สิ้นสุดการตั้งตารอเสียทีสำหรับแฟนๆ ออเจ้า บุพเพสันนิวาส 2 ภาพยนตร์ไทยร่วมทุนสร้างระหว่าง GDH และ บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด ที่ดัดแปลงมาจากละครระดับปรากฏการณ์อย่าง บุพเพสันนิวาส โดยได้ ปิ๊ง-อดิสรณ์ ตรีสิริเกษม จาก รถไฟฟ้า..มาหานะเธอ (2552) และละคร น้ำตากามเทพ (2558) มารับหน้าที่ต่อยอดเรื่องราวจากฉบับจอโทรทัศน์สู่ฉบับจอภาพยนตร์
เนื้อหาของ บุพเพสันนิวาส 2 ว่าด้วยเรื่องราวในชาติภพใหม่ของ พี่หมื่น และ แม่หญิงการะเกด ที่ทั้งคู่จะได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งในยุคสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เมื่อ ภพ (โป๊ป-ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ) นายช่างหนุ่มได้พบกับ เกสร (เบลล่า-ราณี แคมเปน) หญิงงามที่หน้าตาเหมือนกับนางในความฝัน และนับตั้งแต่แรกเห็น นายช่างหนุ่มก็รู้ได้ทันทีว่านางคือ ‘คู่บุพเพสันนิวาส’ ที่เฝ้าคิดถึงมาตลอด
กระทั่งวันหนึ่งภพและเกสรบังเอิญได้พบกับ เมธัส (ไอซ์-พาริส อินทรโกมาลย์สุต) ชายหนุ่มหน้าฝรั่งที่ย้อนเวลามาจากอนาคต ซึ่งทำให้เกสรนึกถึงสมุดบันทึกโบราณของคุณหญิงการะเกดที่เขียนถึงเรื่องราวในอนาคตเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าความวุ่นวายจะไม่จบลงแค่นั้น เมื่อชาววิลาสจากประเทศอังกฤษ (ชื่อเรียกชนชาวฝรั่งต่างชาติในยุคอาณานิคม) จากอีกฝากของโพ้นมหาสมุทร กำลังวางแผนบุกโจมตีสยามจนอาจทำให้ประวัติศาสตร์บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ภพ, เกสร และ เมธัส จึงต้องร่วมมือกันขัดขวางแผนการของชาวฝรั่ง เพื่อป้องกันไม่ให้อนาคตที่เมธัสจากมาเปลี่ยนแปลง
โรแมนติก ตลกขบขัน แฟนตาซี คือสามคำแรกที่นึกถึงหลังจากชมตัวอย่างฉบับเต็มของ บุพเพสันนิวาส 2 ซึ่งสิ่งที่เรารู้สึกสนใจเป็นพิเศษคือ ทางผู้กำกับและทีมสร้างจะผสมผสานความแฟนตาซีเข้ากับเรื่องราวความรักของภพและเกสรในรูปแบบไหน
และจุดเด่นข้อแรกที่เราอยากกล่าวถึงคือ งานวิชวลเอฟเฟ็กต์ที่นำเสนอความแฟนตาซีออกมาได้อย่างสร้างสรรค์ โดยเฉพาะฉากการย้อนเวลาของเมธัสกับการเปลี่ยนแปลงสถานที่จากปัจจุบันไปยังอดีตและพลังของปืนวิเศษที่เขาถือครอง ไปจนถึงการทำแผนที่ให้เราเห็นภาพรวมของสยามในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ที่เสริมให้ภาพยนตร์มีสีสันมากขึ้น
อีกหนึ่งสิ่งที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือ การที่ผู้กำกับหยิบเรื่องราวในประวัติศาสตร์ไทยมาร้อยเรียงกับเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นใหม่ออกมาได้อย่างน่าสนใจและชวนติดตาม โดยเฉพาะการออกแบบคาแรกเตอร์ของบุคคลจริงในประวัติศาสตร์ให้มีความร่วมสมัยด้วยกลิ่นอายคอเมดี้ในฉบับของ GDH
ไปจนถึงรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมายที่ผู้กำกับและทีมสร้างสอดแทรกเข้ามา เพื่อพาผู้ชมไปสัมผัสกับบรรยากาศของยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นพร้อมกับตัวละคร ทั้งสถานที่สำคัญที่ถูกหยิบยกมาเป็นฉากหลัง หรืออาหารไทยที่อาจจะไม่ได้ถูกใส่เข้ามามากนัก แต่ก็ทำให้เราท้องร้องจนอยากไปลองรับประทานเมนูเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี ฯลฯ
เรียกได้ว่า บุพเพสันนิวาส 2 ล้วนอัดแน่นไปด้วย Soft Power ไทยมากมาย ที่จุดประกายให้เราอยากลองไปศึกษาต่อว่าประวัติความเป็นมาของตัวละคร สถานที่ และเหตุการณ์ต่างๆ บนหน้าประวัติศาสตร์ไทยเหล่านี้มีที่มาที่ไปเป็นอย่างไร
และจุดที่โดดเด่นที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้คือ ความโรแมนติกของคู่พระนางอย่างภพและเกสร ที่นอกจากจะอบอวลไปด้วยความน่ารักชวนอมยิ้มแล้ว สิ่งที่เราชอบมากๆ คือการที่ผู้กำกับและทีมสร้างเลือกจะตีความ ‘บุพเพสันนิวาส’ ออกมาในแง่มุมที่น่าสนใจและชวนให้ผู้ชมมีความรู้สึกร่วมไปกับตัวละครได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกัน เรื่องราวของตัวละครใหม่อย่างเมธัสก็มีปมปัญหาของตัวเองที่น่าติดตาม พร้อมทั้งมาแต่งแต้มสีสันให้กับเรื่องราวความรักของคู่พระนางสนุกสนานมากขึ้นกว่าเดิม
ขณะเดียวกัน ภายใต้เรื่องราวความรักเปี่ยมเสน่ห์ บุพเพสันนิวาส 2 ก็มีจุดที่เรารู้สึกเสียดายอยู่เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเหตุการณ์ในช่วงสุดท้ายของเรื่องที่ผู้กำกับและทีมสร้างพยายามใช้ Slow Motion เข้ามาเพื่อสร้างความตื่นเต้นและลุ้นระทึกมากเกินความจำเป็น ซึ่งส่งผลให้ฉากเหล่านั้นกลับดูยืดเยื้อจนไม่ทำให้เรารู้สึกลุ้นระทึกไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างที่ภาพยนตร์ตั้งใจ รวมถึงมีบางช่วงบางตอนที่เราคิดว่าสามารถนำเสนอให้กระชับฉับไวกว่านี้ได้ แต่ภาพยนตร์กลับพยายามขยี้เหตุการณ์เหล่านั้นมากเกินไป จนเรารู้สึกว่าช่วงเวลา 2 ชั่วโมง 46 นาที ดูจะเป็นความยาวที่นานไปสักหน่อย
อีกหนึ่งสิ่งที่เรารู้สึกเสียดายคือ ตัวร้ายหลัก ที่เรารู้สึกว่ายังไม่โดดเด่นจนชวนให้ติดตาม โดยเฉพาะความเจ้าเล่ห์เพทุบายของตัวร้ายที่เราคิดว่าภาพยนตร์ยังนำเสนอออกมาได้ไม่ชัดเจนและไม่น่าสนใจเท่าไร เราจึงคิดว่าหากภาพยนตร์หยิบช่วงที่ดูยืดเยื้อดังที่เรากล่าวไปแล้ว มาขยายเรื่องราวของตัวร้ายมากขึ้นอีกสักหน่อย ก็อาจจะเสริมให้ภารกิจปกป้องประวัติศาสตร์ของสามตัวละครหลักน่าติดตามมากขึ้นกว่าเดิม
ในภาพรวมแล้ว บุพเพสันนิวาส 2 เรีกยว่าเป็นภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดี้ที่ไม่ได้โดดเด่นแค่พาร์ตความรักในชาติภพใหม่ของแม่หญิงการะเกดและพี่หมื่นเท่านั้น แต่เรายังสัมผัสได้ถึงรายละเอียดมากมายที่ผู้กำกับและทีมสร้างตั้งใจใส่เข้ามาเพื่อสร้างบรรยากาศชวนหลงใหลของยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นให้ผู้ชมได้สัมผัส ไปจนถึงแก่นหลักสำคัญของเรื่องอย่างคู่บุพเพสันนิวาสที่ถูกตีความใหม่ให้ลึกซึ้งกินใจมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็มีหลายช่วงที่ดูจะยืดเยื้อเกินไป โดยเฉพาะช่วงสุดท้ายที่มีการใช้ Slow Motion มากเกินความจำเป็น จนส่งผลให้เราไม่รู้สึกตื่นเต้นและลุ้นระทึกไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
บุพเพสันนิวาส 2 มีกำหนดเข้าฉายวันที่ 28 กรกฎาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์
รับชมตัวอย่างได้ที่นี่