ระหว่างลิเวอร์พูลกับเชลซี พวกเขาไม่เคยเป็นคู่แข่งที่ขัดแย้งกันอย่างแท้จริงในแบบ Rivalry แม้ว่าจะเคยมีช่วงเวลาที่คล้ายจะไม่ถูกกันบ้างระหว่างสองสโมสรก็ตาม
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า การพบและเผชิญหน้ากันระหว่างสองทีมในบิ๊กแมตช์พรีเมียร์ลีกสุดสัปดาห์นี้จะไม่มีอะไรให้พูดถึงเลย ในทางตรงกันข้าม เกมที่แอนฟิลด์ในวันอาทิตย์นี้ถูกมองว่าเป็น ‘บททดสอบที่แท้จริง’ ของสองทีมที่เริ่มต้นยุคสมัยใหม่ได้ค่อนข้างสวยงาม
ฟุตบอลคอนโทรลในแบบของ อาร์เน สลอต กับฟุตบอลสายฟ้าฟาดในแบบของ เอ็นโซ มาเรสกา
มีคำถามใหญ่ๆ 3 ข้อที่อยากชวนจับตามองไปด้วยกัน
1. บททดสอบของจริงครั้งแรกของ Slotball
อาร์เน สลอต เริ่มต้นงานในฐานะนายใหญ่คนใหม่ของลิเวอร์พูลได้เหมือนฝัน ด้วยผลงานการชนะ 6 จาก 7 นัด ได้เป็นจ่าฝูงพรีเมียร์ลีก
แต่กุนซือชาวดัตช์เองก็ยอมรับว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะโปรแกรมการแข่งขันค่อนข้างเป็นใจด้วย และบททดสอบที่แท้จริงสำหรับเขาและทีมจะเริ่มตั้งแต่สุดสัปดาห์นี้เป็นต้นไปกับเชลซีที่แอนฟิลด์ ซึ่งต่อจากนี้ยังมีแอร์เบ ไลป์ซิก (แชมเปียนส์ลีก), อาร์เซนอล (พรีเมียร์ลีก), ไบรท์ตัน (ลีกคัพและพรีเมียร์ลีก 2 เกมติด), ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน (แชมเปียนส์ลีก) และแอสตัน วิลลา (พรีเมียร์ลีก) ในรอบเดือนนี้ ก่อนจะเข้าช่วงพักเบรกทีมชาติอีกครั้ง
ดังนั้นการรับมือทีมของ เอ็นโซ มาเรสกา สามารถมองได้ว่าเป็นบททดสอบใหญ่แรกของฤดูกาลเลยก็ว่าได้
ที่ผ่านมาฟุตบอลของสลอต หรือที่เรียกกันในหมู่แฟนๆ ว่า ‘Slotball’ ถือว่าน่าประทับใจ ด้วยฟุตบอลคอนโทรลไม่วู่วาม พร้อมจะเล่นอย่างอดทนเพื่อรอคู่แข่งเปิดช่องให้จู่โจม รวมถึงการเพรสซิ่งหนักที่ทรงประสิทธิภาพ จนทำให้คู่แข่งต้องเสียบอลในแดนตัวเอง
เรียกว่าเป็นสไตล์ที่แตกต่างจากยุคของ เจอร์เกน คล็อปป์ มากพอสมควร แม้ว่าโดยพื้นฐานจะมีส่วนที่คล้ายกันก็ตาม
อย่างไรก็ดี จุดที่มีการมองว่าเป็นจุดอ่อนที่น่ากังวลคือ เรื่องปัญหาเกมรับเมื่อต้องเผชิญหน้ากับทีมที่แก้ไขการเพรสซิ่งได้ดี และสามารถจู่โจมแนวรับของลิเวอร์พูลได้ด้วยการเล่นที่รวดเร็ว ซึ่งมีหลายเกมที่พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก และถึงขั้นเสียท่าน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ซึ่งเป็นเกมแรกและเกมเดียวที่แพ้ในฤดูกาลนี้มาแล้ว
และนั่นดันเป็นของเชลซีในยุคของ เอ็นโซ มาเรสกา เสียด้วย
เชลซีในฤดูกาลนี้กลายเป็นทีมที่เล่นได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจมากที่สุด ด้วยความอันตรายของแนวรุกที่นำมาโดย นิโคลัส แจ็คสัน ศูนย์หน้าที่กลับมาเข้าฝักในเวลานี้ และ โคล พาลเมอร์ นักเตะอัจฉริยะที่เริ่มเป็นที่ยอมรับกันว่าเก่งที่สุดในพรีเมียร์ลีกเวลานี้
นอกจากนี้เชลซียังมีตัวรุกที่จัดจ้านอย่าง โนนี มาดูเอเก, จาดอน ซานโช รวมถึง คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู ที่พร้อมใช้งานทุกคน
ที่สำคัญคือเชลซีเป็นทีมที่เล่นโต้กลับเร็ว (Fast Breaks) เยอะที่สุดในพรีเมียร์ลีกด้วยถึง 14 ครั้ง โดยที่มีโอกาสในการจบสกอร์ได้ถึง 11 ครั้ง
ดังนั้นนี่คือบททดสอบใหญ่ครั้งแรกสำหรับลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้ และในทางกลับกัน ก็เป็นการทดสอบของเชลซีด้วยว่าพวกเขามีศักยภาพเพียงพอสำหรับการโค่นทีมระดับท็อปของลีกจริงๆ หรือยัง
2. กราเฟนแบร์ก vs. พาลเมอร์
สำหรับนักเตะที่ถูกจับตามองมากที่สุดในเกมนี้ย่อมหนีไม่พ้น ไรอัน กราเฟนแบร์ก กับ โคล พาลเมอร์
กราเฟนแบร์กคือนักเตะที่โดดเด่นที่สุดของลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้ ซึ่งถือเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ของ อาร์เน สลอต ที่ตัดสินใจให้โอกาสกองกลางชาวดัตช์ได้ทดลองในบท ‘No.6’ หรือกองกลางตัวรับคู่ในแบบ Double Pivot หลังจากพลาดการได้ตัว มาร์ติน ซูบิเมนดี กองกลางทีมชาติสเปนมาจากเรอัล โซเซียดาด ในช่วงปิดฤดูกาล
โดยสไตล์แล้วกราเฟนแบร์กแตกต่างจากซูบิเมนดีที่เป็นกองกลางสายจ่ายบอล ซึ่งจะคอยแจกจ่ายบอลเพื่อขับเคลื่อนทีม เพราะเป็นกองกลางในสไตล์จอมพลิ้วไหวที่มีทักษะการรับบอลและครองบอลที่ดีเยี่ยม แต่สิ่งที่เยี่ยมเกินคาดคือความสามารถในการอ่านเกม ที่ทำให้ไม่เพียงจะช่วยเกมรับได้ดี แต่ยังสามารถขับเคลื่อนทีมด้วยการพาบอลทะลุทะลวงไปด้วยตัวเองได้อีกต่างหาก
อย่างไรก็ดี เกมนี้ดาวเตะชาวดัตช์จะต้องเจอกับนักเตะที่ไม่ธรรมดาอย่างพาลเมอร์
นับตั้งแต่ที่ย้ายมาจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ พาลเมอร์แจ้งเกิดในฐานะนักเตะดาวรุ่งพรสวรรค์ได้อย่างรวดเร็ว แต่ในฤดูกาลนี้ สตาร์วัย 22 ปียกระดับการเล่นของตัวเองขึ้นไปอีกขั้น หลังจากที่มาเรสกาปรับตำแหน่งการเล่นให้ใหม่
จากที่ประจำการทางฝั่งขวา นายใหญ่ชาวอิตาลีขอปรับมาเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรุกอยู่ด้านหลังกองหน้าอย่าง นิโคลัส แจ็คสัน ที่เป็นเหมือนการปลดปล่อยพรสวรรค์ของพาลเมอร์ออกมาเต็มๆ เพราะนอกจากจะสามารถสร้างสรรค์เกมด้วยตัวเองได้แล้ว ยังหาพื้นที่และโอกาสในการทำประตูได้มากขึ้นด้วย
ฟอร์มของพาลเมอร์เวลานี้ใกล้เคียงกับคำว่า Unplayable หรือไม่รู้จะเล่นด้วยอย่างไร ไม่รู้จะหาทางหยุดอย่างไร
กราเฟนแบร์กอาจจะไม่ใช่กองกลางสายตัวรับธรรมชาติ (และงานบู๊ส่วนใหญ่จะอยู่กับ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ คู่หูในแดนกลาง) แต่การอ่านสถานการณ์ของเขาจะสำคัญต่อการหาทางหยุดพาลเมอร์แน่นอน
3. ความทนทานของแผงหลังเชลซี
เพราะฟุตบอลไม่ได้มีแค่เกมรุก เกมรับเองก็มีความสำคัญเช่นกัน และนั่นคือปัญหากับความท้าทายของแนวรับเชลซี
การขาดทั้ง เวสลีย์ โฟฟานา และ มาร์ก กูกูเรยา สองกองหลังตัวจริงที่ติดโทษแบนพร้อมกันในเกมนี้ เนื่องจากโดนใบเหลืองครบ 5 ใบ (ตั้งแต่ต้นฤดูกาล!) เป็นเรื่องที่เสียหายอย่างมากสำหรับทีมของมาเรสกา
นั่นเพราะเชลซีไม่ได้เป็นทีมเดียวที่มีเกมรุกน่ากลัว ลิเวอร์พูลก็มีเกมรุกที่เป็น ‘พายุสีแดง’ เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น โม ซาลาห์, ดีโอโก โชตา และ หลุยส์ ดิอาซ ที่น่ากลัวทุกตัว ซึ่งน่าสนใจอย่างยิ่งว่าตัวสำรองอย่าง เรนาโต เวกา และ อักเซิล ดิซาซี ที่คาดว่าจะได้ลงสนามแทน จะสามารถช่วย ลีวาย โคลวิลล์ และ มาโล กุสโต ผนึกกำลังกันหยุดแดนหน้าของลิเวอร์พูลได้หรือไม่
โดยเฉพาะเวกา ซึ่งได้รับการชมเชยว่าเป็นดาวรุ่งฝีเท้าดีแบบเซอร์ไพรส์ ซึ่งหากได้โอกาสลงสนามจะต้องเจอกับตัวโหดอย่างซาลาห์ ที่อาจมองเป็นเกมทดสอบความสามารถได้เลยทีเดียว แต่ก็เป็นไปได้ที่มาเรสกาอาจจะเลือกโคลวิลล์ไปประจำการแทนได้เช่นกัน
แต่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เกมนี้หนักแน่นอนสำหรับแนวรับเชลซี ที่หากประมาทแค่เสี้ยววินาที อาจต้องจ่ายค่าความผิดพลาดในราคาแพงได้เลย
และทั้งหมดนี้คือ 3 จุดใหญ่ที่น่าจับตามอง โดยอาจจะมีรายละเอียดอื่นๆ เช่น การขาด อลิสสัน เบ็คเกอร์ ประตูมือหนึ่งของลิเวอร์พูล ทำให้เป็นงานของ ควีวิน เคลเลเฮอร์ มือสองที่ต้องแบกรับภาระแทนก่อนอีกครั้ง รวมถึงการลงสนามหลังโปรแกรมทีมชาติ ที่อาจส่งผลต่อจังหวะการเล่น (Rythm) ของทั้งสองทีมได้
คำถามสุดท้ายสำหรับทุกคน คิดว่าใครจะชนะในเกมนี้กัน?
อ้างอิง:
- https://www.premierleague.com/news/4149437
- https://www.premierleague.com/news/4149580
- https://www.flashscore.com/news/soccer-premier-league-liverpool-face-chelsea-title-test-while-ten-hag-fights-to-avoid-sack/Qcy6QaeM/
- https://www.sportsmole.co.uk/football/chelsea/predicted-lineups/who-will-replace-fofana-cucurella-chelsea-predicted-xi-against-liverpool_555763.html