ตลอด 365 วันในหนึ่งปี เด็กจีนทุกคนตั้งตารอคอยวันตรุษจีนมากที่สุด สำหรับเด็กๆ แล้ว วันปีใหม่จีนคือวันสุดแสนแฮปปี้ เพราะเป็นวันได้อั่งเปา
ปีๆ หนึ่งก็รอวันนี้ โมงยามนี้มากที่สุดนี่แหละ
แต่ก่อนจะถึงชั่วโมงรับทรัพย์ เด็กจีนจะเห็นพ่อแม่ทำความสะอาดบ้านเอิกเกริกกว่าวันไหนๆ ในรอบปี เป็นการปัดกวาดเช็ดถูครั้งใหญ่ ลูกหลานมักได้รับมอบหมายให้ช่วยงานบ้านคนละงานสองงาน
ภาพจำตอนเด็กของวันใกล้ตรุษจีนคือ การกวาดหยากไย่บนเพดานที่แม่มอบหมาย ไม้กวาดอันยาวชะลูดที่แอบซ่อนตัวมิดชิดตลอดทั้งปี ถูกนำออกมาใช้งานปีละหน ภารกิจของฉันคือ เดินแหงนคอตั้งบ่ากวาดหยากไย่บนเพดานไปทั่วบ้าน
การประคองไม้อันยาวแล้วเล็งให้ถูกเป้าหมายเป็นเรื่องสนุกสำหรับเด็ก แต่ทำได้ไม่นานก็เบื่อ เพราะเมื่อยคอ แถมบ่อยครั้งหยากไย่เส้นดำๆ เบาๆ มักลอยละล่องตกลงมาบนใบหน้า พาให้คันจมูกยุบยิบจนจามลั่นบ้าน
ตอนเรายังเด็ก การถูกสั่งให้ทำงานบ้าน คือภารกิจที่น่าเบื่ออย่างยิ่ง
ถามว่าพอโตขึ้น การทำงานบ้านน่าเบื่อน้อยลงหรือ
ไม่เลย งานปัดกวาดเช็ดถูขัดล้างยังน่าเบื่อเหมือนเดิม เพียงแต่เราเข้าใจมันมากขึ้น
เมื่อยังเยาว์วัยกว่านี้ ทุกครั้งที่ทำงานบ้าน โดยเฉพาะงานรีดผ้าที่ทั้งยากและน่าเหนื่อยหน่าย ขณะมือลากเตารีดไปบนเสื้อทำงานของพ่อ กางเกงของพี่ ชุดของแม่ ทั้งร้อนและปวดหลัง มองไปที่ตะกร้ารอรีด ผ้ายับยังพับซ้อนสูงเท่าเดิม ดูไม่ลดลงเลยทั้งที่รีดไปหลายตัวแล้ว
ทุกครั้งที่ความขี้เกียจแผ่เต็มพื้นที่ร่างกายและจิตใจ ฉันพยายามข่มจิต ปลอบใจตัวเองเสมอ ด้วยคำพูดของ อาจารย์ระวี ภาวิไล (ผู้แปล ปรัชญาชีวิต ทรายกับฟองคลื่น และ ปีกหัก ของ คาลิล ยิบราน) ซึ่งเคยอ่านเจอในบทสัมภาษณ์ว่า
“การทำงานบ้านคือการปฏิบัติธรรม”
ยอมรับว่าในช่วงวัยยี่สิบเหมือนจะเข้าใจ แต่เอาเข้าจริงไม่เข้าใจ
ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาทำงานบ้านไป เพราะแม่สั่งให้ทำ ทำไปก็สะกดตัวเองด้วยมนต์คาถาข้างต้น บอกตัวเองว่าเรากำลังปฏิบัติธรรม เรากำลังปฏิบัติธรรม เรากำลังปฏิบัติธรรม
ธรรมอะไรวะ ยามเหนื่อย หน้ามัน เนื้อตัวเหนอะหนะ ในใจไม่วายพยศ เดือดปุด และต่อต้าน
ความน่าเบื่อของหลายสิ่งหลายอย่างบนโลกใบนี้คือ การต้องทำสิ่งเดิมซ้ำๆ ไม่มีสิ้นสุด อะไรที่เคยตื่นเต้น สุดสนุก เมื่อต้องทำซ้ำๆ มนต์วิเศษก็ยังคลายตัว ไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่มองหาความชื่นบานแทบไม่เห็น การต้องทำสิ่งเดิมวนเวียนไม่รู้จบ บางอย่างกลายเป็นความจำเจ บางอย่างสุดแสนซ้ำซาก บางอย่างพัฒนาเป็นความชำนาญ บางอย่างกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
สุดแต่เราจะมองมุมไหน
หากลองพิจารณาอีกที ทั้งหมดคือเรื่องเดียวกัน ทั้งหมดคือ ‘ส่วนหนึ่งของชีวิต’
ยามที่บ้านรก โต๊ะเกลื่อนไปด้วยเศษเหรียญ นาฬิกา โทรศัพท์มือถือ สายชาร์จ วางระเกะระกะ ชั้นวางของมีทั้งหนังสือที่อ่านแล้ว และยังไม่ได้อ่านวางซ้อนปนๆ กัน เอกสารหลายซองกองไว้ รอวันจัดเก็บ
ทุกครั้งที่มองไป เกะกะสายตา บ่อยครั้งถึงขั้นอึดอัดรำคาญใจ เหมือนจะปล่อยผ่าน แต่กลับค้างคาในอารมณ์ กระนั้นยังคงผัดวันออกไป บอกตัวเองว่าว่างเมื่อไร เคลียร์แน่นอน
ความรกพอกพูนบ้าน ความรำคาญคั่งค้างในใจ บางครั้งไม่กี่วัน บางครานานเป็นเดือน จนเมื่อได้จัดเก็บ เช็ดฝุ่น ชำระสะสาง โต๊ะและชั้นวางของกลับมามีระเบียบ เข้าที่เข้าทาง และว่างโล่งอีกครั้ง
ในระหว่างลงมือลงแรง แม้ต้องเสียเหงื่อ ผ่านความเหน็ดเหนื่อย มากบ้าง น้อยบ้าง น่าแปลก เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น จิตใจกลับเบา วาววับ ราวกับผ่านกระบวนการอะไรบางอย่าง
ราว 10 ปีก่อน ฉันตัดสินใจปรับปรุงบ้าน จากความตั้งใจแรกเพียงเปลี่ยนพื้นกระเบื้องยางกระดำกระด่าง เป็นพื้นกระเบื้องแกรนิตโต้ ทำไปทำมา งานซ่อมพื้นเลยเถิดไปถึงการเปลี่ยนและเดินสายไฟใหม่หมดทั้งบ้าน บ้านซึ่งเป็นตึกแถวสี่ชั้นครึ่ง ฉันมองเห็นเค้าหายนะอันโกลาหลอยู่เบื้องหน้า
รู้กันดีว่าการสร้างหรือซ่อมแซมบ้านคืองานสุดเครียด เพราะมีเรื่องให้กลุ้มตั้งแต่งบประมาณที่บานปลายเกินราคาประเมินเสมอ ไหนต้องลุ้นการทำงานของผู้รับเหมา ทั้งเรื่องฝีมือว่าทำงานได้เนี้ยบ เป็นไปตามแบบที่ตกลงกันไว้หรือไม่ ไหนต้องคอยสวดภาวนา ขออย่าให้ผู้รับเหมาชิ่งหนี ไม่ทิ้งงานกลางคัน ขอให้เจอผู้รับเหมาที่ทำงานต่อเนื่องคราวเดียวจนเสร็จสมบูรณ์
การได้พบเจอผู้รับเหมาฝีมือดี มีความรับผิดชอบ จึงไม่ต่างอะไรกับซื้อหวยแล้วถูกรางวัลที่ 1
จากงานรื้อพื้นเก่าและเปลี่ยนกระเบื้องใหม่สำหรับพื้นที่สองชั้น ผู้รับเหมาประเมินเวลาไว้ไม่เกินสองสัปดาห์ จำต้องลากยาวออกไป สิริรวม 35 วัน จึงแล้วเสร็จ
ตลอดเดือนเศษของการซ่อมบ้านในคราวนั้น ทุกวันที่ล่วงผ่านคือความเครียดที่เพิ่มน้ำหนักกดลงบนบ่า บางวันช่างไฟไม่มา บางวันมาเอาเกือบเย็น ทำได้ไม่กี่ชั่วโมงก็กลับ บ้านเต็มไปด้วยฝุ่นมหาศาล งานกวาดถูตอนค่ำหลังช่างเลิกงานเป็นไปเพียงเพื่อให้มีพื้นที่สะอาดพอล้มตัวลงนอนได้
งานปูพื้นกระเบื้องดำเนินไปพร้อมงานเลาะสายไฟเก่าและเดินสายใหม่ ช่างบางคนใส่รองเท้าย่ำไปบนพื้นกระเบื้องสีขาวครีม บางคนแบร์ฟุต แต่เท้าดำเหลือกำลัง คราบพื้นรองเท้าและบาทาเปื้อนน้ำมัน ประทับเป็นรอยห้านิ้วลงบนพื้นกระเบื้องปูใหม่ ตกเย็น ฉันเพียรเช็ดถูร่องรอยเหล่านั้น ไม่ว่าจะออกแรงสักแค่ไหน รอยฝ่าเท้าจางๆ ยังคงอยู่ไม่เลือนหาย
คราบดำในหัวใจของฉันค่อยๆ ก่อเกิดทบทวี กลายเป็นความเครียดแสนหนักอึ้ง
ถ้าเช็ดไม่ออก ช่างต้องทุบแล้วปูใหม่ ฉันไม่ยอมเห็นรอยเท้าห้านิ้วกระจายทั่วบ้านไปอีก 5 ปี 10 ปี หรือตลอดชั่วชีวิตของฉันแน่นอน
ฉันจะไม่ทน ฉันยื่นคำขาด
เช้าวันเก็บงาน ผู้รับเหมาขับรถมาส่งช่าง จากนั้นซุ่มเก็บเครื่องไม้เครื่องมือที่เหลือ แล้วขับรถจากไป เป็นสัญญาณบอกว่า จะไม่มีการทุบพื้นแล้วปูใหม่ ช่างปูพื้นซึ่งเห็นหน้ากันมาตลอดหนึ่งเดือน วันนี้มาพร้อมเมียและลูกวัยเตาะแตะ
เอาล่ะสิ ฉันต้องสวมบทเจ๊เจ้าของบ้านจอมโหด ยืนคุมการทำความสะอาดพื้นด้วยน้ำยา ซึ่งผู้รับเหมาบอกว่าเช็ดออกแน่นอน
จากเช้าจรดเย็น ฉันยืนประชิดเมียช่าง ซึ่งเป็นหน่วยเช็ดถูทำความสะอาดชนิดแทบหายใจรดต้นคอ พร้อมกับช่วยดูแลเจ้าหนูตัวน้อยไปด้วย นี่มันใช่เรื่องไหมที่ฉันต้องมาเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ฉันไม่วายขุ่นมัว
แต่ความบริสุทธิ์ของเด็กน้อย บวกกับความใจเย็นของเมียช่างที่ทำงานโดยไม่ปริปากบ่น ไม่มีหน้างอ มือของเธอค่อยๆ ลงยาแนวบนร่องกระเบื้อง จากนั้นเช็ดล้างพื้นทีละตารางนิ้ว การทำความสะอาดค่อยๆ คลายเกลียวที่ฉันพันขมวดปมยุ่งเหยิงเอาไว้ จนเริ่มปล่อยวางทีละน้อย
ความกังวลที่จับหนาเป็นเขม่าขะมุกขะมอมในหัวใจ ค่อยๆ ถูกชำระล้างไปกับคราบฝุ่นปูนบนพื้น
แม้เมื่อเสร็จงาน พื้นกระเบื้องใหม่ที่เพิ่งปูจะไม่ขาวเอี่ยมอ่องสมใจปรารถนา แต่คราบดำที่ถ่วงหัวใจมาเกือบเดือนสลายหายไปอย่างน่าอัศจรรย์
รอยดำบนพื้นเลือนจาง เช่นเดียวกับรอยดำในใจ
มื้อเย็นวันนั้นเป็นมื้อแรกในรอบ 35 วันที่ฉันเติมข้าว ถ้าใครอยากลดความอ้วน แนะนำให้ซ่อมบ้าน ความเครียดจะทำให้คุณกินข้าวไม่ลง ต้นขา หน้าท้องแบนราบพอๆ กับเงินในกระเป๋าที่ลดฮวบจนทำเอาหน้ามืด
ว่ากันว่า เมื่อบ้านรก ข้าวของกองไม่เป็นที่ คือช่วงเวลาที่เราจัดการกับชีวิตตัวเองไม่ได้
ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น ยามข้าวของอยู่ผิดที่ผิดทาง เกลื่อนกลาดกระจัดกระจาย มักเป็นช่วงที่ตารางชีวิตยุ่งเหยิง ยุ่งเสียจนการดูแลบ้านคือเรื่องรอง บางครั้งถูกจัดความสำคัญในลำดับรั้งท้าย
หากการทำงานบ้านคือการปฏิบัติธรรม อันหมายถึงกระบวนการหนึ่งของสำรวจตรวจสอบและชำระล้างจิตใจ คงเป็นการดี หากเราได้ทำสมาธิพร้อมๆ กับลากไม้ถูพื้นไปบนพื้นบ้าน เช็ดกระจกจนใสไร้คราบหมอง และมองเห็นเงาสะท้อนของตัวเราชัดเจนยิ่งขึ้น
เราผู้ซึ่งยังคงเดือดปุด ระงับอารมณ์ไม่อยู่
เราผู้ซึ่งเต็มไปด้วยข้อบกพร่องมากหลาย
เราผู้ซึ่งเพียรพยายามขัดเกลาตัวเองวันละนิด
ผ่านการอ่าน การฟัง การแลกเปลี่ยนประสบการณ์
ผ่านความรัก ความชัง การสูญเสีย
ผ่านการเดินทาง การใช้ชีวิต และแน่นอน การทำงานบ้าน
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล