สื่อต่างประเทศรายงานว่า ลอสแอนเจลิสอาจกลายเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกาที่ออกคำสั่งไม่ให้มีการสร้างปั๊มน้ำมันแห่งใหม่เพิ่มเติม เพื่อจำกัดปริมาณการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก
วานนี้ (22 มิถุนายน) เจ้าหน้าที่จากนครลอสแอนเจลิส พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากเมืองเบธเลเฮม รัฐนิวยอร์ก และเขตภูมิภาคโคมอกซ์แวลลีย์ รัฐบริติชโคลัมเบียของแคนาดา ประกาศว่า พวกเขากำลังอยู่ในระหว่างทบทวนนโยบายที่จะยุติการสร้างปั๊มน้ำมันในพื้นที่เพิ่มเติม
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังภาคส่วนต่างๆ พยายามเร่งผลักดันให้มีการแก้ปัญหาวิกฤตภาวะโลกร้อนอย่างจริงจัง โดยข้อมูลจากรายงานของ Safe Cities ระบุว่า ปั๊มน้ำมันสร้างความเสี่ยงต่อสุขภาพมนุษย์และสิ่งแวดล้อมของชุมชน เนื่องจากน้ำมันที่รั่วไหลแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถก่อให้เกิดมลพิษในดินและแม่น้ำได้หากสะสมไปเรื่อยๆ
พอล โคเรตซ์ สมาชิกสภานครลอสแอนเจลิส เปิดเผยว่า “ลอสแอนเจลิสเลิกขุดเจาะน้ำมันแล้ว และเรากำลังพัฒนาไปสู่การขนส่งที่ปราศจากเชื้อเพลิงฟอสซิลทั้งหมด”
นโยบายที่อยู่ระหว่างการพัฒนานี้ถือเป็นการพลิกโฉมครั้งสำคัญของมหานครที่มีการจราจรติดขัดมากที่สุดแห่งหนึ่งของสหรัฐฯ ซึ่งหากนโยบายดังกล่าวประสบความสำเร็จ ลอสแอนเจลิสจะกลายเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ที่ออกคำสั่งยกเลิกการสร้างปั๊มน้ำมันใหม่ได้สำเร็จ โดยคาดว่าจะมีการผลักดันนโยบายดังกล่าวให้คืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมภายในช่วงสิ้นปีนี้
แอนดี้ ชราเดอร์ เจ้าหน้าที่สังกัดสมาชิกสภานครลอสแอนเจลิส เปิดเผยว่า “พฤติกรรมแย่ๆ ของเราในแต่ละวันกำลังทำลายระบบธรรมชาติที่มนุษย์ต้องพึ่งพาอาศัย และเมืองต่างๆ มีอิทธิพลอย่างมากที่จะช่วยแก้ไขปัญหาสภาวะโลกร้อน
“หากคุณเป็นมะเร็งปอดคุณต้องหยุดสูบบุหรี่ แต่หากโลกของคุณลุกเป็นไฟคุณต้องหยุดราดน้ำมันลงกองเพลิง” ชราเดอร์กล่าวเสริม
ขณะเดียวกันความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่จะแบนการจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันภายในปี 2035 โดยจะบังคับให้รถยนต์ใหม่ที่วางจำหน่ายในรัฐเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่มีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์เท่านั้น
แฟ้มภาพ: Al Seib / Los Angeles Times via Getty Images
อ้างอิง: