังวน ความคิดที่ไม่สามารถสลัดมันออกจากหัวได้ วนเวียนอยู่อย่างนั้น เนื้อเพลงที่หม่นอยู่กับดนตรีที่สดใส กีตาร์เพลงนี้ใสเฟี้ยว ซินธิไซเซอร์ลื่นละมุน ชวนคิดถึงตั้งแต่วงอย่าง The Smiths ไปจนถึง The 1975 เลยทีเดียว เสียงของแซมมี่ในบางประโยคบางเบาที่ปลายประโยค ทำให้นึกถึงวิธีการร้องเพลงแบบเดียวกันกับ วี วิโอเลต นักร้องจากค่ายเดียวกัน
Why Say Why เป็นเพลงเร็ว การหลงรักใครสักคนในช่วงเวลาอันสั้นและไม่แน่นอน เพลงนี้จัดว่ามีเนื้อเพลงที่กลางๆ ที่สุดแล้วในอัลบั้ม คอรัสในท่อนฮุกทำให้เพลงสนุกสนาน กีตาร์เล่นเป็นโฟล์คร็อก จังหวะเพลงชวนให้โยกหัวตลอด เปิดต่อเพลง See You In Life ของ Valentina Ploy แล้วต่อด้วย Wildest Dreams ของ Taylor Swift
ปิดอัลบั้มด้วย กลับดาว เพลงที่ตัดพ้อถึงความรักที่มีกันและกัน มันไม่ได้สำคัญอะไรสำหรับเธอที่มูฟออนกับคนเก่าไม่ได้เลย ก็เลยไล่ให้กลับดาวไปเลย
“รอยยิ้มและดวงดาว ทุกบทกวี
ที่เราเขียนขึ้นมาด้วยกัน
มาปรากฏในใจของฉัน
ทำให้ฉันรู้ว่า ทุกช่วงเวลาที่เราผ่านมันมาด้วยกัน
ไม่เคยอยู่ในใจเธอเลยสักวัน”
– กลับดาว
บรรทัดสุดท้าย เราควรให้ข้อมูลว่าแซมมี่เป็นลูกดารา แต่ที่จริงแล้วเธอไม่จำเป็นต้องใช้ความดังของพ่อในการเป็นศิลปินเลย ผลงานชิ้นนี้ของเธอพิสูจน์ได้ว่าเธอไปได้อีกไกลแน่ในเส้นทางสายนี้
อัลบั้ม: Make Me Sick!
ศิลปิน: SAMMii
ค่าย: Universal Music Thailand
เลเล่เล้
พฤษภาคม 2565
Twitter: @laylaidlaid
อ้างอิง:
- https://thestandard.co/sammii-song-fear-and-a-world-of-art-without-words-being-perfect/
- https://lofficielthailand.com/2022/02/sammii-making-me-sick/
- https://adaybulletin.com/talk-drink-with-adb-sammii/61812
Mixtapes by laylaidlaid
เลือกเพลงอกหักที่ร้องโดยผู้หญิงเสียง Low Key และเพลงจากศิลปินที่มีอิทธิพลต่อแซมมี่ครับ
Apple Music: MixTapes SAMMii
https://music.apple.com/th/playlist/mixtapes-sammii/pl.u-b3b8dB7fdbAo58
Spotify: MixTapes SAMMii
https://open.spotify.com/playlist/3oCur1l7tbx9BW9PcH4l2k?si=z29-63YORoGhyyIBQc9cyQ
- Making Me Sick! / SAMMii
- Self-Love / Svmmerdose
- Happier / Olivia Rodrigo
- Amoeba / Clairo
- ปราสาทวังวน / SAMMii
- Woman / Cat Power feat. Lana Del Rey
- ไม่มีอะไรเหมือนเดิม / Zweed n’ Roll
- กลับดาว / SAMMii
- Make You Feel My Love / Adele
- Love Is A Losing Game / Amy Winehouse
- Sunday Morning / The Velvet Underground
- ทานตะวัน / SAMMii
- Pity Party / Melanie Martinez
- The River / PJ Harvey
- Butterfly / ปาล์มมี่
- The Limit To Your Love / Feist
- Plaster / SAMMii
- I Still Love You / BANKS
- Miss You More / Katy Perry
- Someone You Loved / Lewis Capaldi
- Why Say Why / SAMMii
- See You In Life / Valentina Ploy
- Wildest Dreams / Taylor Swift
- Happier Than Ever / Billie Eilish