×

ยุคทอง Longevity? ถอดรหัสกระแสที่ทำให้คนยอมทำทุกอย่าง ตั้งแต่แช่น้ำแข็งถึงกินอาหารเสริม เพื่อขอมี ‘วันพรุ่งนี้’

01.10.2025
  • LOADING...
xi-putin-secret-talk-longevity-biotech-150-years-old

HIGHLIGHTS

  • บทสนทนาประเด็นเรื่อง ‘Longevity’ บนโลกออนไลน์เป็นหนึ่งในหลักฐานสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่าสังคมกำลังให้ความสนใจกับประเด็นที่เคยถูกมองว่าไกลตัว
  • เหล่าอัครมหาเศรษฐีของโลกแล้ว กลุ่มคนเหล่านี้ได้ลงทุนมากกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมาเพื่อค้นหาวิธีที่จะทำให้ชีวิตของพวกเขายืนยาวขึ้น ตามข้อมูลจาก Wall Street Journal
  • มี 3 สิ่งที่เป็นหัวหอกของการวิจัยเรื่อง Longevity ในเวลานี้ที่เหล่าบริษัทที่ได้รับการสนับสนุนจากมหาเศรษฐีและนักลงทุนแบ่งออกเป็น คือ ความพยายามในการย้อนกลับหรือเปลี่ยนแปลงอายุขัย, การพัฒนายาสำหรับการต้านโรคที่เกี่ยวกับอายุ และการขายผลิตภัณฑ์หรือบริการที่จะช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นและมีอายุขัยที่ยืนยาวขึ้น
  • ผลิตภัณฑ์หรือบริการต่างๆที่นำเสนอแก่ผู้คนนั้น อาจไม่ได้อิงอยู่บนผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นการเดินตามกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อที่จะทำรายได้ให้มากที่สุดมากกว่า

บทสนทนานี้ความจริงแล้วสมควรเป็นความลับระดับสูงสุด แต่เพราะความผิดพลาดทำให้การพูดคุยกันระหว่างสองผู้นำชาติมหาอำนาจของโลกอย่าง สีจิ้นผิง และวลาดิเมียร์ ปูติน หลุดออกมาสู่โลกภายนอกและทำให้คนทั้งโลกต้องเงี่ยหูฟังด้วยความสนใจ

 

“ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าด้วยเทคโนโลยีชีวภาพจะทำให้เราเปลี่ยนถ่ายอวัยวะของมนุษย์ได้ ดังนั้นคนจะสามารถคงความหนุ่มสาวได้ หรือแม้แต่เป็นอมตะ” ล่ามแปลภาษาถ่ายทอดข้อความสู่ผู้นำแดนมังกร ก่อนที่จะมีการพูดตอบกลับสั้นๆว่า “มีการทำนายกันว่าในศตวรรษนี้มนุษย์อาจจะอยู่ได้ถึง 150 ปี”

 

เรื่องนี้หากได้ยินเมื่อ 10 ปีที่แล้วอาจคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่สำหรับในยุคปัจจุบันกระแส ‘Longevity’ หรือการยืดอายุของมนุษย์ให้ยืนยาว กำลังเป็นกระแสที่ได้รับความสนใจในวงกว้างอย่างมาก ผู้คนกำลังคลั่งไคล้ทำในสิ่งที่เชื่อว่าจะช่วยเราสามารถมีวันพรุ่งนี้และตื่นมาพบกับวันใหม่ได้มากกว่าที่เคยคิดหวัง

 

ตั้งแต่นาฬิกาข้อมืออัจฉริยะที่ช่วยบอกได้ว่าเราหลับนอนเป็นอย่างไร การลงไปแช่ในอ่างที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งที่เย็นยะเยือก ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ยาและอาหารเสริมมากมายที่มีให้เลือกเติมเต็มในสิ่งที่ร่างกายขาดและต้องการ

 

แต่คำถามสำคัญที่น่าสนใจคือสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นเหล่านี้ รวมถึงการลงทุนมหาศาลมันตั้งอยู่บนความจริงที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ไหม?

 

Longevity ว่าด้วยบทสนทนาใหม่ของชีวิต

 

บทสนทนาประเด็นเรื่อง ‘Longevity’ บนโลกออนไลน์ในบ้านเราช่วงที่ผ่านมาเป็นหนึ่งในหลักฐานสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่าสังคมกำลังให้ความสนใจกับประเด็นที่เคยถูกมองว่าไกลตัว

 

ถึงในความรู้สึกของใครหลายคนโลกใบนี้อาจจะน่าอยู่น้อยลง แต่หากเลือกได้คนจำนวนไม่น้อยก็อยากที่จะอยู่ได้ยืนยาวขึ้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม จะเพื่อใช้เวลาอยู่กับคนที่เรารักให้นานขึ้น อยู่เพื่อทำภารกิจบางอย่างของชีวิต ไปจนถึงอยู่เพื่อสั่งสมความมั่งคั่งเพื่อตัวเองและลูกหลานในวันข้างหน้า

 

หรือบางคนอาจจะไม่ได้คิดอะไรไปไกลกว่าการมีสุขภาพที่ดี ยืนยาว แต่ไม่สร้างปัญหาและภาระให้กับตัวเองและคนรอบตัวในวันข้างหน้าเมื่อถึงเวลาใกล้ที่จะต้องจากโลกนี้ไป

 

สิ่งเหล่านี้นำไปสู่คำถามมากมายกับคำตอบหลากหลายที่มีการแลกเปลี่ยนระหว่างกันและกันถึงสิ่งที่มนุษย์ทำได้ในปัจจุบันเพื่อให้ชีวิตยืนยาว ตั้งแต่เรื่องพื้นฐานที่สุดอย่างการนอน ไปจนถึงเทคโนโลยีที่น่าสนใจ กับราคาที่ต้องจ่าย (หรูหราหรือภาระ?)

 

ไม่นับวิดีโอไลฟ์สไตล์จากเหล่าผู้มีอิทธิพลทางสังคมหรือ ‘อินฟลูเอ็นเซอร์’ (Influencer) ที่ผลัดกันขึ้นมาบนหน้าฟีดตามการแนะนำของสมองกลอัจฉริยะในแต่ละแพลตฟอร์ม ยิ่งทำให้เรื่องนี้ถูกผลักเข้ามาใกล้ตัวเรามากยิ่งขึ้น 

 

ความสนใจเหล่านี้ทำให้เกิดธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกระแส Longevity มากมาย ยกตัวอย่าง เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ, การเรียนรู้ตลอดชีวิต, เทคโนโลยีเพื่อการใช้ชีวิตอย่างยืนยาว, ธุรกิจสุขภาพและความงาม หรือการแพทย์

 

แต่ความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ เราเดินทางมาค่อนข้างไกลแล้ว

 

บทสนทนาลับระดับสูงสุด ระหว่าง สีจิ้นผิง และ วลาดิเมียร์ ปูติน

 

การรวมตัวของเหล่ายอดมนุษย์

 

ลองคิดกันเล่นๆว่าถ้าอยากจะมีอายุยืนยาว ไม่ต้องถึงหมื่นปีก็ได้แค่เพียง 150 ปี หรือขั้นต่ำที่สุดก็ขอให้มีสุขภาพที่แข็งแรงเพิ่มขึ้นอีก 20 ปี เราต้องลงทุนเท่าไร?

 

สำหรับผู้เขียนอาจจะเป็นการลงทุนกับนาฬิกาอัจฉริยะอย่าง Whoop ที่ช่วยบอกได้ว่าคุณภาพการนอนและสัญญาณชีวิตต่างๆนั้นเป็นอย่างไร ไปจนถึงการทำกิจกรรมที่เขาว่าช่วยได้อย่างการแช่น้ำแข็ง (Ice bath) และการจ่ายเงินเข้าฟิตเนส

 

แต่สำหรับเหล่าอัครมหาเศรษฐีของโลกแล้ว กลุ่มคนเหล่านี้ได้ลงทุนมากกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมาเพื่อค้นหาวิธีที่จะทำให้ชีวิตของพวกเขายืนยาวขึ้น ตามข้อมูลจาก Wall Street Journal

 

เจฟฟ์ เบโซส (Jeff Bezos), แซม อัลต์แมน (Sam Altman),​ ปีเตอร์ ธีล (Peter Thiel),​ ยูริ มิลเนอร์ (Yuri Milner) และ มาร์ค อันดรีสเซน (Marc Andreessen) เป็นกลุ่มนักธุรกิจที่ทุ่มเงินมหาศาลไปกับงบประมาณการลงทุนในอุตสาหกรรม Longevity โดยที่มีนักลงทุนจากทั่วโลกที่พร้อมให้การสนับสนุนด้วย

 

ธีล คือหนึ่งในคนที่ลงทุนมากที่สุดผ่านการจัดตั้งบริษัทมากกว่า 10 แห่ง ซึ่งได้รับการสนับสนุนผ่านกองทุนการลงทุนส่วนตัวของเขาและองค์กรการกุศลอื่นๆที่เขาให้การสนับสนุน โดยคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 700 ล้านดอลลาร์ 

 

ขณะที่อัลต์แมน อดีตผู้ก่อตั้ง OpenAI ปัจจุบันลุยเต็มตัวกับ Retro Biosciences สตาร์ทอัพด้าน Longevity และกำลังคิดค้นยาที่จะช่วยลดอายุสมองของเราให้อ่อนเยาว์ขึ้น และช่วยต่อต้านโรคอัลไซเมอร์ได้ ซึ่งเตรียมจะทดสอบกับมนุษย์จริงๆในช่วงปลายปีนี้

 

เรียกได้ว่าเหมือนการรวมตัวกันของเหล่ายอดมนุษย์ในภารกิจสำคัญ 

 

ไม่ใช่เพื่อกู้โลก แต่เพื่อให้เรามีเวลาบนโลกใบนี้มากขึ้น

 

หรือพูดให้ตรงกว่านั้น เพื่อให้พวกเขาอยู่ได้นานขึ้น

 

บทสนทนาลับระดับสูงสุด ระหว่าง สีจิ้นผิง และ วลาดิเมียร์ ปูติน

 

ยุคทองของ Longevity

 

ความจริงแล้วการค้นหาความลับของชีวิต ในการจะทำให้เป็นอมตะไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์พยายามที่จะค้นหามาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นตำนานจอกศักดิ์สิทธิ์ (Holy grail) ของชาวตะวันตก หรือตำนานชาวตะวันออก เช่น การพยายามตามหายาที่จะทำให้เป็นอมตะของจิ๋นซีฮ่องเต้

 

ในยุคปัจจุบันมนุษย์เองก็ยังคงตามหาสิ่งที่จะทำให้ชีวิตยืนยาวได้อยู่ แต่เป็นในรูปแบบที่ทันสมัยและเข้าใจกฎธรรมชาติมากขึ้น ด้วยการเปลี่ยนจากการอยู่จนชั่วฟ้าดินสลายกลายเป็นการอยู่นานๆได้ไหมแทน ผ่านการค้นคว้าทดลองทางวิทยาศาสตร์

 

การพยายามค้นหาคำตอบนี้อย่างจริงจังมีขึ้นมายาวนานเกิน 2 ทศวรรษ เนิ่นนานก่อนที่จะกลายเป็นกระแสในสังคมปัจจุบัน ซึ่งมีการทดลองวิจัยจำนวนมากที่นำมาสู่สิ่งต่างๆที่เป็นธุรกิจในเวลานี้ 

 

เพียงแต่ 3 สิ่งที่เป็นหัวหอกของการวิจัยเรื่อง Longevity ในเวลานี้ที่เหล่าบริษัทที่ได้รับการสนับสนุนจากมหาเศรษฐีและนักลงทุนแบ่งออกเป็น

 

  • ความพยายามในการย้อนกลับหรือเปลี่ยนแปลงอายุขัย
  • การพัฒนายาสำหรับการต้านโรคที่เกี่ยวกับอายุ
  • การขายผลิตภัณฑ์หรือบริการที่จะช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นและมีอายุขัยที่ยืนยาวขึ้น

 

โดยความท้าทายที่สุดคือการพยายาม ‘รีโปรแกรม’ (Reprogram) และการชุบชีวิตเซลล์ในร่างกายขึ้นใหม่ เปลี่ยนแปลงชีวิตจากส่วนที่เล็กเกือบที่สุดของร่างกาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ต่างอะไรจากการสร้างน้ำอมฤตอันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา ซึ่งหากทำสำเร็จจะสามารถเลือกได้ว่าอยากจะให้ชีวิตเดินไปข้างหน้าหรือเดินถอยหลังก็ได้

 

ตามข้อมูลจาก The Journal ผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในเรื่องนี้คือสตาร์ทอัพอย่าง Altos Labs แห่งซิลิคอนวัลลีย์ใต้การสนับสนุนของเจฟฟ์ เบโซส ที่ลงทุนไป 3 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ จากจำนวนเม็ดเงินลงทุนในตลาดรวม 5.1 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐขณะที่บริษัทอื่นๆก็พยายามจะระดมทุนเพื่อลุยด้านนี้ด้วยเช่นกัน

 

ไม่นับในส่วนของผู้เล่นรายย่อยในตลาดที่มีตั้งแต่ผู้ผลิตยา ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม อุปกรณ์ Wearable ล้ำสมัย และผู้ให้บริการด้านต่างๆ ไม่ใช่แค่ Longevity ด้านความงาม แต่เป็นด้านร่างกาย 

 

มูลค่าตลาดรวมของอุตสาหกรรม Longevity มีมูลค่าในปี 2024 ที่ 2.129 หมื่นเหรียญ และคาดว่าภายในปี 2035 มูลค่าจะเพิ่มขึ้นไปถึง 6.3 หมื่นล้านเหรียญ

 

ถ้าไม่เรียกว่ายุคทองก็ไม่รู้จะเรียกอะไรแล้ว

 

บทสนทนาลับระดับสูงสุด ระหว่าง สีจิ้นผิง และ วลาดิเมียร์ ปูติน

 

กำแพงที่มองไม่เห็น

 

อย่างไรก็ดี ในความเฟื่องฟูของอุตสาหกรรมอายุยืนยาว มีอย่างน้อยหนึ่งคนที่รู้สึกกังวลในการเติบโตนี้และพยายามทักท้วง ที่สำคัญคนที่ท้วงก็เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญระดับ ‘บิดา’ ของวงการอย่าง เลียวนาร์ด กัวเรนเต (Leonard Guarente) ผู้ที่เป็นหนึ่งในคนจุดกระแสเรื่อง Longevity ตั้งแต่เมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว

 

กัวเรนเต เป็นผู้ค้นพบความลับเกี่ยวกับยีนของมนุษย์ เป็นหนึ่งในบุคคลที่วางรากฐานเกี่ยวกับการศึกษาความลับของชีวิต และมีส่วนในการช่วยถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่นักวิทยาศาสตร์รุ่นต่อมาที่ปัจจุบันก้าวขึ้นมาเป็นเสาหลักของวงการ

 

แต่ในวันนี้นักวิทยาศาสตร์วัย 72 ปีรู้สึกว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการต่างๆ ที่นำเสนอแก่ผู้คนนั้น มันไม่ได้อิงอยู่บนผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นการเดินตามกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อที่จะทำรายได้ให้มากที่สุดมากกว่า

 

หรือพูดง่ายๆคือบางอย่างก็ ‘เกินความจริงไป’ และยังมีการถกเถียงกันเองของเหล่านักวิทยาศาสตร์ด้วยว่าของใครถูกใครผิด

 

“ในเรื่องของวัย แต่ละคนต่างก็มีทฤษฎีที่ตัวเองชื่นชอบ มันทำให้เกิดการถกเถียงเกี่ยวกับทฤษฎีที่ไม่ได้เป็นของตัวเอง” กัวเรนเต ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Elysium ที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ในการกระตุ้นการทำงานของเซอร์ทูอิน กลุ่มของโปรตีนที่มีหน้าที่ในการทำงานของเซลล์ในร่างกายและช่วยชะลออายุกล่าว

 

ขณะที่กลุ่มนักวิจัยจำนวนหนึ่งเชื่อว่าเวลานี้การศึกษาความลับของร่างกายมนุษย์เดินทางมาถึงจุดสูงสุดแล้ว 

 

กล่าวคือเราไม่สามารถจะก้าวไปได้ไกลกว่านี้อีกแล้ว

 

โดยในปีกลาย (2024) มีการตีพิมพ์ผลการศึกษาทาง Nature เกี่ยวกับการค้นคว้าวิจัยของมนุษย์ในช่วง 100 ปีนับจากปี 1900-2000 เฉพาะชาวสหรัฐอเมริกามีค่าเฉลี่ยอายุเพิ่มจาก 47 เป็น 77 ปี ซึ่งเป็นผลจากการค้นพบวัคซีน, ยาปฏิชีวนะ, ระบบสาธารณสุข และโภชนาการที่ดีขึ้น แต่ความก้าวหน้าในเรื่องเหล่านี้กลับเชื่องช้าลงอย่างมาก

 

ทีมผู้วิจัยยังระบุว่าอย่าว่าแต่การมีอายุยืนยาวถึง 150 ปีเลย แค่อายุยืนให้ครบ 100 ปีก็ยากแล้ว โดยแบบจำลองที่อ้างอิงจากข้อมูลที่เก็บรวบรวมมา 30 ปี ระบุว่าในสถานการณ์ที่ดีที่สุดจะมีผู้หญิงแค่ 15 เปอร์เซ็นต์  และผู้ชายอีก 5 เปอร์เซ็นต์ในวันนี้ที่จะมีอายุถึง 100 ปี 

 

อยู่อย่างดี

 

ขณะที่คนทั่วไปในสังคม คำว่า Longevity อาจไม่ได้มีเป้าหมายในเรื่องของอายุที่ยืนยาว แต่เป็นการอยู่อย่างดี สุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรค ซึ่งแน่นอนว่าถ้าทำได้ก็มีโอกาสที่จะมีชีวิตที่ยืนยาวอย่างแน่นอน

 

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจำเป็นที่จะต้องจ่ายเงินมากมายเพื่อให้ได้สิ่งเหล่านี้ ยกเว้นว่ามีกำลังจ่ายเพื่อให้ไปสู่ Longevity ในระดับที่ Advanced กว่าก็ตามสะดวก

 

สิ่งที่ง่ายที่สุดคือการใช้ชีวิตในแต่ละวันให้ดี ไม่ว่าจะเป็นการกินดี การนอนหลับพักผ่อนที่ดี และการออกกำลังกาย (ยกตัวอย่างง่ายๆ แค่การโหนบาร์ก็อาจช่วยให้มีอายุยืนขึ้นถึง 10 ปีแล้ว)

 

รวมถึงการดูแลจิตใจของตัวเองให้ดี มองหาความสุขเล็กๆให้พบในแต่ละวัน ดูแลคนใกล้ตัวให้ดี ยิ้มและหัวเราะ และพยายามใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย ถอดบทเรียนชีวิตจากเมื่อวาน วางแผนอนาคตสำหรับวันพรุ่งนี้ และอย่าลืมใช้ชีวิตให้ดีที่สุดในแต่ละวัน

 

บางทีการทำแค่นี้ก็อาจจะเพียงพอที่จะบอกว่า “เราได้ใช้ชีวิตกันอย่างดีแล้ว” 

 

ในช่วงเวลาเล็กๆที่เรายังมีเวลาอยู่บนโลกใบนี้


ภาพปก: Olga Rolenko / Getty Images

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising