โลกธุรกิจความงามต้องจับตา เมื่อยักษ์ใหญ่แห่งวงการอย่าง L’Oréal ประกาศแผนครั้งสำคัญ หันเหทิศทางมุ่งหน้าสู่สหรัฐอเมริกาอย่างเต็มตัว หวังปักธงรบในตลาดใหม่ที่มองว่าเป็นขุมทรัพย์แห่งโอกาส หลังเผชิญกับความท้าทายในจีนที่เคยเป็นตลาดหลักมาอย่างยาวนาน
Nicolas Hieronimus ซีอีโอของ L’Oréal กล่าวอย่างชัดเจนว่า พวกเขามองอเมริกาเป็นดินแดนแห่งโอกาส พร้อมยอมรับว่าสถานการณ์ในจีนยังคงเป็นปริศนาขนาดใหญ่ ท่ามกลางยอดขายในเอเชียเหนือที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
สัญญาณอันน่าตกใจนี้ปรากฏชัดจากผลประกอบการไตรมาส 4 ที่ผ่านมา เมื่อยอดขายในภูมิภาคเอเชียเหนือของ L’Oréal ดิ่งลงถึง 3.6% ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
ข้อมูลยังชี้ให้เห็นว่า ตลอดปี 2024 ตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ของ L’Oréal หดตัวลงประมาณ 4% ขณะที่ร้านค้าตามแหล่งท่องเที่ยวในเอเชียก็ร่วงลงถึง 10% ส่งผลให้ปัจจุบันสัดส่วนยอดขายจากจีนลดลงเหลือเพียง 17% ของยอดขายรวมทั้งหมด ซึ่งนับว่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงหลายปีที่ผ่านมา
Hieronimus ระบุถึงการเตรียมรับมือกับตลาดจีนที่ทรงตัว รวมถึงร้านค้าตามแหล่งท่องเที่ยวที่ยังคงยากลำบาก
อย่างไรก็ตาม แม้ตัวเลขในจีนจะดูน่ากังวล แต่ L’Oréal ยังคงมองเห็นโอกาสอันสดใสในอเมริกา Hieronimus ให้เหตุผลว่า พวกเขามั่นใจในศักยภาพของตลาดอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประชากรเชื้อสายละตินและหลากหลายเชื้อชาติที่กำลังเติบโต ซึ่งจะนำมาซึ่งความต้องการด้านความงามใหม่ๆ ที่หลากหลาย
นอกจากนี้ เขายังมองว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคชาวอเมริกันที่แข็งแกร่ง จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้แผนกผลิตภัณฑ์หรูของ L’Oréal เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ถึงแม้ว่ายอดขายในอเมริกาจะเติบโตเพียง 1.4% ในไตรมาสล่าสุด ซึ่งชะลอตัวลงจาก 5.2% ในไตรมาสก่อนหน้า และถือเป็นการเติบโตที่น้อยที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ Hieronimus ยังคงแสดงความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมต่อโอกาสในตลาดอเมริกา
Hieronimus ย้ำว่า “วันนี้เราค่อนข้างมองบวกกับอเมริกา มั่นใจในตลาดเกิดใหม่ทรงตัวในยุโรปซึ่งเป็นฐานที่มั่น และยังคงมีเครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่ในจีน”
สำหรับภาพรวมผลประกอบการของ L’Oréal ยอดขายตลอดทั้งปีเพิ่มขึ้น 5.1% สู่ระดับ 4.348 หมื่นล้านยูโร (ประมาณ 1.52 ล้านล้านบาท) ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม หุ้นของ L’Oréal ปิดตลาดลดลง 3.5% ในวันศุกร์ (7 กุมภาพันธ์) เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในจีน และส่งผลให้ราคาหุ้นโดยรวมลดลงมากกว่า 20% ในปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ Hieronimus ยังกล่าวถึงความไม่แน่นอนในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาค และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายการค้าใหม่ของอเมริกา ซึ่งเป็นปัจจัยที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดต่อไป
อ้างอิง: