สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า หุ้นของบริษัทในกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมเมื่อวานนี้ (23 พฤษภาคม) ดิ่งลงอย่างแรง สูญมูลค่าไปกว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์ สวนทางกับทิศทางสดใสในช่วงต้นปีที่ผ่านมาที่หุ้นในกลุ่มแบรนด์เนมปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะได้แรงหนุนจากดีมานด์ในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะจีนที่กลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง
ทั้งนี้ หุ้นในกลุ่ม Hermès International ปรับตัวลดลงมากถึง 5.5% ในขณะที่หุ้นของ LVMH Moët Hennessy Louis Vuitton SE ลดลงประมาณ 4% และหุ้นของ Kering SA เจ้าของ Gucci ลดลงมากกว่า 2%
ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่ทำให้ตลาดตกใจไม่น้อย เพราะในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา หุ้นในกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมถือเป็นหุ้นที่มีความเคลื่อนไหวในทางบวกและกลายเป็นดาวรุ่งของตลาดหุ้นทั่วยุโรปเทียบเท่าหุ้นกลุ่ม Big Tech ของสหรัฐฯ เนื่องจากเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตโดดเด่นอย่างต่อเนื่องแม้ว่าเศรษฐกิจจะผันผวนก็ตาม
Edouard Aubin นักวิเคราะห์ของธนาคารเพื่อการลงทุน อธิบายว่า ความเชื่อมั่นในการเติบโตของสินค้าแบรนด์หรูค่อนข้างลดลงไปอย่างมาก และอยู่ในระดับที่ราบเรียบหรือไม่ค่อยเติบโต หลังมองเห็นสัญญาณดีมานด์ที่ลดลงในกลุ่มผู้บริโภค
ทั้งนี้ เอเชียและสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดสำคัญสำหรับสินค้าแบรนด์เนมในยุโรป โดยเอเชียไม่รวมญี่ปุ่นคิดเป็น 30% ของยอดขายของ LVMH ในปี 2022 ในขณะที่สหรัฐอเมริกาคิดเป็น 27%
นักวิเคราะห์ของ Deutsche Bank AG กล่าวว่า การชะลอตัวของสหรัฐฯ ในขณะนี้เป็นข้อกังวลที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าอุปสงค์ในจีนที่ดีดตัวขึ้นเป็นหนึ่งในแรงผลักดันสำคัญของการขายที่แข็งแกร่ง แต่นักลงทุนมีแนวโน้มที่จะเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้น้อยลง เพราะมองว่าดีมานด์โดยรวมในตลาดไม่ได้แข็งแกร่งมากเท่าในอดีต
ถึงกระนั้นหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมก็ยังทำผลงานได้ดีกว่าหุ้นในกลุ่มอื่นๆ เห็นได้จากอัตรากำไรที่มากในปีนี้ เช่น LVMH เพิ่มขึ้น 25% และ Hermès เพิ่มขึ้น 34%
อ้างอิง: