ในยามที่เงาของความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลกทอดตัวยาว จากแรงสั่นสะเทือนของสงครามการค้าที่ยังไร้ข้อสรุป ไปจนถึงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ปะทุขึ้นในตะวันออกกลาง แรงกระเพื่อมเหล่านี้ได้ส่งคลื่นกระทบมาถึงทุกอณูของตลาดทุน ไม่เว้นแม้แต่ ‘จักรวาลแห่งเรือนเวลา’ ที่ซึ่งนักสะสมและนักลงทุนต่างจับจ้องอย่างใกล้ชิดว่า เข็มนาฬิกาแห่งมูลค่ากำลังจะชี้ไปในทิศทางใด
ปรากฏการณ์ภาษี: เมื่อตัวเลขส่งออกพุ่งทะยานสวนทางความเป็นจริง
ภาพสะท้อนที่ชัดเจนที่สุดของแรงกระเพื่อมนี้ ปรากฏในตัวเลขการส่งออกนาฬิกาสวิสเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ โดยเฉพาะตลาดสหรัฐอเมริกาที่ทะยานขึ้นถึง 149% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า คิดเป็นมูลค่ามหาศาลถึง 851.9 ล้านดอลลาร์
ทว่าเบื้องหลังตัวเลขที่สวยหรูนี้ กลับไม่ใช่สัญญาณของอุปสงค์ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง แต่เป็นภาพสะท้อนของ ‘กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยง’ จากนโยบายภาษีนำเข้า 10% ของสหรัฐฯ และคำขู่ที่จะดีดตัวเลขขึ้นไปถึง 31% ดังที่ ฌอง-ฟิลิปป์ แบร์ตชี นักวิเคราะห์จาก Vontobel ชี้ว่า นี่คือการเร่ง ‘ตุนสินค้า’ ของผู้ผลิตและตัวแทนจำหน่าย เพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษีที่กำลังจะก่อตัวขึ้น
ในขณะที่ฟากฝั่งอเมริกาดูเหมือนจะคึกคักจากการนำเข้าเชิงกลยุทธ์ ภาพในตลาดเอเชียกลับฉายหนังคนละม้วน การส่งออกไปยังจีน สิงคโปร์ และฮ่องกง หดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญถึง 30%, 9% และ 23% ตามลำดับ บ่งชี้ถึงภาวะชะลอตัวของกำลังซื้อและความเชื่อมั่นที่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกโดยตรง
ตลาดรอง (Secondary Market): เวทีใหม่ที่เฉิดฉายในยามผันผวน
แต่ท่ามกลางความผันผวนนี้เอง กลับมีอีกฟากของตลาดที่คึกคักสวนกระแสอย่างน่าจับตา นั่นคือ ‘ตลาดนาฬิกามือสอง’
ปรากฏการณ์นี้เปรียบเสมือนกระจกสะท้อนพฤติกรรมของนักสะสมและนักลงทุนที่ปรับตัวอย่างชาญฉลาด เมื่อกำแพงภาษีทำให้นาฬิกาใหม่จากแบรนด์ชั้นนำอย่าง Rolex หรือ Patek Philippe มีราคาสูงขึ้นจนยากจะเข้าถึง ตลาดรองจึงกลายเป็นจุดหมายปลายทางแห่งใหม่ที่เต็มไปด้วยโอกาส Subdial แพลตฟอร์มซื้อขายนาฬิกาชื่อดัง รายงานยอดขายที่พุ่งสูงขึ้นถึง 160% ในช่วงสิ้นเดือนเมษายน ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ว่านักสะสมกำลังมองหา ‘มูลค่า’ ที่สมเหตุสมผลและหลีกเลี่ยงต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษี
ขณะเดียวกัน สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง แม้ไม่ได้ส่งผลโดยตรง แต่ได้สร้างผลกระทบทางอ้อมที่ลึกซึ้ง เมื่อความตึงเครียดผลักดันราคาทองคำให้พุ่งทะยานในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven Asset) นาฬิกาหรู โดยเฉพาะรุ่นหายากและรุ่นวินเทจ ก็ถูกยกระดับขึ้นเป็น ‘สินทรัพย์ทางเลือก’ (Alternative Asset) ที่สามารถเป็นหลุมหลบภัยทางการลงทุนและรักษามูลค่าได้อย่างมั่นคงในยามที่ตลาดอื่นๆ ผันผวน
ตลาดรองจึงไม่ได้เป็นเพียงช่องทางหลีกเลี่ยงภาษี แต่ยังเป็นเวทีสำคัญที่ทำให้นักลงทุนได้ครอบครองเรือนเวลาที่มีศักยภาพในการเพิ่มมูลค่า ซึ่งขับเคลื่อนให้แพลตฟอร์มออนไลน์และร้านค้าที่น่าเชื่อถือกลายเป็นที่สนใจมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
‘คุณค่าที่แท้จริง’ และ ‘ความหายาก’: เข็มทิศนำทางในทุกวิกฤต
ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าสภาวะเศรษฐกิจโลกจะแปรปรวนเพียงใด หัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดนาฬิกาหรูก็มิได้เปลี่ยนแปลง นั่นคือ ‘คุณค่าที่แท้จริง’ (Intrinsic Value) และ ‘ความหายาก’ (Rarity)
ในสถานการณ์เช่นนี้ นักสะสมจะยิ่งให้ความสำคัญกับเรือนเวลาที่เป็นไอคอนิก มีเรื่องราว มีประวัติศาสตร์ และผลิตในจำนวนจำกัด นาฬิกาเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องบอกเวลา แต่เป็นสินทรัพย์ที่มั่นคงซึ่งสามารถรักษามูลค่า และพร้อมที่จะเพิ่มมูลค่าสวนกระแสความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจได้เสมอ
ดังนั้น แม้พายุเศรษฐกิจจะยังคงก่อตัว แต่สำหรับจักรวาลแห่งเรือนเวลาแล้ว แสงจาก ‘คุณค่า’ และ ‘ความหายาก’ จะยังคงส่องนำทางให้นักสะสมและนักลงทุนผู้มองการณ์ไกลเสมอ
ภาพ: FXQuadro / Shutterstock
อ้างอิง:
- https://robbreport.com/style/watch-collector/rolex-pre-owned-watches-trump-tariffs-1236769328/
- https://www.swisswatchexpo.com/thewatchclub/2025/05/25/the-most-affordable-rolex-watches-in-2025/
- https://robbreport.com/style/watch-collector/swiss-watch-exports-april-us-tariffs-1236764679/