หุ้น NVIDIA, Tesla, Apple, Meta Platforms, Alphabet, Microsoft และ Amazon หรือที่เรียกว่า หุ้นกลุ่ม ‘Magnificent 7’ เติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วง 1-2 ที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทนประมาณกว่าเท่าตัวหากนักลงทุนเริ่มต้นลงทุนในหุ้นทั้ง 7 ตัวนี้ตั้งแต่วันแรกของปี 2023
ความร้อนแรงของหุ้นทั้ง 7 ตัวนี้ยังหนุนให้ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All-Time High) ที่เกือบ 5,200 จุด อย่างไรก็ตาม ในปีนี้อาจมีปัจจัยบางประการที่ทำให้รายได้ของบริษัทเหล่านี้เติบโตน้อยกว่าที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้
ช่วง 14 เดือนที่ผ่านมา หุ้นเทคโนโลยีเหล่านี้ได้รับปัจจัยบวกจากเทคโนโลยี AI ช่วยให้ราคาหุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 106% เมื่อปีก่อน คิดเป็นผลตอบแทนเกือบ 2 เท่าของดัชนี Nasdaq 100 ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 54%
อย่างไรก็ตาม หุ้นในกลุ่มบางตัวเริ่มลดความร้อนแรงลงและไม่ได้วิ่งขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่องอีกแล้ว ได้แก่ Tesla, Apple และ Alphabet ซึ่งราคาหุ้นเริ่มชะลอตัวลงตั้งแต่ปลายปีก่อน
คำถามสำคัญที่ตามมาคือ หลังจากผ่านช่วงเวลาอันร้อนแรง พร้อมกับผลตอบแทนในระดับ 100% จากการลงทุนตั้งแต่ปีก่อน ถึงเวลาแล้วหรือยังที่นักลงทุนควรจะขายทำกำไรจากหุ้นเหล่านี้
นับตั้งแต่ต้นปี 2024 หุ้น Tesla ไม่ได้ให้ผลตอบแทนงดงามมากนัก หลังจากที่ราคาหุ้นปรับตัวลงในช่วง 2 เดือนแรกของปี ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกและในประเทศจีนลดลง นักวิเคราะห์หุ้น ทรอย เทสไลก์ ปรับลดการคาดการณ์สำหรับการส่งมอบ Tesla ทั่วโลกในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ โดยกล่าวว่ายอดขายในจีนอ่อนแอกว่าที่คาดไว้ แม้จะมีการลดราคาก็ตาม ซึ่งสิ่งนี้บ่งบอกถึงปัญหาอุปสงค์ การที่บริษัทผู้ผลิตรถ EV ชั้นนำกำลังต่อสู้กับความต้องการที่ลดลงและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้หุ้น Tesla มีผลตอบแทนที่ไม่สดใสมากนักในปีนี้
ทางด้านหุ้น Apple ก็กำลังประสบกับปัญหายอดขาย iPhone ที่ยังคงซบเซา โดยยอดขายในจีนลดลงในช่วง 6 สัปดาห์แรกของปีนี้ แว่น AR อย่าง Vision Pro ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปีก็ไม่ได้เพิ่มยอดขายอย่างมีนัยสำคัญมากนัก เดวิด คลิงก์ นักวิเคราะห์อาวุโสฝ่ายวิจัยตราสารทุนของ Huntington National Bank กล่าวว่า การที่ Apple ไม่ได้ออกผลิตภัณฑ์ที่สร้างความโดดเด่นมาเป็นเวลานาน อาจเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับผู้ถือหุ้น Apple
ในขณะเดียวกัน หุ้น Alphabet ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google ปรับตัวลดลง 15% เมื่อเดือนที่แล้ว แม้ว่ายอดขายของบริษัทในไตรมาส 4 จะเพิ่มขึ้นถึง 10% อยู่ที่ 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ในขณะที่กำไรต่อหุ้นอยู่ 1.93 ดอลลาร์เพิ่มขึ้น 18% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่ยักษ์ใหญ่ Google ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจาก OpenAI ซึ่ง Microsoft (MSFT) เข้ามาถือหุ้นใหญ่ Microsoft ได้เพิ่มความสามารถในการค้นหาที่พัฒนาโดย OpenAI ลงในเครื่องมือค้นหา Bing ซึ่งจะทำให้อนาคตของ Google มีความท้าทายมากขึ้น
เหล่านี้เป็นปัจจัยที่กดดันให้ 3 หุ้นดังกล่าวเริ่มอ่อนตัวลงก่อนหุ้นอีก 4 ตัวที่เหลือในกลุ่ม
สำหรับผู้นำในแง่ความร้อนแรงของราคาหุ้นของกลุ่ม Magnificent 7 อย่าง NVIDIA ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในปี 2024 แต่เริ่มเห็นแรงขายของนักลงทุนออกมาเป็นระยะ อย่างเมื่อวันที่ 8 มีนาคม ที่ผ่านมา NVIDIA Corp ร่วงลงมากกว่า 5% หลังจากแตะจุดสูงสุดตลอดกาลที่ 974 ดอลลาร์
สันดีป ปานดี ผู้ก่อตั้ง Basav Capital กล่าวว่าปรับตัวลงของราคาอย่างหนักครั้งนี้มาจากแรงขายทำกำไรของนักลงทุน และยังเป็นผลจากการที่ผู้บริหารของ NVIDIA ได้ขายหุ้นจำนวน 200,000 หุ้น เมื่อวันที่ 5 มีนาคม หลังจากที่หุ้นพุ่งสู่ระดับสูงสุดในประวัติการณ์อีกด้วย แม้ว่าปัจจุบัน Tench Coxe จะยังคงถือหุ้นมากกว่า 3.7 ล้านหุ้นก็ตาม
เดวิด คอสติน นักวิเคราะห์ของ Goldman Sachs Group Inc. แสดงความเห็นว่า ดัชนี S&P 500 ก้าวขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งขับเคลื่อนโดยหุ้นเทคโนโลยีบางตัวเท่านั้น ไม่เหมือนกับฟองสบู่ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางรายมองว่าหุ้นกลุ่ม Magnificent 7 ดูเหมือนจะรักษาโมเมนตัมได้อย่างยากลำบาก ท่ามกลางความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นจากราคาหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากจากในอดีต
“ครั้งนี้ต่างออกไป ไม่เหมือนกับปี 2021 ที่นักลงทุนยอมซื้อที่ราคาสูง เพราะคาดหวังต่อการเติบโต เราเชื่อว่ามูลค่าของหุ้นกลุ่ม Magnificent 7 ในตอนนี้ยังอยู่บนพื้นฐานของแต่ละบริษัท” คอสตินกล่าว
สิ่งที่ต้องติดตามหลังจากนี้คือ รายได้ของหุ้นกลุ่ม Magnificent 7 ที่มีแนวโน้มจะเติบโตต่อได้ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่การเติบโตจะชะลอตัวลง ซึ่งในจุดนี้ต้องติดตามว่าการเติบโตของผลประกอบการจะทำได้ทันกับความคาดหวังหรือไม่ หากไม่ได้ก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเทขายทำกำไรในวงกว้างจากนักลงทุนในตลาด
อ้างอิง:
- https://www.forbes.com/sites/bethkindig/2024/02/29/the-magnificent-7-are-falling-like-dominos-only-3-remain/?sh=6b2768fd5037
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2024-03-04/goldman-s-kostin-says-big-tech-led-rally-is-unlike-past-bubbles?sref=CVqPBMVg
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2024-03-06/nvidia-director-sells-170-million-in-shares-as-rally-powers-on-ltggna6j?fromMostRead=true&sref=CVqPBMVg
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2024-03-06/apple-looks-most-oversold-in-years-after-200-billion-selloff?srnd=technology-vp&sref=CVqPBMVg