×

มะเดี่ยว ชูเกียรติ ในวันที่ความรักและเทคโนโลยีหลอมรวมประสบการณ์เป็นหนังเรื่อง MONDO

30.07.2023
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

  • จุดเริ่มต้นของ MONDO มาจากคำถามง่ายๆ อย่างก่อนอายุ 30 ปี ชีวิตของเราควรจะมีอะไร และที่มาของชื่อดังกล่าวก็คือภาษาอิตาเลียนที่แปลว่า ‘โลก’ ซึ่งเป็นคำที่เหมาะสมจะใช้นิยามถึงหนังเรื่องนี้มากที่สุด เพราะนอกจากความรักแล้ว หนังยังมีการสร้างโลกเสมือนขึ้นมาภายในเรื่องด้วย
  • มะเดี่ยวเลือกที่จะนำเสนอ MONDO ออกมาในรูปแบบของหนังไซไฟ เพราะคิดว่าถ้าจะพูดถึงความรักในยุคนี้ สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือการพูดถึงสิ่งที่ใกล้ตัวกับคนมากๆ แต่พวกเขาไม่รู้ตัว นั่นก็คือเรื่องของวิทยาศาสตร์ 
  • สำหรับมะเดี่ยวความรักไม่ใช่เรื่องโรแมนซ์อย่างเดียว แต่เป็นสิ่งที่ยึดโยงคนเข้าด้วยกัน และเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้เกิดขึ้นด้วย ‘อารมณ์’ มากกว่า ‘เหตุผล’

ปัจจุบันเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับชีวิตของมนุษย์ทุกหนทุกแห่ง และดูเหมือนว่าสิ่งเหล่านี้เองได้จุดประกายให้กับผู้กำกับที่หลายคนคุ้นชื่ออย่าง มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ในทางใดทางหนึ่ง จนเกิดเป็นหนังโรแมนติกไซไฟเรื่องล่าสุดอย่าง MONDO มอนโด รัก l โพสต์ l ลบ l ลืม l ที่จะพาคนดูไปสำรวจนัยบางอย่างเกี่ยวกับความรักผ่านการตัดสินใจของตัวละครในโลกที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาให้ไม่เหมือนเดิม 

 

ถึงแม้ช่วงเวลาหลายปีนี้ มะเดี่ยวจะเริ่มหันมาเป็นโปรดิวเซอร์และคนเขียนบทมากขึ้น แต่ฝีมือการกำกับของเขาก็ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด เมื่อหันกลับไปมองผลงานก่อนนั้นอย่าง ทริอาช The Series (2022) ที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จและได้รับคำชมจากคนดูอย่างล้นหลาม เราก็คงพูดได้อย่างเต็มปากว่า นอกจากการตีแผ่ความจริงในสังคม มะเดี่ยวยังคงเป็นผู้กำกับที่นำเสนอเรื่องราว ‘ความรัก’ ให้กับคนดูได้อย่างจริงใจเสมอมา

 

วันนี้ THE STANDARD POP ได้มีโอกาสคุยกับมะเดี่ยวถึงที่มาของหนังเรื่องล่าสุดอย่าง MONDO มอนโด รัก l โพสต์ l ลบ l ลืม l ตั้งแต่จุดเริ่มต้น การทำงาน ไปจนถึงมุมมองความรักที่มีต่อโลกเทคโนโลยี และประสบการณ์ที่ทำให้เกิดเป็นหนังเรื่องนี้ 

 

 


 

จุดเริ่มต้นของ MONDO มีที่มาอย่างไร

 

จุดเริ่มต้นของหนังมาจากคำว่าก่อน 30 ปี เราควรมีอะไร ซึ่งเอาเข้าจริงมันเป็นวัยที่เราเคยผ่านแล้ว แต่ด้วยคำนี้ และสิ่งเหล่านี้ก็เลยเกิดเป็นตัวละครที่ถ้าถูกตั้งคำถามแบบนี้เขาจะทำอย่างไร

 

อีกเหตุผลคือ สำหรับเราหนังตอนนี้มันเป็นเหมือนบทบันทึกอะไรบางอย่าง มีเมสเสจ มีสตอรีที่น่าสนใจ แล้วรู้สึกว่ามันคุยรู้เรื่องกับทั้งตัวเรา ทั้งสตูดิโอ และทั้งคนดู เราเลยทำ 

 

ส่วนที่มาของคำว่า MONDO คำนี้เป็นภาษาอิตาเลียนแปลว่า ‘โลก’ เราอยู่ในโลกที่ต่างกัน ทุกตัวละครมีโลกเป็นของตัวเอง เวลาโลกมาเจอกัน และต้องใช้โลกร่วมกันเราจะอยู่อย่างไร นี่คือประเด็น เพราะชีวิตของเราไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับคนมากมายในสังคม แล้วในเรื่องมันก็มีการสร้างโลกเสมือนที่ทุกอย่างจะแฮปปี้สมดั่งใจทุกประการ มันจะเกิดอะไรขึ้นจากตรงนั้น

 

นอกจากชื่อเรื่องแล้ว คำโปรยที่มาพร้อมกับหนังคือ ‘Where machine dreams’ ประโยคนี้มันมีความสำคัญอย่างไร

 

หนังมันเกี่ยวกับ AI (ปัญญาประดิษฐ์) ซึ่งในหนังก็จะบอกว่ายินดีต้อนรับสู่ MONDO ความฝันของสิ่งประดิษฐ์ ทุกคนรู้ดีว่าสิ่งประดิษฐ์ฝันไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นในเรื่องจะเกิดอะไรขึ้นล่ะถ้ามันฝันได้ขึ้นมา

 

 

“ถ้าเราจะพูดถึงความรักในยุคนี้ สิ่งที่น่าสนใจคือการพูดถึงสิ่งที่ใกล้ตัวกับคนมากๆ แต่เขาไม่รู้ตัว นั่นก็คือเรื่องของวิทยาศาสตร์”

 

มะเดี่ยวรีเสิร์ชข้อมูลอะไรบ้างก่อนทำหนังเรื่องนี้

 

เยอะแยะมากมายเต็มไปหมด รีเสิร์ชกระทั่งไปเรียนเขียนโค้ดเพื่อให้เข้าใจว่ามันทำงานอย่างไร ซึ่งเอาเข้าจริงก็สนุกดี เพราะว่าเราได้เข้าไปในพรมแดนของสิ่งที่ไม่รู้จักมาก่อน เราเป็นคนทำหนังเกี่ยวกับความคิดความฝัน แต่พอเป็นโลกของปัญญาประดิษฐ์มันทำให้เราต้องเรียนรู้อะไรใหม่ขึ้นมา

 

เพราะอะไรถึงเลือกที่จะนำเสนอในรูปแบบของหนังไซไฟ

 

ถ้าเราจะพูดถึงความรักในยุคนี้ สิ่งที่น่าสนใจคือการพูดถึงสิ่งที่ใกล้ตัวกับคนมากๆ แต่เขาไม่รู้ตัว นั่นก็คือเรื่องของวิทยาศาสตร์ ชีวิตเราผูกติดกับไซไฟวิทยาศาสตร์อยู่แล้วโดยไม่รู้ตัว คุณใกล้ชิดกับสิ่งเหล่านี้มากกว่าที่คิด ยกตัวอย่างเช่น พวกโซเชียลมีเดียต่างๆ มันสามารถเช็กวิธีคิดของเราได้ ทำให้เราเห็นโลกในแบบต่างๆ ได้ ทำให้เรามีความคิดในทางใดทางหนึ่งได้ โดยที่เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเราควรจะมีอะไร และเราควรจะเป็นอะไร

 

โดยบอกเล่าผ่านเรื่องราวของรักสามเส้า

 

(หัวเราะ) รักสามเส้ามันเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนหนังอย่างหนึ่ง เวลาถามเพื่อนหรือใครต่อใคร ถ้าคุณตกอยู่ในสภาพเดียวกับนางเอกที่จะต้องเลือกระหว่างอะไรสักอย่างโดยที่ไม่ทำลายอีกอย่างมันเป็นไปได้ไหม

 

ถ้าเกิดว่าความรักตีเป็นตัวเลขแบบเรารักกัน เราอยู่ด้วยกันมานาน มันคือความผูกพันที่ตีค่าเป็นตัวเลขไม่ได้ แต่วันหนึ่งมีโปรแกรมอะไรไม่รู้มาบอกว่าคนนี้ดีกว่า เคยรู้จักกันมาก่อน มีติ๊กถูกทุกประการ มันง่ายขนาดนั้นไหมที่จะไปรักอีกคนหนึ่งเลยโดยที่ไม่ทำให้คนอื่นเสียใจ และเหตุผลอะไรที่จะไป บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่รีเลตกับคนดูง่ายที่สุดในหนังเรื่องนี้แล้วนะ

 

 

“สำหรับเราความรักไม่ใช่เรื่องโรแมนซ์อย่างเดียว เรามองความรักเป็นสิ่งที่ยึดโยงคนเข้าด้วยกัน เป็นสิ่งที่ทำให้เราตัดสินใจทำอะไรเยอะแยะมากมาย และรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้เกิดขึ้นด้วย ‘อารมณ์’ มากกว่า ‘เหตุผล’”

 

มุมมองความรักในโลกเทคโนโลยีของมะเดี่ยวเป็นแบบไหน

 

เราเจอกันและฉาบฉวยง่ายขึ้น อันนี้พูดแบบไม่กลัวทัวร์ลง หรือว่ามะเดี่ยวไปด้อยค่าสิ่งต่างๆ อะไรอีกแล้ว (หัวเราะ) แต่ความจริงมันเป็นแบบนั้น สมมติว่าไม่ถูกใจกันเราก็แค่เลิกแล้วไปหาคนอื่น มันไม่ลึกซึ้งดื่มด่ำเหมือนแต่ก่อน

 

ถ้าลองมองในมุมของสมรสเท่าเทียม มะเดี่ยวมองเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร

 

เป็นคำถามที่น่าคิดนะ ในขณะที่โลกเปลี่ยนความรักเป็นเรื่องฉาบฉวย การสมรสกันยังมีความจำเป็นอยู่ไหม แต่พอมาถึงเรื่องสมรสเท่าเทียมของผู้มีความหลากหลายทางเพศ ข้อดีก็คืออย่างน้อยมันเป็นการประกาศให้โลกรู้ว่าเรามีความสัมพันธ์ มีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวเกี่ยวดองกันโดยกฎหมาย เราได้รับสิทธิ์ทางกฎหมายอย่างเต็มที่ 

 

เราว่ามันอาจจะเป็นเรื่องของความยุติธรรมในรูปแบบหนึ่ง แต่ทีนี้ก็ต้องดูว่าเราเห็นอะไรจากตรงนั้น คนที่ไปสมรสเท่าเทียมอาจจะมองว่ามันให้ในสิ่งที่เขาสมควรจะได้รับ แต่ถ้าคนที่ยังไม่อยากจะสมรส หรือยังอยากสนุกสนานกับชีวิตอยู่ก็อาจไม่ได้มองเรื่องนี้เป็นปัจจัยที่สำคัญอะไรเท่าไร

 

จากวันแรกที่ตัวเองเริ่มทำหนังรัก มุมมองความรักในวันนี้ของมะเดี่ยวเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน 

 

คิดว่าโตขึ้น ถ้าให้เลือกระหว่าง ‘การงาน’ กับ ‘ความรัก’ เราเลือกความรักนะ เพราะเราผ่านช่วงที่วิ่งสู้กับงานมาจนอายุ 42 แล้ว และเราก็เคยมีความรักมีชีวิตคู่มาก่อน ผ่านจุดที่เห็นอะไรหลายอย่าง สำหรับเราความรักไม่ใช่เรื่องโรแมนซ์อย่างเดียว เรามองความรักเป็นสิ่งที่ยึดโยงคนเข้าด้วยกัน เป็นสิ่งที่ทำให้เราตัดสินใจทำอะไรเยอะแยะมากมาย และรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้เกิดขึ้นด้วย ‘อารมณ์’ มากกว่า ‘เหตุผล’ ดังนั้นมีความรักต่อกัน มีความปรารถนาดีต่อกัน เราว่ามันช่วยชีวิตได้หลายเรื่อง

 

 

การทำงานในเรื่อง MONDO ส่วนไหนคือส่วนที่ยากที่สุด

 

ตอนแรกคิดว่าสิ่งที่ยากที่สุดคือการอธิบาย Scientific Facts (ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์) บางอย่างให้คนเข้าใจ แต่ตอนนี้ไม่ยากแล้ว เพราะมี AI ออกมาเต็มไปหมด ตอนที่ทำยังไม่มีวี่แววว่าสิ่งเหล่านี้จะมีเลย อยู่ดีๆ ก็มี ChatGPT เกิดขึ้น มี AI มากมายออกสู่ท้องตลาด หนังเราก็เลยกลายเป็นของดูไม่ยากอีกต่อไป 

 

คาแรกเตอร์ของนางเอกดูมีความเป็น พลอย (พลอย-พลอยไพลิน ตั้งประภาพร) สูงมาก มะเดี่ยวตั้งใจเอาไว้แบบนี้แต่แรกไหม

 

จริงๆ คิดมานานแล้วว่านางเอกควรจะมีอาชีพอะไร ซึ่งมีหลายอย่างเหมือนกันนะ แต่ปรากฏว่า YouTuber Influencer ง่ายที่สุด เพราะเป็นอาชีพที่ถูกกำหนด KPI (ดัชนีชี้วัดความสำเร็จ) โดยตัวเลข ฉะนั้นมันจึงเป็นอาชีพที่ชัดที่สุด 

 

ถ้าเป็นหมอหรืออะไรอย่างอื่นก็ต้องใช้เรื่องในการเล่าว่าคุณประสบความสำเร็จด้วยเหตุผลอะไร แต่กับ YouTuber ตัวเลขที่อยู่ในแต่ละคลิป จำนวนของผู้ติดตาม อันนั้นคือตัววัดแล้วว่าคุณเก่งหรือไม่เก่งในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน มันเห็นตัวเลขง่ายที่สุด เราก็เลยเลือกอาชีพที่อธิบายน้อยที่สุด

 

แล้วด้วยความที่เป็นพลอย เราก็ต้องเลือกนักแสดงที่เราเชื่อว่าเป็น YouTuber ที่คล่อง เพราะมันก็ไม่ได้เป็นกันง่ายๆ จะเอานักแสดงทั่วไปมาเล่นเป็น YouTuber บางทีก็ไม่เชื่อ

 

ที่นี่มันอาจเป็นดาบสองคมเหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ พลอยได้โชว์ของเต็มไปหมด อย่างคุณดูคลิปเธอไปเที่ยว เธอก็พาคุณไปบันเทิงต่างๆ นานา แต่นี่คือเป็นอีกมุมหนึ่งของตัวละครที่นางมาสวมบทบาท และพี่ก็เชื่อว่านางไม่ใช่ Pigkaploy

 

 

“สุดท้ายหนังก็คือการขายความทรงจำ เขาจำหนังเราได้ แสดงว่าเขาซื้อความทรงจำนั้นไปแล้ว เราก็เลยรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้น่าจะเป็นความทรงจำที่ดีให้กับใครหลายคนได้”

 

การโกหกเพื่อความฝัน กับความรักที่ทำตามหัวใจ ทำไมมะเดี่ยวถึงเลือกที่จะให้สองสิ่งนี้เป็นเป้าประสงค์ที่ตัวละครต้องเป็นคนตัดสินใจ

 

นางก็เลยต้องไปให้ AI ช่วยไง ถ้าเป็นหนังแต่ก่อนก็อาจจะไปเรียกหมอดูมาช่วยดู แต่เดี๋ยวนี้ก็มีบางคนเลือกให้ AI มาช่วยวิเคราะห์หนทางในการตัดสินใจ ทีนี้การตัดสินใจมันตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อมูล ซึ่งมีโอกาสที่จะผิดอยู่พอสมควร แต่ถ้าเราเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ และถ้าเกิดมันมีความคิดขึ้นมา ชีวิตของเราจะเปลี่ยนไปไหม ซึ่งก็ต้องไปดูกันต่อในหนังว่าจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรอยู่ในนั้น

 

หนังมีเรื่องของเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ทิ้งความจริงของสังคม มะเดี่ยวมีวิธีบาลานซ์สองสิ่งนี้อย่างไร 

 

สิ่งที่ทำให้คนดูหันมาสนใจก็คือพล็อตและบิ๊กไอเดีย เอาเข้าจริงถ้าคุณดูตั้งแต่ รักแห่งสยาม (2007) เป็นต้นมา จะพบว่าหนังของเราไม่ได้มีบิ๊กไอเดียอะไรเลย แต่มันคือการมาดูระหว่างทาง ซึ่งระหว่างทางนี่เองที่เราเก็บเกี่ยวประสบการณ์จนตกผลึกแล้วกลายเป็นบทที่มีมุมมองรอบด้าน

 

หนังเรื่องนี้เป็นการสะท้อนวิสัยทัศน์อย่างหนึ่งของสังคมด้วยหรือเปล่า

 

คิดว่านะ (หัวเราะ) ยังไม่แน่ใจว่าสังคมจะตอบรับกับหนังอย่างไร แต่นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้ ตอนนี้ และมันกำลังจะพูดถึงอนาคตข้างหน้าด้วย บางทีคุณอาจจะพบแง่มุมต่างๆ ที่มันคือชีวิตคุณก็ได้ ซึ่งเรารู้สึกดีทุกครั้งเวลาที่มีคนเดินมาบอกว่า “เคยดูเรื่องนั้นเรื่องนี้แล้วชอบมาก อยู่ในใจ” เราก็ไม่รู้หรอกว่าไปอยู่ในใจด้วยเรื่องอะไร แต่คิดว่ามันคงตอบคำถามในความคิด ในหัวใจ ในสมองของเขาทางใดทางหนึ่ง

 

สุดท้ายหนังก็คือการขายความทรงจำ เขาจำหนังเราได้ แสดงว่าเขาซื้อความทรงจำนั้นไปแล้ว เราก็เลยรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้น่าจะเป็นความทรงจำที่ดีให้กับใครหลายคนได้

 

 

พอพูดถึงความร่วมสมัยในหนังแล้ว มะเดี่ยวมีความเห็นอย่างไรกับการประท้วงเรื่อง AI ที่เกิดขึ้นในฮอลลีวูด

 

จริงๆ มันก็มีในหนัง (หัวเราะ) บางทีดูในหนังอาจจะฮือฮากว่านี้อีกก็ได้ สำหรับเราเรื่องนี้สักวันมันต้องเกิดขึ้น เรารู้ตั้งแต่วันแรกที่คนสร้างตัวละคร 3D ขึ้นมาได้ ถ้าคุณเล่นเกมก็จะพบว่าการไปขอหน้าดารามาใช้เป็นสิ่งที่มีมานานมากแล้ว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เหนือความคาดหมายว่าจะเกิดขึ้น แต่ถามว่าเป็นธรรมสำหรับนักแสดงไหม มันไม่เป็นธรรมหรอก เว้นแต่จะเอาหน้าเขาไปใช้ในหนังแล้วจ่ายค่าตัวเท่าเดิม แบบนี้อาจจะแฟร์ก็ได้แต่ใครจะยอม

 

เรากำลังเข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นโลกศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ ถึงกระนั้น จุดอ่อนของ AI คือมันไม่สามารถสร้างสไตล์ใหม่ๆ ได้เหมือนมนุษย์ มันทำได้แค่เรียนรู้จากสิ่งที่มีอยู่ ถ้าไม่มีข้อมูลมันก็เรียนรู้ไม่ได้ แต่ในอนาคตอาจจะทำได้ ซึ่งคนก็ต้องออกมาปกป้องสิทธิ์ รวมถึงรู้จักควบคุมและใช้มันให้เป็น

 

เอาจริงๆ เรื่องการประท้วงนี่ก็น่าสนใจ ไม่รู้ว่าจะลามมาบ้านเราหรือเปล่า แต่คงจะยากเพราะผลประโยชน์มันเยอะมาก และอาจจะต้องต่อรองกันไปอีกนาน

 

มองมาที่ประเทศไทย การเรียกร้องสิทธิของคนทำงานเบื้องหลังมีมาตลอด คำถามคือทำไมถึงไม่สำเร็จสักที

 

มันไม่สำเร็จเพราะว่าเรายังไม่ได้นั่งโต๊ะคุยกัน มันไม่มีวงไหนที่มีทั้งผู้จัด โปรดิวเซอร์ นายทุน นายสถานีทั้งอุตสาหกรรมมานั่งแชร์ว่า ใครได้อะไร ใครเสียอะไร เรามองจากมุมไหนเป็นหลัก อย่างคนทำงานก็จะมองในมุมของคนทำงานว่าค่าแรงน้อย เวลาทำงานไม่เป็นธรรม บางคนได้โอที ทำไมบางคนไม่ได้ สวัสดิภาพในการทำงานอยู่ไหน กฎหมายไหนจะเข้ามาช่วยควบคุมให้คนทำงานในอุตสาหกรรมนี้ได้รับความเป็นธรรมเหมือนคนทำงานทั่วไป

 

แต่ในมุมของนายทุนก็จะมองว่าอุตสาหกรรมนี้ตลาดมันเล็ก ยังหาเช้ากินค่ำอยู่ กำไรก็เอามาหมุนวนอยู่ในความเสี่ยงที่สูงมาก เรื่องนี้ได้เรื่องหน้าอาจจะเจ๊ง อันนี้ทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นหนัง ละคร ซีรีส์ หรืออะไรก็ตามแต่

 

แล้วคอนเทนต์บ้านเราเป็นคอนเทนต์อยู่ในตลาดแคบๆ ยังไม่สามารถเติบโตเหมือนหนังเกาหลี ซึ่งอันนั้นพอเขาเติบโตมีคนทำเรื่องหนึ่งและมีคนซื้อของเขาเยอะในตลาด ก็ไม่แปลกที่เขาจะมีเงินเยอะ แล้วเขาก็สามารถดูแลแรงงานในอุตสาหกรรมได้อย่างเท่าเทียม ผลประโยชน์มันเยอะพอที่จะทำให้คนทำงานสามารถต่อรองได้ ซึ่งปัญหาใหญ่ของบ้านเราคือ วงที่จะต้องมานั่งคุยกันแบบนี้มันไม่เกิดขึ้น 

 

 

หากมองถึงเรื่องการเมืองที่กำลังจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า มะเดี่ยวคิดว่ามันจะส่งผลต่ออุตสาหกรรมหนังไทยในอนาคตอย่างไรบ้าง

 

ถ้าเราได้รัฐบาลที่มองเห็นประชาชนเป็นศูนย์กลาง แล้วเข้ามาเพื่อพัฒนาชีวิตของคนให้ดีขึ้นเขาจะมองตรงนี้ แต่อย่างว่ารัฐบาลที่ประชาชนไม่ได้เลือกมาก็อวยแต่นายทุนใหญ่ ซึ่งมันเป็นกิจการที่ประชาชนไม่ได้อยู่ในสมการนั้น 

 

เอาจริงๆ คุณมองเห็นไหมว่า 9 ปีที่ผ่านมา ทุนใหญ่ ทุนผูกขาด ค่อยๆ เป็นปัญหาที่เติบโตขึ้น และรัฐก็เอื้อต่อทุนใหญ่ เขาไม่เห็นประชาชนตัวเล็กๆ เป็นคนที่เขาจะต้องแคร์ แล้วทุนใหญ่มันก็เติบโตมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งทางเศรษฐกิจและทางกฎหมาย 9 ปีผ่านไปคนอ่อนแอลง ในขณะที่อำนาจนิยมเติบโตขึ้นมากๆ บางทีอาจจะมากกว่ารัฐด้วยซ้ำ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่คอยกัดกินพวกเราอย่างช้าๆ ด้วยเหตุนี้ทำให้ต้องมีรัฐที่แคร์เรา เพราะปัญหาทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นกับตัวของประชาชนหรือคนทำหนังเอง ถ้ารัฐบาลที่ดีเข้ามาจะจัดการตรงนี้ได้ 

 

 

“ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราผ่านมาได้เป็นการทำงานที่หนักและอยู่บนความเสี่ยงตลอดเวลา ดังนั้นจงภูมิใจกับมันไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม”

 

สำหรับมะเดี่ยวในฐานะผู้กำกับ รู้สึกอย่างไรกับ MONDO 

 

ภูมิใจกับมันนะ ทุกเรื่องเลย ไม่ว่าจะดีหรือเลว ถ้าเราไม่ภูมิใจใครจะมาภูมิใจ ไม่ใช่แค่เรื่องหนังออกมาดีไม่ดี ดีไม่ดีมันอยู่ที่สายตาคนอื่นตัดสินด้วย สิ่งเหล่านี้ควบคุมไม่ได้ แต่เราผ่านอะไรกับการสร้างหนังเรื่องหนึ่งมาทั้งฝ่าฟันในเรื่องการเขียนบทให้ดี งบประมาณ นักแสดง ลมฟ้าอากาศ อุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นจนถึงวันนี้ที่จะส่งมันเข้าโรง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราผ่านมาได้เป็นการทำงานที่หนักและอยู่บนความเสี่ยงตลอดเวลา ดังนั้นจงภูมิใจกับมันไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม 

 

ณ วันนี้ความท้าทายในการเป็นผู้กำกับของมะเดี่ยวคืออะไร

 

คนจะตอบรับเราอย่างไรในโลกที่มันเปลี่ยนไป เราเริ่มทำงานเป็นผู้กำกับครั้งแรกตอนอายุ 22 ปี ตอนนี้ 42 ปี ผ่านมา 2 ทศวรรษคนดูก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ทัศนคติของเรากับโลกนี้มันยังไปด้วยกันได้หรือเปล่า ถามว่าถ้าไปตามยุคตามสมัยจุดยืนของเราอยู่ตรงไหน มันก็มีหลายเรื่องที่เราตั้งคำถามกับตัวเองเหมือนกัน แต่เราก็คิดว่าเรามีโอกาสเป็นผู้เล่นในวงการนี้อยู่ 

 

 

ในมุมของคนดู อะไรคือสิ่งสำคัญที่เราจะได้เห็นจากหนังเรื่องนี้

 

เห็นชีวิต เห็นการเติบโตของตัวเอง เข้าไปในโรงหนังรอบนี้ออกมาคุณอาจจะไม่ใช่คนเดิมก็ได้ และหนังมันคุยกับคุณเหมือนที่ผ่านๆ มาด้วยภาษาที่ง่ายและร่วมสมัยมากขึ้น

 

มีอะไรอยากฝากถึงคนที่รอดูหนังอยู่บ้าง

 

ไปดูเถอะครับ ทำมาให้ดู แล้วก็เป็นนิมิตหมายอันดีในการสืบทอดมรดกหนังไทยต่อไป (หัวเราะ) แต่เอาจริงๆ มันอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของหนังไซไฟในไทยอีกแบบหนึ่งที่ไม่เจอกันมานานแล้วก็ได้นะ อยากให้ลองไปดูกัน 

 

หลังจาก MONDO โปรเจกต์ต่อไปของมะเดี่ยวจะมีอะไรให้เราติดตามกันบ้าง

 

มีเพลงประกอบ MONDO และก็มีหนังไซไฟอีกเรื่อง ซึ่งก็ต้องรอติดตามกันต่อไปในปีหน้า

 


 

MONDO มอนโด รัก l โพสต์ l ลบ l ลืม l มีกำหนดเข้าฉายในวันที่ 10 สิงหาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์

 

รับชมตัวอย่างได้ที่: www.youtube.com/watch?v=V0_CUWzIxdA

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X