นับเป็นการเดินหมากครั้งสำคัญของ LVMH เพื่อตอกย้ำการเป็นบริษัทลักชัวรีเบอร์หนึ่งของโลกที่มีแล้วกว่า 75 แบรนด์ หลังได้เข้าซื้อกิจการ 60% ของแบรนด์สตรีทแวร์แห่งยุคอย่าง Off-White ที่ก่อตั้งเมื่อปี 2014 โดย Virgil Abloh
ณ เวลานี้ยังไม่ได้มีการเปิดเผยตัวเลขออกมาว่า LVMH ได้ใช้เงินไปเท่าไร เพราะยังอยู่ในขั้นตอนการซื้อขายที่ใช้เวลา 60 วัน แต่ส่วนหุ้นที่เหลือ 40% ทาง Virgil ก็จะเป็นคนดูแลต่อไป โดยทางดีไซเนอร์วัย 40 ปีถือว่ามีความสำคัญต่อกลุ่ม LVMH อย่างมากในด้านสร้างความหลากหลายภายในองค์กร หลังที่ในปี 2018 เขาได้กลายเป็นครีเอทีฟไดเรกเตอร์ผิวดำคนแรกของแบรนด์ Louis Vuitton ในหมวดสินค้าผู้ชาย
ในคำแถลงการณ์ของ Bernard Arnault เจ้าของบริษัท LVMH เขาได้เผยว่าทาง LVMH จะช่วย Off-White ในด้านขยายหมวดสินค้าใหม่ๆ ซึ่งตอนนี้มีเสื้อผ้าผู้ชาย เสื้อผ้าผู้หญิง เสื้อผ้าเด็ก แอ็กเซสซอรี ของแต่งบ้าน และสินค้าพิเศษที่ร่วมทำกับแบรนด์อื่นๆ อาทิ Nike, Jimmy Choo, น้ำดื่ม Evian และกระเป๋าเดินทาง Rimowa ที่อยู่ภายใต้กลุ่ม LVMH เหมือนกัน
โดยหากเราวิเคราะห์กลุ่มสินค้าใหม่ๆ ที่เราอาจเห็นในอนาคตจาก Off-White ก็มีทั้งนาฬิกา ขยายไลน์เครื่องประดับไฮเอนด์ และไลน์น้ำหอมที่สามารถสร้างเม็ดเงินมหาศาล ซึ่ง Off-White ก็เคยทำกลิ่นพิเศษกับแบรนด์ Byredo มาก่อน แถม Virgil เองก็ได้พูดในคำแถลงการณ์ว่าเขาสนใจศึกษาเรื่องกิจการด้านโรงแรมและเครื่องดื่มของ LVHM ที่มีอยู่หลายแบรนด์ อาทิ แชมเปญ Moët & Chandon และโรงแรม Cheval Blanc เป็นต้น
นอกเหนือจากนี้ทาง LVMH ยังเผยว่าตั้งใจให้ Virgil มาช่วยด้านการพัฒนาและสร้างแบรนด์ใหม่ๆ ในบริษัทอีกด้วย ซึ่งการที่ LVMH มาลงทุนซื้อหุ้นกิจการของ Off-White ก็เป็นการสะท้อนว่าทางบริษัทเริ่มมองเห็นความสำคัญด้านการปรับและยกโปรไฟล์ของตัวเองให้มีแบรนด์แฟชั่นสายสตรีทและเน้นลูกค้า Gen-Z มากขึ้น เพราะแบรนด์แม่เหล็กที่มีอยู่แล้วอย่าง Dior, Givenchy, Emilio Pucci, Fendi, Berluti หรือ Louis Vuitton เองก็เน้นกลุ่มลูกค้าผู้ใหญ่มากกว่า แม้แต่ละแบรนด์จะพยายามปรับภาพลักษณ์ให้ดูเด็กขึ้นก็ตาม
ภาพ: Bertrand Rindoff Petroff/Getty Images
อ้างอิง: