กลางดึกของคืนวันพุธที่ผ่านมามีข่าวดีสำหรับแฟนลิเวอร์พูลทุกคนเมื่อมีรายงานข่าวพร้อมกันจากทุกสำนักใหญ่ (และอินฟลูเอนเซอร์ด้านการย้ายทีม) ระบุว่า โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ รวมถึง เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ใกล้บรรลุข้อตกลงสัญญาฉบับใหม่ โดยคาดว่าทั้งคู่จะเซ็นสัญญาฉบับใหม่ที่มีระยะเวลา 2 ปีในเร็วๆ นี้
หากเรื่องนี้เป็นความจริงก็จะเป็นการปิดฉากมหากาพย์การเจรจาต่อสัญญาฉบับใหม่ที่ยืดเยื้อมายาวนานตั้งแต่ต้นฤดูกาลลงด้วยดี และถือเป็นข่าวเชิงบวกที่เชื่อว่าจะส่งอิทธิพลต่อความรู้สึกและบรรยากาศภายในทีมรวมถึงแฟนฟุตบอล หลังเผชิญความสั่นคลอนทางความรู้สึกจากความพ่ายแพ้ต่อฟูแลมเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาจนกระทบเล็กน้อยต่อโอกาสในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้
อย่างไรก็ดีในข่าวดีที่เกิดขึ้น คำถามที่น่าสนใจคือการที่ลิเวอร์พูลตัดสินใจ “ไปกันต่อ” กับซาลาห์ในวัย 32 ปีและฟาน ไดจ์ค ในวัย 34 ปี ซึ่งเป็น 2 ผู้เล่นที่ฟอร์มการเล่นเริ่มดรอปลงอย่างน่าใจหายในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมานั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วใช่หรือไม่
มันเป็นการตัดสินใจที่ใช้เหตุผลหรือความรู้สึกมากกว่ากัน?
ข่าวเรื่องสัญญาฉบับใหม่ของซาลาห์และฟาน ไดจ์ค ถูกรายงานในช่วงกลางดึกของคืนวันพุธที่ผ่านมาโดยสำนักข่าวใหญ่ระดับคุณภาพอย่าง The Times และ The Athletic รวมถึง ฟาบริซิโอ โรโมาโน ผู้สื่อข่าวคนดังที่เป็นหมายเลขหนึ่งของด้านข่าวการย้ายทีมรายงานไปในทิศทางเดียวกัน
โม ซาลาห์ เตรียมจะต่อสัญญาฉบับใหม่กับลิเวอร์พูล (เสียที) ภายหลังพูดคุยเรื่องนี้มายาวนานหลายเดือน ซึ่งขณะนี้กระบวนการเจรจาเข้าสู่ช่วงสุดท้ายแล้ว เหลือเพียงรายละเอียดปลีกย่อยอีกเพียงเล็กน้อยที่หากพูดคุยกันจบก็พร้อมจะเซ็นสัญญาฉบับใหม่ทันที
ในรายละเอียดที่สำคัญของสัญญาฉบับนี้อยู่ที่ซาลาห์จะได้รับค่าตอบแทนในจำนวนเท่าเดิม ที่คาดว่าเบื้องต้นอยู่ที่ราว 400,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ขณะที่ระยะเวลาในสัญญานั้นได้ตามที่ต้องการคือ 2 ปี แม้ว่าลิเวอร์พูลปกติแล้วจะให้สัญญากับผู้เล่นอายุเกิน 30 ปีแค่ปีต่อปี (เช่นรายของเจมส์ มิลเนอร์ ในอดีต) ก็ตาม
ข่าวนี้ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่ดีอย่างยิ่งสำหรับลิเวอร์พูล เนื่องจากซาลาห์ได้พิสูจน์ฝีเท้าให้เห็นตลอดฤดูกาลที่ผ่านมาด้วยผลงานการมีส่วนร่วมกับประตูมากถึง 54 ประตู (32 ประตู 22 แอสซิสต์) ในทุกรายการ ซึ่งเป็นผลงานที่นอกจากจะได้ลุ้นรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ ก็มีโอกาสที่จะได้รับการเสนอชื่อเพื่อชิงรางวัลบัลลงดอร์ด้วย
ก่อนหน้านี้การเจรจาสัญญาของ “The Egyptian King” กับลิเวอร์พูลเป็นไปอย่างล่าช้าและมีความคืบหน้าน้อยมาก โดยซาลาห์ได้แสดงออกถึงความไม่พอใจผ่านการให้สัมภาษณ์หลายต่อหลายครั้งที่มักจะเปิดเผยว่าไม่มีความคืบหน้าใดๆ จากลิเวอร์พูล หรือไม่มีสัญญาของสัญญาณจากสโมสร
“ผมน่าจะไปมากกว่าอยู่” ซาลาห์เคยกล่าวเอาไว้
แต่ในเบื้องหลังของการเจรจาแล้วการพูดคุยระหว่างสองฝ่าย อันได้แก่ รามี อับบาส เอเจนต์ผู้เป็นตัวแทนในการเจรจาสัญญาต่างๆ ให้กับซาลาห์ กับ ริชาร์ด ฮิวจ์ส ผู้อำนวยการสโมสรของลิเวอร์พูล ถือว่าดำเนินอย่างค่อยเป็นค่อยไปต่างจาก “หน้าฉาก”
สิ่งที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไม่ได้ก่อนหน้านี้คือความต้องการที่ไม่ตรงกัน
ในขณะที่อับบาสต้องการเจรจาให้ซาลาห์ได้ค่าตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อให้สมฐานะของผู้เล่นที่ดีที่สุดของพรีเมียร์ลีกรวมถึงต้องการระยะเวลาในสัญญาอย่างน้อย 2-3 ปี เพื่อความมั่นคง
ทางฝ่ายของฮิวจ์สที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งในฤดูกาลนี้ก็ต้องรักษาประโยชน์ของสโมสรและบริหารจัดการทรัพยากรทุกอย่างที่รวมถึงงบประมาณด้วย ซึ่งการจะต่อสัญญาฉบับใหม่ให้ผู้เล่นที่อายุ 32 ปีกำลังจะครบ 33 ปีในเร็วๆ นี้อย่างซาลาห์ จะให้ทุกอย่างตามที่ต้องการทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
โดยกรณีนี้ยังรวมถึงฟาน ไดจ์ค ที่อยู่ในเงื่อนไขการเจรจาแบบเดียวกันด้วย เพราะกัปตันทีมชาวเนเธอร์แลนด์อายุ 33 ปีในปัจจุบันและกำลังจะอายุครบ 34 ปีในปีนี้
แต่ถึงจุดยืนของสองฝ่ายจะแตกต่างกันมาโดยตลอด ทั้งสองฝ่ายต่างมีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้ และนั่นทำให้การเจรจาหลังฉากดำเนินต่อเนื่องเรื่อยมาโดยไม่มีข่าวคราวว่าซาลาห์หรือฟาน ไดจ์ค จะไปเจรจากับสโมสรไหน แม้ว่าตามกฎบอสแมนแล้วพวกเขาจะสามารถเจรจาย้ายทีมได้อย่างอิสระตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา มากที่สุดก็มีเพียงกระแสข่าวลือที่เชื่อมโยงกันเท่านั้น
แตกต่างจากกรณีของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ สายเลือดแท้ของสโมสรที่แม้จะยังไม่มีการยืนยันหรือยอมรับ แต่เป็นที่เชื่อกันว่าแบ็กขวาวัย 26 ปีต้องการความท้าทายใหม่ด้วยการย้ายไปเรอัล มาดริดในสเปนทำให้ไม่มีความคืบหน้าหรือสัญญาณใดๆ ในเชิงบวก
ในรายละเอียดที่สำคัญที่สุดคือการที่ซาลาห์ ได้แจ้งกับทางลีกซาอุดีอาระเบียที่ต้องการดึงตัวเขาไปร่วมเล่นในตะวันออกกลางเพื่อเป็น “ไอคอน” ของวงการเคียงข้าง คริสเตียโน โรนัลโด – หรืออาจจะยิ่งใหญ่กว่าเพราะดาวเตะอียิปต์ถือเป็นฮีโร่ของประเทศในแถบ MENA – ว่าเขาไม่สนใจที่จะย้ายไปเล่นที่นั่นแต่อย่างใด
ทีมเดียวที่ซาลาห์ต้องการอยู่คือลิเวอร์พูลเท่านั้น
และนั่นเป็นการปลดล็อกครั้งสำคัญที่ทำให้การเจรจาเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งน่าจะเป็นข่าวดีสำหรับลิเวอร์พูลที่กำลังอยู่ในภาวะต้องการขวัญและกำลังใจ หลังจากที่พ่ายแพ้ต่อฟูแลม ที่แม้โอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกยังคงสดใสเพราะต้องการอีกเพียง 11 แต้มจาก 7 นัดที่เหลือ แต่ก่อนหน้านี้การแพ้ต่อปารีส แซงต์-แชร์แมง ตกรอบแชมเปียนส์ ลีก และแพ้นิวคาสเซิลในนัดชิงลีกคัพส่งผลกระทบทางใจอย่างมาก
เพราะอย่างน้อยความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของ 2 ผู้เล่นอย่างซาลาห์และฟาน ไดจ์ค ซึ่งถือเป็นผู้เล่น “ระดับโลก” ของทีมและเป็นผู้นำคนสำคัญภายในทีมกำลังจะผ่านไป
เช่นกันกับเทรนต์ที่มีโอกาสจะกลายเป็นอดีตมากกว่าอนาคต
ทุกฝ่ายจะได้ก้าวเดินต่อไปได้เสียที
คำถามต่อมาที่น่าสนใจคือการตัดสินใจครั้งนี้ที่จะต่อสัญญาให้ซาลาห์ รวมถึงฟาน ไดจ์ค เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่สำหรับลิเวอร์พูล โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงฟอร์มการเล่นที่ตกลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา
ซาลาห์ที่ดูอ่อนเปลี้ยในเกมรุกกับฟาน ไดจ์ค ที่ผิดและพลาดซ้ำๆ ในเกมรับ ยังควรจะเป็นเสาหลักของทีมต่อจริงหรือ?
เพราะอย่าลืมว่าในด้านตรงข้ามของความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น คือโอกาสสำหรับอาร์เนอ สล็อต นายใหญ่คนปัจจุบันที่จะได้สร้างทีมชุดใหม่ขึ้นมา ซึ่งค่อนข้างชัดเจนว่าซาลาห์และฟาน ไดจ์ค นั้นไม่ได้เป็นอนาคตที่ยืนยาวสำหรับลิเวอร์พูล
ในช่วงที่ผ่านมาลิเวอร์พูลมีข่าวเชื่อมโยงกับผู้เล่นหลายคนที่ถูกคาดหมายว่าจะเป็นตัวตายตัวแทนของทั้งสองเสาหลักนี้ ไม่ว่าจะเป็น ดีน เฮาเซน ปราการหลังอนาคตไกลของบอร์นมัธที่แจ้งเกิดเต็มตัวในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ไม่นับ มาร์ค เกฮี กองหลังดีกรีทีมชาติอังกฤษของคริสตัล พาเลซที่มีโอกาสเป็นตัวแทนของฟาน ไดจ์คได้
ตำแหน่งปีกขวาของซาลาห์ ลิเวอร์พูลมีข่าวเชื่อมโยงกับผู้เล่นตัวรุกหลายคน ซึ่งมีชื่อที่น่าสนใจอย่าง ชาวี ซิโมนส์ ตัวรุกทีมชาติเนเธอร์แลนด์ที่เป็นดาวเด่นของแอร์เบ ไลป์ซิก ซึ่งเป็นผู้เล่นที่สล็อตรู้จักเป็นอย่างดีเพราะเคยค้าแข้งในเอเรอดิวิซี ดัตช์, ไบรอัน เอ็มโบโม ปีกขวาดาวเด่นของเบรนต์ฟอร์ด ที่พิสูจน์ฝีเท้าในระดับพรีเมียร์ลีกมานาน
นอกจากนี้ยังมี นิโก วิลเลียมส์ ปีกสตาร์ทีมชาติสเปนของแอธเลติก บิลเบา และ ทาเคฟุสะ คุโบะ ปีกขวาทีมชาติญี่ปุ่นจากเรอัล โซเซียดัด ที่มีข่าวความเชื่อมโยงมายาวนาน
นักเตะเหล่านี้แม้จะยังไม่สามารถทาบชั้นกับซาลาห์หรือฟาน ไดจ์คได้ แต่ก็ถือเป็นผู้เล่นที่มีศักยภาพ และเป็นโอกาสสำหรับสล็อตที่จะได้ผู้เล่นในแบบฉบับที่ต้องการจริงๆ เพราะปัจจุบันเป็นทีมที่ถูกสร้างโดย เจอร์เกน คล็อปป์ ซึ่งโชคดีที่กุนซือชาวดัตช์นำมรดกมาต่อยอดได้ดีจนมีโอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยในฤดูกาลนี้
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าการที่ซาลาห์และฟาน ไดจ์ค ต่อสัญญาอยู่กับทีมจะหมายถึงการปิดโอกาสของการปรับปรุงทีม
ในทางตรงกันข้ามอย่างน้อยสล็อตและลิเวอร์พูลยังมีเสาหลักที่แข็งแกร่ง ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าแม้อายุจะมากและมีสัญญาณของความโรยราแต่คุณภาพและฝีเท้ายังดีพอสำหรับการแบกทีมไว้บนหลัง ซึ่งทั้งซาลาห์และฟาน ไดจ์ค ต่างก็แบกทีมมาอย่างหนักตลอดทั้งฤดูกาล
จุดที่เป็นปัญหาคือขุมกำลังสำรองที่ไม่สามารถทดแทนได้ไม่ว่าจะเป็น ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์, เฟเดริโก คิเอซา, จาเรลล์ ควานซาห์ ที่ไม่อาจทำให้นายใหญ่มั่นใจว่าควรจะส่งลงสนามในบางสถานการณ์
การรู้อนาคตของซาลาห์และฟาน ไดจ์ค ยังหมายถึงการที่ทีมจะสามารถกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนได้ถึงแผนการทำทีมในช่วงปิดฤดูกาลนี้ว่าจะต้องเลือกผู้เล่นระดับไหนมา ซึ่งเมื่อทั้งคู่ยังอยู่หมายถึงทีมไม่จำเป็นต้องหานักเตะในระดับคุณภาพเดียวกันหรือใกล้เคียงอย่างน้อย 2 ตำแหน่งที่ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย
ความเป็นไปได้คือการเลือกผู้เล่นที่มีอนาคตหรือมีศักยภาพเพื่อมาเป็น “ลูกมือ” (Understudy) ที่จะรอวันก้าวขึ้นมาทดแทนในอนาคตมากกว่า ซึ่งทำให้งานง่ายขึ้นพอสมควร
เพราะอย่าลืมว่าลิเวอร์พูลมีแผนที่จะปรับทีมอีกหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นแบ็กซ้ายที่มีข่าวกับ มิลอส เคอร์เคซ จอมลุยจากบอร์นมัธอีกคน, กองกลางตัวรับที่จะแบ่งเบาภาระของ ไรอัน คราเฟนแบร์ก และอาจจะรวมถึงปีกซ้ายที่มีกระแสข่าวว่า หลุยส์ ดิอาซ อาจจะย้ายออกจากทีมหลังจบฤดูกาลนี้
รวมถึงแบ็กขวาในกรณีที่เทรนต์ตัดสินใจไม่ต่อสัญญาและย้ายออกจากทีมหลังจบฤดูกาลจริงๆ
ภาพอนาคตมันเริ่มชัดเจนขึ้น
และอย่างน้อยการรักษาเสาหลักของทีมได้ก็ทำให้อุ่นใจได้มากขึ้นว่าบ้านยังไม่ล้ม เพราะคุณค่าของซาลาห์และฟาน ไดจ์คไม่ได้มีอยู่เพียงแค่ในสนาม แต่เป็น “รุ่นพี่” ที่เป็นแบบอย่าง เป็นผู้นำ และเป็นคนคอยดูแลน้องๆ ภายในทีมด้วย
สำคัญที่สุดคือมันเป็นการแสดงให้เห็นว่าใต้การบริหารแบบอเมริกันจ๋า Moneyball ของลิเวอร์พูลที่คุยกันด้วยตัวเลขและผลงานสถิติ
มันยังมี “หัวใจ” ซ่อนอยู่ในนั้น
สำหรับสโมสรที่มีเลือดเนื้ออย่างพวกเขา เรื่องความรู้สึกแบบนี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถหาอะไรมาประเมินค่าได้
“You’ll Never Walk Alone” ไม่มีใครต้องเดินจากไปอย่างเดียวดายทั้งนั้น
อ้างอิง: