“ผมคิดว่าอลิสซันไม่ได้เจ็บ, (เทรนต์) อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ก็ไม่เจ็บ, มาทิป ผมเชื่อว่าเขาน่าจะได้ลงเล่น, ฟาบินโญไม่ได้เจ็บ, (แอนดรูว์) โรเบิร์ตสันไม่ได้เจ็บ, (จอร์แดน) เฮนเดอร์สันไม่ได้เจ็บ, (จอร์จินโย) ไวจ์นาลดุมไม่เจ็บ, (โมฮาเหม็ด) ซาลาห์ไม่เจ็บ, (โรแบร์โต) เฟียร์มิโนไม่ได้เจ็บ, (ซาดิโอ) มาเนไม่ได้เจ็บ”
จากคำพูดในระหว่างการให้ตอบคำถามในการแถลงข่าวก่อนเกมพรีเมียร์ลีกนัดสำคัญในการไปเยือนลิเวอร์พูล จะทำให้เรารู้ว่า ณ เข็มนาฬิกาเดินไปเราได้ ‘The Special One’ โชเซ มูรินโญ กลับคืนมาแล้วจริงๆ
วาจาเชือดเฉือนที่มาพร้อมกับความคิดที่แหลมคม เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของกุนซือชาวโปรตุเกส ที่ก่อนหน้านี้ลดโทนความเข้มข้นลงมามากพอสมควรจนสังเกตได้ ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมูรินโญต้องเผชิญกับช่วงเวลาของความตกต่ำเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้าสู่วงการในฐานะผู้จัดการทีมเมื่อ 20 ปีที่แล้ว
จากการหมดสภาพเมื่อครั้งถูกเชลซีปลดออกจากตำแหน่ง มาถึงการโดนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตะเพิดพ้นจากตำแหน่งเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาอาจเป็นช่วงเวลาของการพักฟื้นสำหรับกุนซือผู้ที่บอกทุกคนเสมอว่าเขาคือคนที่พิเศษเหนือใคร
เป็นช่วงเวลาที่แฟนบอลไม่ว่าจะรักหรือชังเขามาก่อนได้เห็นตัวตนของมูรินโญด้านต่างๆ ในแบบที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น โดยเฉพาะในด้านของความอ่อนโยนที่ทำให้กลายเป็นขวัญใจคนใหม่ของใครอีกหลายคนได้อย่างง่ายดาย (แม้กระทั่งใน Instagram!)
อย่างไรก็ดี เมื่อถึงวันนี้ วันที่เขาสามารถเปลี่ยนแปลงสเปอร์สจากทีมที่หลงทางและใกล้ล่มสลาย ให้กลับมาเป็นทีมที่ยอดเยี่ยมแข็งแกร่งอีกครั้ง จนสามารถยึดตำแหน่งจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกมาครองได้ และเตรียมจะเปิดศึกสำคัญในการไปเยือนจ่าฝูงร่วมที่เป็นแชมป์เก่าอย่างลิเวอร์พูล
คำพูดของมูรินโญครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความเอาจริงเอาจังที่มาพร้อมกับความมั่นใจในตัวเองและในทีมของเขาอย่างเต็มเปี่ยม
มูรินโญและ ‘my Spurs’ ของเขา
เมื่อครั้งที่เข้ารับตำแหน่งคุมทีมสเปอร์สต่อจาก เมาริซิโอ โปเช็ตติโน ไม่มีใครคิดว่ามูรินโญจะพาทีมกลับมาจุดนี้ได้
สเปอร์สในวันนั้นเป็นทีมที่แตกร้าว โปเช็ตติโนเองพาทีมมาได้ไกลเท่าที่จะมาไหวแล้ว (รองแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก) ผู้เล่นหลายคนในทีมเดินทางมาถึงจุดสุดท้ายของการเล่นในลอนดอนไม่ว่าจะเป็น คริสเตียน เอริคเซน, โทบี อัลเดอร์ไวเรลด์, แยน แฟร์ธองเกน หรือแม้แต่ แฮร์รี เคน กัปตันทีมเอง ก็ดูเหมือนว่าอาจจะต้อง ‘ไปต่อ’ กับทีมที่ใหญ่กว่าแล้ว
ขณะที่ตัวของมูรินโญเองก็หมดสภาพเช่นกัน เขาถูกปลดจากตำแหน่งในโอลด์แทรฟฟอร์ด และว่างงานมาเกือบ 1 ปีโดยที่ไม่มีสโมสรใหญ่ทีมไหนที่สนใจจะดึงตัวเขาไปคุมทีม และการตอบรับคำเชิญของสโมสรที่ไม่เคยถูกจัดอยู่ในระดับสูงสุด ไม่ว่าจะในอังกฤษหรือในยุโรปอย่างสเปอร์ส ถูกมองว่าเป็นการถอยหลังลงคลอง
ผลงานของทีมที่กระท่อนกระแท่นตลอดฤดูกาลที่แล้วก็ยิ่งชวนให้รู้สึกว่าบางที The Special One คนเดิมนั้นคงจะตายจากวงการฟุตบอลไปแล้ว
แต่โดยที่เราไม่รู้ตัว มูรินโญค่อยๆ ประกอบร่างสเปอร์สขึ้นมาใหม่อย่างช้าๆ
ตัวปัญหาของทีมอย่างเอริคเซนถูกปล่อยออกไปคนแรก จากนั้นคือแฟร์ธองเกนในช่วงสิ้นสุดฤดูกาล ช่วยให้บรรยากาศภายในทีมนิ่งขึ้น จากนั้นคือการพยายามซื้อใจลูกทีมด้วยการใช้ใจเพื่อแลกกับใจ
มูรินโญ ซึ่งดูเป็นคนที่นิ่งและนุ่มนวล ผ่อนคลายและมีความสุขกับการทำงานมากกว่าเมื่อครั้งอยู่กับเชลซีและแมนฯ ยูไนเต็ด ค่อยๆ สำรวจทั้งขุมกำลังของทีมและจิตใจของลูกทีมทีละคน เพื่อดูว่าใครควรจะปรับหรือแก้ในจุดไหนบ้าง
หนึ่งในกรณีตัวอย่างที่ดีมากๆ คือ ต็องกีย์ เอ็นดอมเบเล เคยถูกตัดออกจากทีมเพราะเล่นได้เลวร้ายและมีทัศนคติที่แย่ ซึ่งหากเป็นปกติคงจะหมดอนาคตไปแล้ว แต่มูรินโญใช้เวลาในช่วงการล็อกดาวน์มีการนัดออกมาติวเข้มกันในสวนจนเป็นข่าวเป็นคราวใหญ่โต (เพราะผิดต่อมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม)
และแม้จะใช้เวลาในการ ‘ขุด’ บ้าง แต่เมื่อถึงเวลาที่นักเตะดีขึ้นแล้ว มูรินโญก็ให้โอกาสในการลงเล่น จนสุดท้ายสามารถแทรกตัวเข้ามาเป็นตัวหลักของทีมได้อีกครั้ง
ด้านเกมรับที่เคยเป็นจุดอ่อนก็ถูกแก้ไขได้อย่างถูกจุดด้วยการดึง ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบียร์จ มิดฟิลด์ตัวรับทีมชาตินอร์เวย์มาจากเซาแธมป์ตัน ซึ่งกลายเป็นคนที่ขันชะเนาะเกมรับของสเปอร์สให้กลับมาแน่นได้อย่างเหลือเชื่อ
ความครบเครื่องของฮอยเบียร์จ เมื่อรวมกับเพื่อนๆในทีมที่ค่อยๆ เรียกฟอร์มเก่งกลับมาได้ภายใต้การนำของมูรินโญ ไม่ว่าจะเป็น มุสซา ซิสโซโก, เอริค ไดเออร์ (ที่เป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟระดับท็อปไปแล้วในตอนนี้) หรือแม้แต่แบ็กขวาที่เคยหมดสภาพไปแล้วอย่าง แซร์จ โอริเยร์ เป็นรากฐานสำคัญให้สเปอร์สทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ
และแน่นอนว่าจะไม่พูดถึง แฮร์รี เคน และ ซนฮึงมิน ที่ถูกขยับปรับบทบาทใหม่จนไฉไลกว่าเก่าไม่ได้
จากเดิมที่เคนยืนเป็นศูนย์หน้าตัวเป้ารอรับบอลจากเพื่อน มูรินโญมองเห็นศักยภาพของการเป็นเพลย์เมกเกอร์ที่เด่นชัด โดยเฉพาะการออกบอลที่คมกริบราวใบมีดโกน จึงปรับบทใหม่ให้เล่นตัวทำเกมแทน โดยถอยลงมาต่ำกว่าเดิมเพื่อเชื่อมเกมรุกและออกบอลให้เพื่อนแทน
ในเวลาเดียวกันกุนซือชาวโปรตุเกสปรับบทของปีกชาวเกาหลีใต้ จากคนคอยสร้างโอกาสในเกม ให้กลายเป็นกองหน้าที่คอยฉกฉวยจังหวะทะลุทะลวงเกมรับคู่แข่งโดยฉับพลันโดยอาศัยความเร็ว ความแข็งแกร่ง และความเฉียบคมในการจบสกอร์ของหนุ่มซน
ผลลัพธ์ที่ได้คือ ทั้งคู่ทำประตูรวมกันไปแล้ว 19 ประตูในพรีเมียร์ลีก โดยซนทำไป 10 ประตู ส่วนเคนทำไป 9 ประตู และเคนยังทำแอสซิสต์ให้เพื่อนได้อีกถึง 10 ลูกด้วยกัน (มากกว่า เควิน เดอ บรอยน์ อันดับ 2 ถึง 4 ครั้ง!) จากการเล่นเพียงแค่ 12 นัด
ทั้งสองคนยังประสานงานกันเองถึง 12 ประตู จนเรียกได้ว่ากลายเป็นคู่หูมหาประลัยติดทำเนียบประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกไปแล้ว
เรียกได้ว่าสเปอร์สในเวลานี้แม้จะเป็นมรดกตกทอดจากยุคของโปเช็ตติโนเกือบทั้งหมด (มีนักเตะใหม่แค่ฮอยเบียร์จ, คาร์ลอส วินิเชียส กองหน้าตัวสำรอง และ แกเร็ธ เบล ที่ยืมตัวกลับมา แต่ยังเรียกฟอร์มเก่งกลับมาไม่ได้) แต่ทีมชุดนี้เป็นทีมในแบบของมูรินโญโดยสมบูรณ์
เป็นไก่เดือยทองแบบ Special ด้วยสไตล์แบบมูรินโญแท้ๆ รับเหนียวแน่น สวนตูมเดียว เน้นผลมากกว่าความสวยงาม พร้อมท้าชนใครก็ได้ในพรีเมียร์ลีกเวลานี้
รวมถึงแชมป์เก่าอย่างลิเวอร์พูลที่มูรินโญหมายมั่นปั้นมือว่าจะเป็นการประกาศศักดาของพวกเขาต่อเป้าหมายในฤดูกาลนี้ เพราะแม้จะไม่ใช่เป้าหมายหลักในตอนแรก แต่เมื่อสถานการณ์นำพา ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่จะปล่อยทิ้งขว้าง
และอย่าลืมว่าคนที่ทำให้ The Special One ตกงานรอบที่แล้วก็คือ The Normal One เจอร์เกน คล็อปป์ คนที่ก้าวขึ้นมาแทนที่เขา กลายเป็นโค้ชเบอร์หนึ่งของโลกในยุคปัจจุบัน
ชัยชนะที่แอนฟิลด์จึงมีความหมายอย่างยิ่ง
ลิเวอร์พูลกับโจทย์หินไม่สิ้นสุด
ถึงแม้มูรินโญจะชี้ให้เห็นว่าจริงๆ แล้วปัญหาอาการบาดเจ็บของลิเวอร์พูลนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไร เพราะทุกทีมก็มีปัญหาแบบนี้เหมือนกัน
แต่ในมุมมองของคล็อปป์ รวมถึงเดอะ ค็อปแล้ว คงจะรู้สึกไปในทิศทางนั้นไม่ได้
เพราะลิเวอร์พูลไม่ได้สูญเสียแค่ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ที่เป็นเสาหลักแค่ต้นเดียว แต่ยังรวมถึงการเสีย โจ โกเมซ อีกหนึ่งกองหลังคนสำคัญของทีม โดยทั้งคู่บาดเจ็บหนัก ไม่มีใครรู้ว่าจะสามารถกลับมาลงสนามได้เมื่อใด
ทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์ยังขาด ติอาโก อัลกันตารา ยอดมิดฟิลด์จอมทัพ ที่สร้างความฮือฮาอย่างมากเมื่อได้โอกาสในการลงสนาม แต่เดอะ ค็อป ก็ได้เห็นเขาแค่ 2 นัดเท่านั้น โดยนอกจากจะติดโควิด-19 หลังประเดิมสนามนัดแรกกับเชลซี เมื่อกลับมาเล่นในเกมกับเอฟเวอร์ตัน ก็ได้รับบาดเจ็บยาวจนหายไปร่วม 3 เดือน และเป็นอีกคนที่ไม่รู้จะกลับมาตอนไหน
รวมถึงยังมีผู้เล่นระดับชุดใหญ่ที่บาดเจ็บเบี้ยบ้ายรายทางมาตลอดไม่ว่าจะเป็น โจเอล มาทิป, ฟาบินโญ, เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, อลิสซัน, นาบี เกอิตา และล่าสุดคือ ดีโอโก โชตา กองหน้าคนใหม่ผู้ร้อนแรงที่เจ็บเข่าต้องพักการเล่นอีก 6-8 สัปดาห์
ดังนั้นแม้ว่าสถานการณ์ ณ ปัจจุบันนักเตะหลายคนจะเริ่มทยอยกลับมา ซึ่งรวมถึง อเล็กซ์ อ๊อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ที่เจ็บยาวมาตั้งแต่พรีซีซันก็กลับมาทดแทนการขาดหายของโชตาได้พอดี แต่แทบทุกนัดลิเวอร์พูลจะมีโจทย์ใหม่ที่เข้ามาท้าทายความสามารถของคล็อปป์และลูกทีมเสมอ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระบบการเล่น สไตล์ แผน รูปแบบการเล่นที่จะมีการปรับรายละเอียดมากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ผู้เล่นที่มีจะเอื้ออำนวยแค่ไหน สถานการณ์เป็นใจหรือไม่ และคู่แข่งคือใคร
สิ่งเหล่านี้นับเป็นความท้าทายสำหรับทีมที่มีจุดยืนชัดเจนในเรื่องของการสู้เพื่อกันและกันอย่างมาก เพราะการขาดหายของผู้เล่นคนสำคัญนั้นหมายถึงงานที่ยากขึ้น เหนื่อยขึ้น และต้องใช้กำลังกายกำลังใจในการต่อสู้มากยิ่งขึ้น
นับตั้งแต่เกมที่พ่ายย่อยยับต่อแอสตัน วิลลา 2-7 ที่วิลลา ปาร์ก 8 นัดหลังสุด พวกเขาเก็บชัยชนะได้แค่ 4 นัด และอีก 4 นัด จบลงด้วยการเสมอ
ในจำนวนนี้มีเกมที่น่าผิดหวัง เช่น การโดนไบรท์ตันไล่ตามตีเสมอในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ และการต้องไล่ตีเสมอฟูแลมแบบออกแรงเยอะจนแทบรากเลือด
เกมกับสเปอร์สก็นับเป็นความท้าทายเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคำถามที่หลายคนอยากรู้ว่าแนวรับที่ดูมีปัญหายามต้องเจอกับทีมที่มีเกมรุกรวดเร็วและดุดัน ซึ่งทีมของมูรินโญในเวลานี้ก็เล่นเช่นนั้น พวกเขาจะหาทางรับมือได้หรือไม่ และรับมือได้ดีแค่ไหน
ไม่นับเรื่องโอกาสที่จะคว้าชัยชนะเพื่อส่งดวงวิญญาณ เชราร์ อุลลิเยร์ อดีตนายใหญ่ผู้ล่วงลับ ชัยชนะเหนือสเปอร์สก็นับว่ามีความสำคัญต่อโอกาสในการป้องกันแชมป์ของพวกเขา
ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ในฤดูกาลที่แล้วคือ การที่สามารถฉีกหนีแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้เร็วตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน และไม่ยอมผ่อนฝีเท้าลงแม้แต่นิดเดียว
ผลการแข่งที่แอนฟิลด์คืนนี้ หากคว้าชัยชนะได้ นอกจากจะเป็นการแซงหน้าขึ้นไปก็ยังเป็นการตัดโอกาสของคู่แข่งในเวลาเดียวกัน ในระหว่างที่คู่แข่งทีมอื่นอย่างเชลซีหรือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยังผลัดกันสะดุด
ดังนั้นแม้จะเป็นเพียงแค่นัดที่ 13 แต่ความสำคัญนั้นสูง
ทั้งในแง่ของผลการแข่งขัน และในแง่ของความหมายอื่นที่ซ่อนอยู่ในนั้น
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
- สถิติการพบกันในพรีเมียร์ลีกของทั้งสองคน คล็อปป์กุมชัยชนะได้มากกว่า 3 ครั้ง เสมออีก 3 ส่วนมูรินโญชนะแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
- คู่หู แฮร์รี เคน และ ซนฮึงมิน ทำผลงานได้ร้อนแรงอย่างมาก โดยยิงรวมกัน 19 ประตูในฤดูกาลนี้ ทำแอสซิสต์อีก 14 ครั้ง และระหว่างทั้งสองคนยังช่วยกันทำประตู (ยิง-จ่าย) รวมกันได้ถึง 12 ประตูแล้ว จาก 12 นัด
- เกมแรกที่คล็อปป์คุมทีมก็เป็นเกมที่ลิเวอร์พูลพบกับสเปอร์สเมื่อเดือนตุลาคมปี 2015