20 ปีที่แล้วคนทั้งโลกต่างต้องการครอบครองสายรัดข้อมือที่ทำจากยางสีเหลือง ที่มีข้อความสั้นๆ พิมพ์อยู่บนสายรัดนั้นว่า ‘Livestrong’
สายรัดข้อมือนี้เป็นผลงานร่วมกันระหว่างมูลนิธิ Livestrong ที่ก่อตั้งโดย แลนซ์ อาร์มสตรอง สุดยอดนักปั่นจักรยานผู้สร้างตำนานพิชิตการแข่งขันตูร์ เดอ ฟรองซ์ ถึง 7 สมัย ทั้งๆ ที่เคยล้มป่วยหนักจากโรคมะเร็งอัณฑะ แต่กลับมาผงาดในวงการได้อย่างยิ่งใหญ่กับ Nike และบริษัทเอเจนซีโฆษณา Wieden+Kennedy
อาร์มสตรองในตอนนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่สุดยอดนักกีฬา หากแต่กลายเป็น ‘ไอคอน’ เป็นแรงบันดาลใจของโลกที่ผู้คนพร้อมจะเทิดทูนอย่างง่ายดาย โดยที่สายรัดข้อมือ Livestrong เป็นเครื่องมือในการระดมทุนเข้ามูลนิธิที่จะนำไปช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อไป
ก่อนที่เราจะได้รู้ความจริงในปี 2012 ว่าทุกคนโดนหลอก อาร์มสตรองไม่เคยชนะการแข่งขันอย่างบริสุทธิ์ แต่ชัยชนะทุกอย่างที่ได้มาเกิดจากการโกงด้วยการใช้สารกระตุ้นที่ทำให้แข็งแกร่งกว่าทุกคน
12 ปีผ่านมาจากวันที่ความจริงเปิดเผย วันนี้อดีตฮีโร่จอมลวงโลกมีชีวิตอยู่แบบไหน?
“ผมเปลี่ยนจากฮีโร่เป็นคนไร้ค่าในเวลาข้ามคืน” แลนซ์ อาร์มสตรอง ในวัย 52 ปี เปิดใจในรายการพอดคาสต์ The Great Unlearn
อดีตนักปั่นปอดเหล็กเล่าย้อนหลังกลับไปถึงในวันที่เขาออกมายอมรับทุกสิ่งทุกอย่างในรายการของ โอปราห์ วินฟรีย์ เมื่อปี 2013 ถึงวิธีที่เขาใช้สารกระตุ้น สารกระตุ้นประเภทต่างๆ ที่เขาใช้ รวมถึง Erythropoietin (EPO) ที่จะกระตุ้นให้เกิดการสร้างเม็ดเลือดแดง, ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน, ฮอร์โมนการเติบโตของมนุษย์ และการถ่ายเลือดแบบผิดกฎหมาย
สิ่งที่อาร์มสตรองทำนั้นทางด้านองค์กรต่อต้านการใช้สารต้องห้ามสหรัฐอเมริกา (USADA) ถึงกับระบุเลยว่า เป็น “การวางแผนใช้สารกระตุ้นอย่างแยบยล อย่างมืออาชีพที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด” ซึ่งเป็นคำด่า หรือบางทีก็ไม่แน่ใจว่าเป็นคำชมไหม
“มีคนมากมายที่ชื่นชมในสิ่งนี้ มีอีกหลายคนที่คิดว่ามันเป็นเรื่องขำขัน คนอีกจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าผมสมควรที่จะได้เจอสิ่งนี้แล้ว และอีกหลายคนคิดว่ามันดีแล้ว ส่วนตัวผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องน่าขัน แต่ผมคิดว่าผมก็สมควรที่จะต้องยอมรับมัน”
ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาต้องยอมรับในผลของการกระทำของตัวเอง
อาร์มสตรองเจอการฟ้องร้องมากมายจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะคนที่เคยเป็นผู้สนับสนุนที่เข้มแข็งของเขาที่ต้องทยอยเคลียร์เรื่องราวหน้าบัลลังก์ศาล เมื่อปี 2018 เขาเพิ่งยอมจ่ายเงินคืนแก่องค์กรไปรษณีย์สหรัฐฯ (US Postal) ที่จ่ายเงินสนับสนุนทีมเขามากมาย
สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อชีวิตของอาร์มสตรองอย่างยิ่ง และมันกำลังทำให้เขาเป็นโรค Post traumatic stress disorder (PTSD) ภาวะความผิดปกติทางจิตใจหลังเผชิญกับสิ่งที่กระทบกระเทือนสภาพจิตใจของผู้ป่วยอย่างรุนแรง
ผู้ที่ป่วยโรคนี้หลังเจอเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนสภาพจิตใจอย่างรุนแรง จะทำให้ไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้ หวนคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นซ้ำๆ มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ นอนไม่หลับ ซึ่งจะส่งผลวนกลับไปในเรื่องของสภาพจิตอีกทอด รวมถึงส่งผลให้มีอาการปวดหัวด้วย
โรคนี้เคยเป็นที่รู้จักในฐานะโรคของทหารที่ผ่านสงคราม เจอความสูญเสีย หรือสร้างความสูญเสียให้แก่ชีวิต แต่ในปัจจุบันมีคนที่ป่วยด้วยโรค PTSD ไม่น้อย ซึ่งกรณีของอาร์มสตรอง ปัญหาที่เขาต้องเผชิญโดยเฉพาะเรื่องของรายได้จากที่เคยมีมหาศาล แต่สุดท้ายกลายเป็นไม่เหลืออะไรเลย ทำให้คนที่เคยบอกคนอื่นว่า Livestrong ก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน
“โรคนี้ไม่ได้สงวนสำหรับทหาร และแน่นอนว่ามันก็ไม่ได้สงวนไว้สำหรับผมเหมือนกัน”
ตำนานนักปั่นจอมอื้อฉาวเปิดเผยว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขาจำเป็นต้องเข้ารับการบำบัดอย่างต่อเนื่อง
อันที่จริงหลังออกรายการของโอปราห์ วินฟรีย์แล้วเขาได้เข้ารับการบำบัดมาบ้าง การไปออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงก็ไม่สามารถช่วยให้เขาหลุดพ้นจากเรื่องนี้ได้ เพียงแต่มาตระหนักในภายหลังว่า เขาต้องการการบำบัดที่แตกต่างและลงลึกในรายละเอียด เพื่อที่จะช่วยให้สามารถเอาตัวรอดจาก PTSD ให้ได้
ปัจจุบันอาร์มสตรองบอกว่าเขาจะไปเข้ารับการบำบัดสัปดาห์ละ 5 วัน โดยเป็นการบำบัดตัวต่อตัววันละ 10 ชั่วโมง
เป็นช่วงเวลาที่เดียวดายที่สุดของคนที่เคยมีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของโลกที่ต้องต่อสู้ตามลำพัง
อย่างไรก็ดีเป็นที่สังเกตว่าอาร์มสตรองไม่ได้เปิดเผยว่าโรค PTSD ที่เขาบอกนั้นได้รับการวินิจฉัยจริงจากแพทย์หรือไม่ รวมถึงการบำบัดที่เดียวดายนั้นก็ยังไม่มีการเปิดเผยว่าเขาเข้ารับการบำบัดที่ใด
ดังนั้นเขาจะเป็น PTSD จริง หรือจะเป็นแค่เรื่องของการเรียกคะแนนสงสารในแบบเดิมๆ
มีเพียงเจ้าตัวที่รู้เพียงคนเดียว
เช่นกันกับความหมายที่แท้จริงของคำว่า ‘Livestrong’ ที่สุดท้ายก็อาจมีเพียงอาร์มสตรองคนเดียวเท่านั้นที่เข้าใจ
อ้างอิง:
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- แลนซ์ อาร์มสตรอง บอกว่าทุกวันนี้เขายังออกกำลังกายหนัก ทั้งว่ายน้ำและขี่จักรยาน
- นอกจากนี้ยังมีรายการพอดแคสต์ของตัวเองถึง 2 รายการคือ ‘THEMOVE’ ที่ว่าด้วยการแข่งจักรยานและรายการตูร์ เดอ ฟรองซ์ และอีกรายการคือ ‘The Forward’ ที่จะเชิญแขกพิเศษมาร่วมพูดคุยด้วยในแต่ละอีพี