อย่าให้มีครั้งที่ 5!
คือคำพูดแบบขำๆ (แต่ไม่ขำเท่าไร) สำหรับเดอะ ค็อป หลังจากที่ทีมพลาดท่าพ่ายแพ้ให้แก่คู่ปรับตลอดกาลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกมแดงเดือดแบบน่าละเหี่ยใจ ซึ่งนับเป็นการพ่ายแพ้เกมที่ 4 ติดต่อกันรวมทุกรายการเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2014 ในยุคของเบร็นแดน ร็อดเจอร์ส เลยทีเดียว
โดยที่ตลอด 90 นาทีที่แอนฟิลด์ ลิเวอร์พูลไม่ได้แสดงให้เห็นถึงประกายของความหวังให้เห็นเลยว่าพวกเขาจะหาทางกลับมาเป็นทีมที่มีฐานะเป็นแชมป์เก่าพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลที่แล้ว
ถ้าเป็นผู้ป่วยตอนนี้ต้องบอกว่าเข้าขั้น ‘โคม่า’ ต้องเข้ารับการรักษาเป็นการเร่งด่วน
และนี่คือแผลใหญ่ 5 จุดที่มองเห็นที่หวังว่าอาร์เนอ สลอต จะรีบทำการผ่าตัดรักษาโดยเร็วที่สุด!
ทีมรับแต่ไม่เล่นเกมรับ
8 นัดแรกของฤดูกาล 2024/25 ลิเวอร์พูลออกสตาร์ทได้อย่างสวยหรู แม้จะแพ้ต่อน็อตติงแฮม ฟอเรสต์แบบสุดช็อกก็ตาม แต่พวกเขาเสียแค่ 3 ประตูเท่านั้น
แต่ในฤดูกาลนี้เกมรับของลิเวอร์พูลเสียไปแล้วถึง 11 ประตูจาก 8 นัดแรก โดยในจำนวนนี้เป็นการเสียประตูจากลูกเซ็ตเพลย์ถึง 5 ประตู หรือพูดง่ายๆคือใน 8 นัดมีถึง 5 นัดที่เสียประตูเพราะป้องกันลูกตั้งเตะไม่ได้ ซึ่งในฤดูกาลที่แล้วไม่มีเรื่องพวกนี้เลย
ตัวเลขที่น่าตกใจอีกอย่างคือเปอร์เซ็นต์การเซฟของผู้รักษาประตูลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เพราะความจริงแล้วใน 8 นัดแรกของฤดูกาลที่แล้วกับฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลถูก ‘ล่อเป้า’ (Shot on target faced) เท่ากันคือ 26 ครั้ง แต่เสียประตูมากกว่าถึงเกือบ 4 เท่า
เปอร์เซ็นต์การเซฟของผู้รักษาประตูอยู่ที่ 57.7 เปอร์เซ็นต์ในฤดูกาลนี้ น้อยกว่าฤดูกาลที่แล้วที่ 88.5 เปอร์เซ็นต์อย่างมาก
ในภาพรวมแล้วเกมรับของลิเวอร์พูลมีปัญหาอย่างมาก ไม่หนักแน่น ไม่มั่นคง และเต็มไปด้วยความประมาท พวกเขาพร้อมจะโดนเกมบอมบ์กลางอากาศ โดยเฉพาะการเปิดเสาไกลจากคู่แข่งที่มักจะเล่นงานได้เสมอ เช่น ในเกมล่าสุดแฮร์รี แม็กไกวร์ สอดขึ้นไปโขกทำประตูได้โดยที่นอกจากกองหลังจอมแกร่งก็ยังมีเพื่อนอีก 2 คนอยู่ประจำการที่จุดนั้น (ซึ่งแปลว่าเตรียมการมา) ขณะที่ลิเวอร์พูลมีแค่อิบราฮิมา โคนาเตแค่คนเดียว
เวอร์จิล ฟาน ไดค์ กัปตันทีมเองก็ผิดพลาดในหลายเกมที่เล่นค่อนข้างหละหลวมเปิดช่องและโอกาสให้คู่แข่งเล่นงาน เช่น ในเกมกับเชลซีที่ไม่เข้าขวางมอยเซส ไคเซโด จนโดนส่องไกลง่ายๆ และในเกมเมื่อคืนที่ผ่านมาวิ่งเหยาะๆ ไม่ได้สังเกตว่า (มายเนมอิส) ไบรอัน (แอมฟรอมโคเรีย) เอ็มโบโม วิ่งสอดจากจุดอับสายตาเข้าหาเขตโทษ
การเสียประตูง่ายๆ แบบนี้ตลอดเวลา เป็นเหมือนการย้ำแผลทางใจให้ทีมไปเรื่อยๆ และเป็นจุดที่สล็อตต้องหาทางแก้ไขเป็นการเร่งด่วน
Co-working space ที่หายไป
ปกติแล้วลิเวอร์พูลเป็นทีมที่มีทีมเวิร์กที่ดีที่สุดทีมหนึ่งในพรีเมียร์ลีก มีการต่อบอลประสานงานที่ลื่นไหล ดุดัน รวดเร็ว
แต่นับตั้งแต่เข้าฤดูกาลใหม่สิ่งเหล่านี้หายไปจากทีมอย่างสิ้นเชิง การออกบอลอย่าว่าแต่ลูกยาวๆ (ที่พลาดประจำ) การต่อบอลสั้นๆ เองก็ขาดความแม่นยำ หรือแม้แต่เรื่องของ ‘น้ำหนัก’ ในการออกบอลก็ขาดๆ เกินๆ
ลิเวอร์พูลเล่นกันเหมือนคนไม่เคยรู้จักกัน เล่นเหมือนไม่เคยซ้อมมาด้วยกัน หากไม่รีบร้อนจนเกินไป ก็ลังเลและเชื่องช้าเกินไป
เรื่องนี้น่าคิดว่าเกิดจากการพยายามที่จะปรับแท็กติกกลยุทธ์การเล่นใหม่ให้แน่นอนและหลากหลายเกินไป หรือเป็นเพราะอะไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆคือตอนนี้ลิเวอร์พูลต่างคนต่างเล่นค่อนข้างชัดเจน และเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจแทน
ลมใต้ปีกที่รวยริน
ในยุคของเจอร์เกน คล็อปป์ ช่วงหนึ่งลิเวอร์พูลเคยเป็นทีมที่มีฟูลแบ็กสองข้างที่ดุดันที่สุดในโลกในรายของ แอนดี โรเบิร์ตสัน และเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์
แต่ยุคสมัยนั้นมันผ่านไปแล้วเมื่อเทรนต์ตัดสินใจไปผจญภัยครั้งใหม่กับเรอัล มาดริดแทน ขณะที่โรเบิร์ตสันอายุมากขึ้นการเล่นตกลงอย่างน่าใจหาย และกลายเป็นตัวสำรองอดทนแทน
ปัญหาคือผู้เล่นรุ่นใหม่ไม่ว่าจะเป็น มิลอส เคอร์เคซ, เจเรมี ฟริมปง หรือคอเนอร์ แบรดลีย์ฺ ไม่สามารถทดแทน ‘คุณภาพ’ ของโรเบิร์ตสัน หรือเทรนต์ได้เลยแม้แต่น้อย เพราะทั้ง 3 ยังไม่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพหรือทีเด็ดทีขาดที่เทียบเท่า
ทางฝั่งซ้ายเคอร์เคซ แม้จะเป็นแบ็กที่โดดเด่นระดับติดทีมยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีก แต่เมื่อย้ายมาลิเวอร์พูลกลับเล่นไม่ออกเหมือนเดิม เล่นแบบกล้าๆ กลัวๆ ละล้าละลัง และไม่ได้ใช้จุดเด่นในเรื่องของการเติมเกมรุกไปช่วยในแดนสุดท้ายไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง Underlap หรือการวิ่ง Overlap (เพราะคักโปไม่ยอมจ่ายให้!)
สุดท้ายก็ขาดความมั่นใจ กลายเป็นลนลาน ทำเสียไปหมด แม้กระทั่งลูกทุ่มง่ายๆ ก็ยังพลาด
ฝั่งขวาก็พอกัน แบรดลีย์แม้จะเป็นแบ็กที่ดี ขยัน ทุ่มเท แต่ต้องยอมรับว่าไม่มีสกิลพิเศษเหมือนเทรนต์ (ซึ่งบอลเปิดยาวที่หายไปส่งผลต่อลิเวอร์พูลมาก) ขณะที่ฟริมปงยังปรับตัวได้ไม่ดีนัก และกลายเป็นถูกเอาไปใช้เป็นปีกขวาสำรองเฉย ระดับที่สล็อตเลือกใช้โดมินิก โซโบสไล มากกว่าเป็นเรื่องที่ต้องคิดแล้ว
แผลนี้บอกตรงๆว่าแก้ยาก ทางซ้ายอาจจะต้องพักเคอร์เคซก่อนบ้าง เช่นกันกับฝั่งขวาที่อาจจะต้องกลั้นใจเลือกแบรดลีย์, ฟริมปง หรือโซโบสไล (ที่อาจจะต้องยอมเสียสละ) ไปเลยคนนึงเป็นหลัก
เห็นแก่ตัวกับดื้อดึง
ในเกมแดงเดือดผู้เล่น 2 คนที่ขัดใจแฟนมากที่สุดคือโคดี คักโป และโม ซาลาห์
โดยเฉพาะรายหลังที่เป็นฮีโร่ของทีมมาตลอด แต่ฟอร์มการเล่นในฤดูกาลนี้ถูกตั้งคำถามอย่างหนักหน่วงว่าถึงเวลาที่ควรจะดร็อปให้เป็นตัวสำรองบ้างหรือยัง?
ซาลาห์ในวัย 33 ปี เริ่มต้นฤดูกาลนี้ได้แบบย่ำแย่ที่สุด แตกต่างจากฟอร์มในระดับมหัศจรรย์เมื่อฤดูกาลที่แล้วอย่างมาก อย่าว่าแต่การทำประตูหรือการสร้างสรรค์เกมเลย แม้แต่การจับบอลให้อยู่กับตัวยังดูเป็นเรื่องที่ยากลำบาก และแน่นอนว่าการดวลกับคู่แข่งไม่ว่าจะเป็นตัวต่อตัว หรือ 2 ต่อ 1 ไม่เคยชนะ
เรื่องนี้มาจากทั้งสภาพร่างกายของนักฟุตบอล ซึ่งซาลาห์มาถึงวัย Decline แล้ว และปัญหาใหญ่คือเมื่อถึงจุดนี้ของชีวิตร่างกายมันไม่ส่งสัญญาณเตือนชัดเจนนัก รู้ตัวอีกทีคือร่างกายไม่เหมือนเดิม ทำอะไรได้ไม่คล่องตัวเหมือนเก่าแล้ว
แต่เพราะซาลาห์คือซาลาห์ที่เคยเป็นฮีโร่มาตลอด เขายังพยายามจะสร้างความแตกต่างด้วยตัวเองเสมอ แต่เมื่อไม่สำเร็จยิ่งเล่นก็กลายเป็นยิ่งกดดันและพยายามมากจนเกินไปที่จะทำประตู ซึ่งถ้านับรวมเกมล่าสุดโมยิงในการเล่นแบบโอเพนเพลย์ไม่ได้มา 7 นัดติดต่อกันแล้ว
ในเกมแดงเดือดมีโอกาสทองฝังเพชรที่ได้บอลเปิดมาถึงเสาไกล ซึ่งมีชอยส์ที่ดีกว่าด้วยการไหลเข้ากลางให้โฟลเรียน เวียร์ตซ์ ที่อยู่ตรงกลางประตูแต่กลับเลือกที่จะยิงเอง และยิงพลาดออกไป
สีหน้าอาการของซาลาห์หลังจังหวะนี้บ่งบอกอะไรได้หลายอย่าง
ขณะที่คักโป ยังสดกว่า แกร่งกว่า และยังพอยิงประตูได้บ้าง แต่ปัญหาคือเล่นซ้ำซากไม่ประสานงานกับเพื่อน โดยเฉพาะกับเคอร์เคซที่ไม่รู้ไม่ชอบอะไรกันหรือเปล่าแต่ไม่มีการเล่นร่วมกันปล่อยให้แบ็กตีรถเปล่าตลอดทั้งเกม และชอบที่จะลากตัดในเพื่อหาโอกาสยิงเอง ซึ่งก็ยิงดีบ้างไม่ดีบ้าง หรือเปิดไปเสาไกลหวังกดสูตร แต่มันก็แทบไม่ติดเลยในฤดูกาลนี้
สลอตต้องจัดการ 2 คนนี้โดยด่วน ซึ่งอาจจะมีตั้งแต่การปรับแท็คติกคำสั่งใหม่ หรือการพักไว้บนม้านั่งสำรองบ้าง
No Looking Back
ปัญหาอีกอย่างสำหรับลิเวอร์พูลคือความไม่มั่นคงทางใจของสลอต ที่พยายามปรับและเปลี่ยนหลายอย่างตลอดเวลาจนกลายเป็นทีมไม่นิ่ง ไม่มีเสถียรภาพ และไม่มีความชัดเจน
โดยเฉพาะจุดใหญ่ที่อยากชี้ให้เห็นคือการที่ทีมไม่มีศูนย์กลางที่ชัดเจนในการเล่น
ปกติแล้วลิเวอร์พูลมีซาลาห์เป็น Focal point ในการเล่นตลอด แต่ในฤดูกาลนี้มีการเปลี่ยนแปลงใหม่เพื่อลดภาระของ ‘The Egyptian King’ ลง ด้วยการซื้อผู้เล่นอย่าง อเล็กซานเดอร์ อิซัค, เวียร์ตซ์ และอูโก เอคิติเก เข้ามา
ก่อนเปิดฤดูกาลมีการมองว่าเวียร์ตซ์ คือคนที่จะเป็นศูนย์กลางของทีม แต่เมื่อรู้สึกว่ามีปัญหาเล่นไม่ออกเพราะปรับตัวกับเกมหนักของอังกฤษไม่ได้ก็เลือกกลับมาใช้โซโบสไล เจ้าเก่ายืนแทนเพราะคิดว่าเล่นเกมเพรสซิงได้ดีกว่า
แต่กลายเป็นว่านอกจากเพรสซิงได้ไม่เต็มระบบเหมือนเดิม (เพราะกองหน้าอย่างอิซัคก็ยังไม่เข้าใจและไม่ฟิตมากพอ) ทีมก็เสียสมดุลตรงกลางไปด้วย
บางทีสลอตอาจจะต้องให้ความมั่นใจกับเวียร์ตซ์มากกว่านี้ด้วยการพยายามให้โอกาสลงสนามต่อเนื่อง เพื่อให้จับจังหวะการเล่นได้เร็วที่สุด และเพื่อที่ทีมจะได้ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยระบบและวิธีการเล่นแบบใหม่จริงๆ (ซึ่งรวมถึงบางทีแบ็กขวาก็อาจจะใช้ฟริมปงด้วย)
ถ้าตัดสินใจแล้วว่าทีมจะเปลี่ยน ปีนี้คือปีของการเปลี่ยนผ่านก็เดินหน้าให้เต็มที่เลย
จะไปข้างหน้าอย่าคิดหันหลังกลับมาข้างหลัง!