“ปีนี้จะเป็นปีของเราหรือยัง”
คำถามนี้เป็นสิ่งที่อยู่ในใจของแฟนบอลลิเวอร์พูลทุกคนในทุกครั้งที่ถึงคราวเปิดม่านการแข่งขันฟุตบอลฤดูกาลใหม่ และคำถามนี้ก็เป็นคำถามที่วนไปวนมาไม่รู้จบเป็นระยะเวลาที่ยาวนานถึง 30 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เหลือเชื่อเมื่อคิดถึงความยิ่งใหญ่ของยอดทีมแห่งเมอร์ซีย์ไซด์ในยามนั้น
ลิเวอร์พูลคือทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฟุตบอลอังกฤษ ครองความเป็นหนึ่งอย่างยาวนานนับตั้งแต่ยุคสมัยของบิลล์ แชงคลีย์ บิดาผู้วางรากฐานความสำเร็จของสโมสรตั้งแต่ปี 1959 ก่อนจะเก็บเกี่ยวถ้วยรางวัลมากมายต่อเนื่องในทศวรรษที่ 60 จนถึงสิ้นสุดทศวรรษที่ 80
โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษที่ 80 ลิเวอร์พูลไม่เคยจบฤดูกาลด้วยอันดับที่แย่กว่าที่ 2 พวกเขาเป็นแชมป์ดิวิชัน 1 ถึง 6 สมัย ขณะที่บนเวทียุโรปยังได้ครองแชมป์ยูโรเปียนคัพ 2 สมัยก่อนที่เหตุโศกนาฏกรรมที่สนามเฮย์เซลเมื่อปี 1985 จะทำให้ทุกสโมสรของอังกฤษไม่ได้รับสิทธิ์ในการเข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลรายการยุโรปเป็นเวลา 5 ปี
ดังนั้น หลังจากที่พวกเขาได้แชมป์ลีกครั้งสุดท้ายในปี 1990 ไม่มีใครในยุคนั้นที่คิดว่าพวกเขาจะต้องอดทนเฝ้ารอและผ่านเรื่องราวทั้งสุขและทุกข์มากมายยาวนานขนาดนี้
แกรี จิลเลสพี หนึ่งในสมาชิกรุ่นสุดท้ายของลิเวอร์พูลชุดคว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 18 และผ่านประสบการณ์การได้แชมป์ลีกสมัยที่ 3 จาก 5 ฤดูกาลในแอนฟิลด์กล่าวถึงช่วงเวลานั้นว่า “ทุกคนคุ้นชินกับการชนะ และบางทีอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ได้มาง่ายดาย และทุกครั้งที่คุณคิดว่าชีวิตนั้นได้อะไรมาง่ายๆ บางครั้งมันก็จะเล่นงานเรากลับ และซัดเราเข้าอย่างจังที่ตรงหน้า
“นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเราพูดถึงเรื่องของเวลา 30 ปีที่ผ่านมาที่ลิเวอร์พูลไม่เคยคว้าแชมป์มาครองได้เลย”
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ในระหว่าง 30 ปีแห่งฝันร้าย เรามาร่วมย้อนวันเวลาไปด้วยกันอีกครั้งถึงจุดเริ่มต้น อุปสรรคปัญหา เรื่องราวต่างๆ และท้ายที่สุดกับรางวัลแห่งความสำเร็จ
เอียน รัช (ซ้าย) ฉลองถ้วยแชมป์ดิวิชัน 1 ในห้องแต่งตัวร่วมกับรอนนี วีแลน (กลาง) และอลัน แฮนเซน กัปตันทีม
การฉลองครั้งสุดท้ายที่สั้นเกินไป
ในที่สุดเคนนี ดัลกลิชก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า และรอยยิ้มนั้นกว้างถึงใบหู ‘คิง’ สวมกอดกับเหล่าผู้ช่วยของเขา รอนนี มอแรน และรอย อีแวนส์ ที่ขอบสนามในเกมที่พวกเขารับมือควีนสปาร์ค เรนเจอร์ส ในวันที่ 28 เมษายน
การฉลองนั้นเกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขาได้ข่าวว่านอริช ซิตี้ไล่ตีเสมอแอสตัน วิลลาได้ในช่วงท้ายเกมที่วิลลา ปาร์ค และทำให้ลิเวอร์พูลได้ครองแชมป์อังกฤษเป็นสมัยที่ 18 และเป็นแชมป์สมัยที่ 10 จาก 15 ฤดูกาลหลังสุด
ความโล่งอกเกิดขึ้นในหมู่ลิเวอร์พูลชนทุกคน หลังจากที่พวกเขาเผชิญกับฝันร้ายคาสนามแอนฟิลด์เมื่อ 1 ปีที่ก่อนหน้า ภาพของไมเคิล โธมัสทำประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บให้อาร์เซนอลบุกมากระชากแชมป์ดิวิชัน 1 ได้ถึงรังของเจ้าเกาะอังกฤษยังคงหลอนอยู่ในใจ
เพียงแต่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่หลอกหลอนทั้งนักเตะลิเวอร์พูล และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้จัดการทีมอย่างดัลกลิชคือเหตุโศกนาฏกรรมที่สนามฮิลส์โบโรห์ ในเกมเอฟเอคัพรอบรองชนะเลิศเมื่อวันที่ 15 เมษายน 1989
โศกนาฏกรรมครั้งนี้คือฝันร้ายที่แท้จริง เพราะมันได้ทำให้ทุกคนในทีมลิเวอร์พูลสูญเสียความรู้สึกบางอย่างที่มีต่อการเล่นฟุตบอล
สตีฟ นิโคล หนึ่งในขุนพลยุคนั้นเล่าถึงความรู้สึกครั้งนั้นว่า “ผมพูดจากใจจริงเลยว่าหลังเหตุการณ์ที่ฮิลส์โบโรห์ ผมไม่เคยมีสมาธิในการเล่นเหมือนเดิมเลย
“ตลอดระยะเวลายาวนานที่ผมอยู่ที่ลิเวอร์พูล สิ่งเดียวที่สำคัญต่อสโมสรคือการลงไปทำหน้าที่ของทีมชุดใหญ่ในช่วงบ่ายสามโมงวันเสาร์ แต่หลังฮิลส์โบโรห์ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป บรรยากาศภายในทีมแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง มันเหมือนมีบางอย่างค้างคาอยู่ในใจ ถึงจะมีวันที่เราเล่นกันได้อย่างวิเศษ แต่ก็มีวันที่เราทำได้ย่ำแย่ ผมไม่รู้จริงๆ ด้วยซ้ำว่าเราได้แชมป์ในปีนั้นได้อย่างไร บางทีมันอาจจะเป็นเพราะพรสวรรค์ในการเล่นที่พวกเรามี แต่ในเรื่องของสภาพจิตใจแล้วพวกเราไม่เหมือนเดิมอีกเลย”
ในห้องแต่งตัวหลังเกมวันนั้น การเฉลิมฉลองยังเกิดขึ้นอยู่ แชมเปญและเบียร์ถูกสาดเต็มห้องพักไปหมด แต่การฉลองนั้นไม่ได้กินระยะเวลาที่ยาวนานนัก ก่อนที่รอนนี มอแรนจะเข้ามาเตือนสติทุกคนให้ฉลองพอประมาณ และคิดถึงการเริ่มต้นใหม่ในฤดูกาลหน้าได้แล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติในทุกๆ ช่วงสิ้นสุดฤดูกาลของลิเวอร์พูล
และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้นักเตะลิเวอร์พูลในวันนั้นรู้สึกค้างคาในใจ
ว่าหากพวกเขารู้สักนิดว่ามันจะเป็นการฉลองครั้งสุดท้าย บางทีพวกเขาอาจจะต่อเวลาของการฉลองด้วยกันออกไปให้ยาวนานอีกนิด
เคนนี ดัลกลิช ในระะหว่างการแถลงข่าวอำลาตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลอย่างกะทันหัน
การอำลาของราชาแห่งแอนฟิลด์
ฤดูกาล 1990-91 เริ่มต้นด้วยความสวยงามสำหรับลิเวอร์พูล พวกเขากวาดชัยชนะได้ถึง 12 จาก 13 นัดแรกและเสมออีก 1 นัด
หนึ่งในชัยชนะที่เป็นไฮไลต์คือการถล่มแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดขาดลอยถึง 4-0 ที่แอนฟิลด์ โดยวันนั้นปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ทำแฮตทริกได้ ขณะที่เดอะ ค็อปต่างร้องเพลงล้อเลียนอเล็กซ์ เฟอร์กูสันอย่างสนุกสนานว่า “Fergie, Fergie, on the dole”
แต่หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยงดงามก็ค่อยๆ แตกสลาย
ลิเวอร์พูลพ่ายต่ออาร์เซนอล 0-3 ในช่วงต้นเดือนธันวาคม และเกมนั้นได้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของฟุตบอลอังกฤษในฤดูกาลนั้น โดยเฉพาะต่อทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์ที่เริ่มต้น ‘หลงทาง’ อย่างไม่รู้ตัว
อดีตนักเตะที่เก่งกาจและเป็นผู้จัดการทีมที่ปราดเปรื่องอย่างเคนนี ดัลกลิช เริ่มถูกตั้งคำถามจากการตัดสินใจที่แปลกๆ หลายอย่าง ซึ่งรวมถึงการซื้อตัวเดวิด สปีดี้ จากโคเวนทรี ซิตี้ รวมถึงจิมมี คาร์เตอร์ จากมิลล์วอลล์ ขณะที่ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ กลายเป็นส่วนเกินภายในทีม เช่นเดียวกับเหล่าแกนหลักของทีมที่เคยครองตำแหน่งอย่างแน่นอนก็ไม่มีความแน่นอนอีกต่อไป
ความจริงคือดัลกลิชเริ่มมีปัญหา และความจริงลึกๆ อีกอย่างคือเขาเคยบอกกับบอร์ดบริหารของสโมสรแล้วว่าเขาต้องการพัก ลำพังความเครียดจากการทำงานแบบ Day-to-day ในฐานะผู้จัดการทีมของสโมสรที่ต้องการเพียงความสำเร็จนั้นหนักหนาสาหัสอยู่แล้ว แต่รอยแผลลึกจากโศกนาฏกรรมที่ฮิลส์โบโรห์ยิ่งทำให้เขาแทบไม่เหลือแรงจะทำอะไร
ดัลกลิชใช้เวลาในการไตร่ตรองเรื่องอนาคตและชีวิตของเขา แต่หลังเกมเอฟเอคัพ รอบที่ 5 ซึ่งลิเวอร์พูลเสมอกับเอฟเวอร์ตัน 4-4 ทำให้เขาคิดได้
คำตอบเดียวในใจของเขาคือการที่เขาไม่สามารถจะเป็นผู้จัดการทีมได้ไหวอีกต่อไป
ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ เมื่อนักเตะเดินทางมาถึงแอนฟิลด์อย่างพร้อมหน้า ดัลกลิชได้ประกาศต่อหน้าทุกคนว่าเขาขอลาออก
ถึงนักเตะลิเวอร์พูลจะพยายามหลอกตัวเองว่ามันคือการล้อเล่นเหมือนที่พวกเขาชอบอำเล่นกันทุกที แต่ในเสี้ยววินาทีนั้นทุกคนรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
ไม่มีนักฟุตบอลลิเวอร์พูลคนใดเอ่ยปากใดๆ หลังการประกาศของดัลกลิช แววตาของทุกคนว่างเปล่า
ขณะที่โลกภายนอกรู้ว่าหลังจากที่บิลล์ แชงคลีย์ ได้สร้างป้อมปราการสีแดงขึ้นที่เมอร์ซีย์ไซด์ที่ไม่มีใครโค่นได้ วันนี้รอยปริร้าวแรกได้ปรากฏขึ้นแล้ว
และที่สำคัญไม่ใช่แค่ดัลกลิชที่พวกเขาสูญเสีย เพราะยังมีจอห์น สมิธ ประธานสโมสรที่บริหารงานมาอย่างยาวนาน และปราการหลังผู้เป็นเสาหลักค้ำยันทีมเอาไว้อย่างอลัน แฮนเซน ที่ตัดสินใจแขวนสตั๊ดด้วยในเวลาเดียวกัน
ลิเวอร์พูลกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาที่พวกเขาไม่รู้จักและไม่คุ้นเคย
ช่วงเวลาที่เรียกว่าความตกต่ำ
แกรม ซูเนสส์ (กลางภาพ) และขุนพลนักเตะลิเวอร์พูลที่รับมรดกต่อจากเคนนี ดัลกลิช
การเปลี่ยนแปลงที่ผิดไปเสียทุกอย่าง
ลิเวอร์พูลเป็นสโมสรที่มีขนบธรรมเนียมอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง และหนึ่งในธรรมเนียมที่สืบทอดมายาวนานคือการเลือก ‘คนใน’ ก่อนจะคิดถึง ‘คนนอก’
นั่นทำให้นับตั้งแต่แชงค์สเป็นต้นมา คนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลต่างล้วนเป็นคนที่เป็น ‘บูทรูมสตาฟฟ์’ ไม่ว่าจะเป็นบ๊อบ เพสลีย์ ผู้สานต่อความยิ่งใหญ่, โจ เฟแกน หรือแม้แต่รอนนี มอแรน ที่รับหน้าเสื่อเป็นครั้งคราวในยามที่จำเป็น ก่อนที่จะเป็นดัลกลิช ที่รับตำแหน่งต่อในฐานะผู้เล่น-ผู้จัดการทีม ก่อนจะกลายเป็นนายใหญ่เต็มตัว
เมื่อดัลกลิชจากไป คำถามคือใครจะเข้ามาคุมทีมลิเวอร์พูลต่อ นั่นเป็นเรื่องที่ยากไม่น้อยสำหรับโนเอล ไวท์ ประธานสโมสรคนใหม่ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วเขาเชื่อว่าคนที่เหมาะสมกับงานนี้ยังควรจะเป็นคนใน แต่อาจจะไม่ใช่มอแรนที่มีปัญหาในเวลาต้องขึ้นมารับคุมทีมแทน อดีตนักเตะที่คนยำเกรงอย่าง ‘บิ๊กจอห์น’ จอห์น โตแช็ก หรือ ‘ซูอี’ แกรม ซูเนสส์ อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
อีกหนึ่งคนที่ดูมีคุณสมบัติเหมาะสมคือ อลัน แฮนเซน กัปตันทีมที่รับใช้สโมสรมาอย่างยาวนาน และมีปัญหาอาการบาดเจ็บไม่ได้ลงเล่นให้ทีมเลยนับตั้งแต่เกมตัดสินแชมป์ของฤดูกาล 1989-90 กับควีนสปาร์ค เรนเจอร์ส ซึ่งด้วยวัย 35 ปี เขาเป็นตัวเลือกที่โอเคเลยทีเดียว
หนึ่งสัปดาห์หลังการลาออกของดัลกลิช แฮนเซนได้มายังห้องแต่งตัวก่อนจะเรียกสตีฟ นิโคล เข้าไปคุยกันที่ออฟฟิศ
นิโคลไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเข้าไปคุยกันที่นั่น แต่ก็เดินตามไปคุยด้วยแต่โดยดี ก่อนที่แฮนเซนจะบอกในห้องว่า “ผมได้งาน และผมจะให้คุณเป็นกัปตัน ช่วยไปเรียกทุกคนมาหน่อยผมมีเรื่องที่จะต้องบอก” ถึงจะคิดว่าโดนอำแต่นิโคลคนซื่อก็ไปเรียกทุกคนมารวมตัวกันที่ห้องแต่งตัวทันที
10 นาทีต่อมาแฮนเซนเดินมายังห้องแต่งตัวก่อนจะเริ่มพูดว่า “เอาล่ะทุกคน ผมมีข่าวจะบอก ผมคือคนที่จะมาทำหน้าที่ต่อ” จังหวะนั้น บรูซซี (กร็อบเบลาร์) เริ่มปรบมือ เพียงแต่เมื่อเขารู้ตัวว่าเขาเป็นคนเดียวที่ปรบมืออยู่ก็เลยปรบมือแค่ 3 แปะก่อนจะหยุด และความเงียบก็ปกคลุมในห้องนั้น
แฮนเซนพูดต่อในหลายเรื่อง หลายสิ่งหลายอย่างที่เขาประกาศว่าจะต้องเปลี่ยนแปลง ซึ่งหลายเรื่องหลายคนในทีมรวมถึงขาใหญ่อย่างเอียน รัช ไม่ชอบใจ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการบอกว่าจะยกตำแหน่งกัปตันทีมให้กับนิโคล และถ้าใครมีปัญหาก็ขอให้ไปเจอกันที่สนามซ้อม ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
นักฟุตบอลลิเวอร์พูลทั้งห้องตกอยู่ในความตะลึง ทุกคนคิดว่าพวกเขาโดนอำ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทำให้พวกเขาเริ่มสับสนระหว่างเรื่องจริงกับการล้อเล่น แต่ละคนเริ่มมองหน้ากัน แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย
แต่ไม่กี่นาทีต่อมา ‘บิ๊ก อัล’ ก็เดินกลับมาในห้องและบอกกับทุกคนว่า “เอาล่ะ ผมล้อเล่น จริงๆ แล้วผมแค่จะบอกว่าผมจะเลิกเล่นแล้ว โชคดีนะทุกคน…”
หนึ่งสก็อตไม่สนใจจะรับตำแหน่งนี้ แต่อีกหนึ่งสก็อตไม่คิดเช่นนั้น
แกรม ซูเนสส์ อดีตมาโชแมน มิดฟิลด์จอมแกร่งของลิเวอร์พูลผู้เป็นต้นแบบของมิดฟิลด์ฮาร์ดแมนทั้งปวงตกปากรับคำลิเวอร์พูลอย่างง่ายดาย โดยไม่ลังเลที่จะทิ้งงานที่กลาสโกว์ เรนเจอร์สเอาไว้ตรงนั้น แม้ว่าเดวิด เมอร์เรย์ ประธานสโมสรเดอะ ไลท์บลูส์ จะเตือนแล้วว่า “เขากำลังทำสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิต” ก็ตาม
หลังการจากไปกว่า 7 ปี ซูเนสส์ได้หวนกลับคืนสู่แอนฟิลด์อีกครั้ง แต่สิ่งที่เขาพบคือทีมที่เต็มไปด้วยนักฟุตบอลที่กำลังก้าวเข้าสู่การเป็นไม้ใกล้ฝั่ง
บรูซซี อายุ 33 ปี, จิลเลสพี 30 ปี, นิโคล, รัช และรอนนี วีแลน ก็ไม่ต่างกัน ขณะที่สปีดี้ กับ เกล็น ไฮเซน อายุ 31 ปี, เบียร์ดสลีย์ 30 ปี ส่วนสตีฟ แม็คมาน และเรย์ เฮาจ์ตัน อายุ 29 ปี
ปัญหาต่อมาที่หยั่งรากฝังลึกมาอย่างยาวนานคือเรื่องพฤติกรรมในการใช้ชีวิตของนักฟุตบอลลิเวอร์พูลในเรื่องการกินและการดื่มที่ขัดต่อหลักที่ควรจะเป็นทั้งหมด เพียงแต่มันถูกละเว้นที่จะแตะต้องมายาวนานเนื่องจากความสำเร็จของพวกเขา แต่ซูเนสส์มองว่ามันถึงคราวต้องเปลี่ยนแปลง
เพียงแต่ไม้แก่นั้นดักยาก การเปลี่ยนแปลงจึงเป็นไปอย่างยากลำบาก นั่นทำให้ซูเนสส์ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงทีมด้วยผู้เล่นชุดใหม่ที่สดกว่าเข้ามา
ปัญหาคือผู้เล่นใหม่เหล่านั้นเกือบทั้งหมดคือความล้มเหลว รวมถึง ดีน ซอนเดอร์ส เจ้าของสถิตินักฟุตบอลที่แพงที่สุดของอังกฤษที่ลิเวอร์พูลซื้อมาจากดาร์บี เคาน์ตี ด้วยค่าตัว 2.9 ล้านปอนด์ ที่อนาคตการเล่นจบลงภายในคืนอื้อฉาวแค่คืนเดียว
ขณะที่ตัวของซูเนสส์พลาดยิ่งกว่าเมื่อเขาทำลายความสัมพันธ์กับแฟนบอลเมื่อให้สัมภาษณ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟกับ The Sun เกี่ยวกับเรื่องการเข้ารับการผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ – ซึ่งเป็นสิ่งที่เดอะ ค็อป ไม่สามารถทำใจอภัยให้ลง เพราะสิ่งที่หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ฉบับนี้ทำคือการหยามเกียรติของผู้วายชนม์ และบิดเบือนข้อเท็จจริงของเหตุโศกนาฏกรรมที่ฮิลส์โบโรห์อย่างน่ารังเกียจ
ลิเวอร์พูลจบฤดูกาล 1991-92 นอก 2 อันดับแรกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1980
และพวกเขาไม่ได้จบอันดับที่ 3 แต่จบในอันดับที่ 6
ร็อบบี้ ฟาวเลอร์, สตีฟ แม็คมานามาน และเจมี เรดแนปป์ กับชุดสูทอาร์มานีในเกมนัดชิงเอฟเอคัพ คือภาพจำที่ชัดเจนที่สุดในยุค Spice Boys
Spice Boys คอยแชมป์
สิ้นฤดูกาล 1992-93 ซึ่งเป็นฤดูกาลแรกที่มีการเปลี่ยนแปลงชื่อจากดิวิชัน 1 มาเป็นพรีเมียร์ชิพ ลิเวอร์พูลยังติดอยู่อันดับ 6 เหมือนเดิม และดูเหมือนว่าพวกเขาจะห่างไกลจากจุดที่เคยยืนเข้าไปทุกที
จุดเปลี่ยนสำคัญของยุคสมัยเกิดขึ้นในเกมที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บุกมาเอาชนะลิเวอร์พูลได้ถึงแอนฟิลด์ 2-1 ในเดือนมีนาคม 1993 ซึ่งกลายเป็นชัยชนะที่ล้ำค่าสำหรับทีมของอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่สุดท้ายนำไปสู่การคว้าแชมป์ลีกสมัยแรกของเขา และเป็นแชมป์ลีกสมัยแรกในรอบ 26 ปีของทีมปีศาจแดง
ในช่วงซัมเมอร์นั้นมีการพิจารณาถึงอนาคตของซูเนสส์ ท่ามกลางข่าวลือเรื่องการกลับคืนสู่เหย้าของดัลกลิชที่ในเวลานั้นรับงานสร้างฝันให้กับแจ็ก วอล์กเกอร์ มหาเศรษฐีผู้ต้องการเห็นแบล็กเบิร์น โรเวอร์ส สโมสรรักในบ้านเกิดได้แชมป์ลีกสูงสุดสักครั้ง และพร้อมทุ่มเงินไม่อั้นเพื่อทำฝันให้เป็นจริง
เพียงแต่สิ่งเดียวที่ดัลกลิชต้องการคือการส่งเทียบเชิญนั้นไม่เกิดขึ้น เพราะเดวิด มัวร์ส ประธานสโมสรที่รับตำแหน่งต่อจากไวท์ คิดว่าการกระทำเช่นนั้นจะเป็นการทำให้ชื่อเสียงของสโมสรเสียหาย และสิ่งที่เขาควรทำคือการยืนหยัดเคียงข้างซูเนสส์ ที่เพิ่งจะพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้ต่อไป
มัวร์สกล่าวในเวลานั้นว่า “ซูเนสส์ควรจะได้อยู่ในตำแหน่งจนครบสัญญา 3 ปีของเขา และผมหวังว่ามันจะยาวนานกว่านั้น”
น่าเศร้าสำหรับมัวร์สที่เดิมพันของเขาพลาด เมื่อเข้าฤดูกาล 1993-94 ไม่มีอะไรที่ดีขึ้นเลยสำหรับลิเวอร์พูล สิ่งดีๆ ที่ซูเนสส์ทิ้งไว้ให้กับลิเวอร์พูลมีเพียงการส่งร็อบบี ฟาวเลอร์, เจมี เรดแนปป์ และสตีฟ แม็คมานามาน ลงสนาม รวมถึงร็อบ โจนส์ ไอ้หนูแบ็กขวาดาวรุ่งที่ดึงตัวจากครูว์ อเล็กซานดรา
ความพ่ายแพ้ต่อบริสตอล โรเวอร์ส สโมสรจากดิวิชัน 1 (ดิวิชัน 2 เดิม) ในศึกเอฟเอคัพ เป็นการปิดฉากยุคสมัยแห่งหายนะของซูเนสส์ คนที่ถูกตราหน้าว่าเป็นต้นเหตุของความล้มเหลวอันยาวนานของลิเวอร์พูล
ตำแหน่งผู้จัดการทีมถูกส่งต่อให้แก่รอย อีแวนส์ สมาชิกบูทรูมคนสุดท้ายที่อายุน้อยที่สุด และเป็นคนที่ค่อยๆ นำความหวังดวงเล็กๆ กลับคืนสู่อ้อมอกของชาวลิเวอร์พัดเลียนอย่างช้าๆ
ลิเวอร์พูลของอีแวนส์กลับมาเป็นทีมที่เล่นได้อย่างน่าดูชม ภายใต้ปรัชญาการเล่นแบบ Pass-and-Move อันลือลั่น การเล่นของพวกเขาสวยสดและงดงาม ขณะที่ทีมก็เต็มไปด้วยนักฟุตบอลที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์
‘ก็อด’ ฟาวเลอร์ คือความมหัศจรรย์ เช่นกันกับ ‘แช็กกี’ แม็คมานามาน ซึ่งเป็นสเกาเซอร์ที่เป็นผู้นำในการปลุกทีมให้กลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง ขณะที่นักเตะฝีเท้าดีค่อยๆ ถูกซื้อเข้ามาสู่ทีมมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาได้ ฟิล บาบบ์ หนึ่งในกองหลังที่เด่นมากกับโคเวนทรีมาร่วมทีม ที่มาผนึกกำลังกับจอห์น สเกลส์ ที่ซื้อตัวมาจากวิมเบิลดัน โดยมี ‘เรเซอร์’ นีล รัดด็อก มรดกตกทอดจากซูเนสส์, โดมินิก มัตเตโอ รวมถึงพี่ใหญ่อย่าง มาร์ก ไรต์
จอห์น บาร์นส์ ปีกนิลกาฬที่เริ่มโรยราแต่ยังคงเก่งกาจหาตัวจับได้ยากยังอยู่ประคองเรดแนปป์ รวมถึงไมเคิล โธมัส อดีตผู้นำฝันร้ายมาสู่แอนฟิลด์ นอกจากนี้ยังมีเจสัน แม็คเคเทียร์ อดีตกองกลางห้องเครื่องของโบลตัน วันเดอเรอร์ส ที่เล่นได้น่าประทับใจในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโคคาโคลาลีกคัพ ซึ่งเป็นแชมป์รายการแรกและรายการเดียวที่อีแวนส์ได้เล่นกับลิเวอร์พูล
สแตน ‘เดอะ แมน’ คอลลีมอร์ ถูกคว้าตัวมาจากน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ด้วยค่าตัว 8.5 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นสถิติของวงการฟุตบอลอังกฤษในเวลานั้น รวมถึงแพทริก แบร์เกอร์ มิดฟิลด์ซ้ายดินระเบิด และการแจ้งเกิดของไมเคิล โอเวน กองหน้าผู้เกิดมาพร้อมพรสวรรค์ที่เหนือยิ่งกว่าฟาวเลอร์
แต่สิ่งดีงามเหล่านี้ไม่ได้นำมาซึ่งความสำเร็จของลิเวอร์พูลแต่อย่างใด พวกเขาทำได้ดีที่สุดเพียงแค่การเป็นรองแชมป์เอฟเอคัพ ในปี 1996 – นัดที่ถูกจดจำด้วยลูกยิงวอลเลย์ถอยหลังของเอริก คันโตนา และชุดสูทสีครีมของอาร์มานี มากกว่าเกมที่เกิดขึ้นในสนาม – และอันดับที่สลับไปมาระหว่างที่ 3 กับที่ 4
ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไร ความอ่อนแอของลิเวอร์พูลก็ยิ่งถูกเผยให้เห็นมากขึ้นเท่านั้น และความอ่อนแอนั้นมีสาเหตุมาจากความอ่อนโยนที่มากเกินไปสำหรับนายใหญ่อย่างอีแวนส์ ผู้ซึ่งขาดคุณสมบัติที่พึงมีสำหรับการเป็นผู้ยิ่งใหญ่
สิ่งนั้นคือความเด็ดขาด และนั่นนำไปสู่การตัดสินใจที่แปลกประหลาดที่สุดของประวัติศาสตร์ฟุตบอล
ลิเวอร์พูลซึ่งต้องการการเปลี่ยนแปลง แต่ก็เหนียมอายเกินกว่าจะปลดอีแวนส์ออก พวกเขาจึงเลือกที่จะแต่งตั้งเชราร์ อุลลิเยร์ ปราชญ์ลูกหนังฝรั่งเศสเข้ามาคุมทีมด้วยกัน
ที่แอนฟิลด์จึงมีผู้จัดการทีเดียว 2 คน เป็นผู้จัดการคู่ครั้งแรกและครั้งเดียวในประวัติศาสตร์
รอย อีแวนส์ และเชราร์ อุลลิเยร์ ผู้จัดการทีมคู่ของลิเวอร์พูล
ปิดฉากบูทรูมสู่ยุคใหม่ของลิเวอร์พูล
ฤดูร้อนของปี 1998 ฟุตบอลอังกฤษและบัลลังก์ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถูกเขย่าอย่างรุนแรงด้วยการเข้ามาของอาร์แซน เวนเกอร์ ที่เปลี่ยนแปลงอาร์เซนอลจาก Boring Arsenal ให้กลายเป็นทีมที่เล่นได้น่าตื่นตาตื่นใจมากที่สุด
หนึ่งในสิ่งที่เวนเกอร์นำมาสู่ทีมกันเนอร์สคือเรื่องของฟิตเนสและโภชนาการ ซึ่งเป็นสิ่งที่สวนทางกับสิ่งที่เกิดขึ้นในทีมลิเวอร์พูลที่ไม่มีสิ่งเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย นั่นทำให้บอร์ดบริหารของทีมเริ่มตระหนักแล้วว่าพวกเขาอยู่ห่างไกลจากการกลับไปเป็นทีมอันดับหนึ่งไกลขึ้นเรื่อยๆ
นั่นทำให้พวกเขาต้องการหาใครสักคนที่จะมาเป็นเวนเกอร์ให้ลิเวอร์พูลบ้าง และคนที่พวกเขาพบคืออุลลิเยร์ อดีตโค้ชทีมชาติฝรั่งเศสซึ่งอยู่เบื้องหลังการคว้าแชมป์โลกบนแผ่นดินเกิดของ Les Bleus
ความตั้งใจแรกลิเวอร์พูลต้องการได้คนมาทำงานในฐานะผู้อำนวยการสโมสร คนที่จะมาช่วยอีแวนส์ในการคุมทีมหลังจากที่มอแรนตัดสินใจวางมือ ซึ่งเป้าหมายแรกคือจอห์น โตแช็ก แต่บิ๊กจอห์นซึ่งขณะนั้นคุมทีมเบซิคตัสอยู่ปฏิเสธไปเพราะไม่คิดว่ามันจะออกมาดีสำหรับเขา ซึ่งอุลลิเยร์มีคุณสมบัติที่เหมาะสมทุกด้าน
โดยเฉพาะคิดถึงการที่อุลลิเยร์เคยใช้ชีวิตในฐานะครูที่เมอร์ซีย์ไซด์เป็นเวลายาวนานเกือบ 3 ทศวรรษ ความรู้และความเข้าใจในประวัติศาสตร์และวิถีของสโมสรย่อมไม่มีอะไรน่าสงสัย และลิเวอร์พูลจำเป็นต้องรีบตัดสินใจด้วยเพราะเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์เองก็ต้องการกุนซือชาวฝรั่งเศสเช่นกัน
เรื่องจบลงที่การเริ่มต้นในฐานะกุนซือคนคู่ระหว่างอีแวนส์และอุลลิเยร์ ที่ไม่มีปัญหาในการจะทำงานร่วมกัน และการเริ่มต้นใหม่นั้นงดงามเมื่อลิเวอร์พูลชนะรวด 4 นัดแรกของฤดูกาลใหม่ 1998-99
เพียงแต่มันเป็นภาพลวงตา เพราะในความเป็นจริงแล้วลิเวอร์พูลเริ่มประสบปัญหาภายในมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อทั้งอีแวนส์และอุลลิเยร์ต่างมีแนวทางในการทำงานที่แตกต่างกัน คนหนึ่งเป็นคนหัวเก่าที่สืบทอดหลักการทำงานมาตั้งแต่ยุคของแชงคลีย์ ขณะที่อีกคนคือกุนซือจากภูมิภาคยุโรปที่นุ่มนวลแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
จุดเริ่มต้นของหายนะเกิดขึ้นในเกมนัดที่ 5 ของฤดูกาลในเกมไปเยือนเวสต์แฮม ยูไนเต็ด เมื่ออีแวนส์ต้องการจะใช้ 11 ตัวแรกตามเดิมขณะที่อุลลิเยร์คัดค้านและชี้ว่าทีมต้องการตัวรับอย่างสตีฟ ฮาร์คเนสส์ ลงไปแทนคาร์ล-ไฮนซ์ รีดเล
ลิเวอร์พูลพ่ายแพ้ในเกมนั้น ก่อนที่ในอีก 9 นัดต่อมาพวกเขาจะชนะเพียงแค่เกมเดียวและเก็บได้แค่ 6 คะแนน
ความสับสนเกิดขึ้นภายในทีม นักฟุตบอลไม่รู้ว่าจะฟังใครดี อย่างไรก็ดีโดยส่วนใหญ่แล้วทุกคนรู้ดีว่าอีแวนส์ไม่ใช่นายใหญ่ของทีมอีกต่อไป แม้ว่าอุลลิเยร์จะไม่ได้พยายามออกตัวมากก็ตาม ปัญหาอยู่ที่ประธานสโมสรอย่างเดวิด มัวร์ส ที่ไม่กล้าจะบอกกับสมาชิกบูทรูมคนสุดท้าย
ตำนานกุนซือคนคู่จบลงในวันที่ 12 พฤศจิกายน 1998 หลังจากที่ลิเวอร์พูลตกรอบลีกคัพ และอยู่อันดับที่ 11 ของตารางพรีเมียร์ลีก อีแวนส์ประกาศลาออกจากตำแหน่งโดยพยายามกลั้นน้ำตาไว้ และยืนยันว่าเขาไม่ผิดใจอะไรกับอุลลิเยร์
มัวร์สพยายามขอร้องให้เขาอยู่กับทีมต่อไปในบทบาทใดสักบทบาท เพียงแต่อีแวนส์ทบทวนแล้วว่าหลัง 35 ปีกับชีวิตในแอนฟิลด์จากนักเตะฝึกหัด สู่การเป็นผู้เล่นชุดใหญ่ โค้ช และผู้จัดการทีม เขารู้สึกว่ามันถึงเวลาแล้วที่จะให้โอกาสใหม่แก่เชราร์ และทีมงานของเขาในการก้าวเดินบนเส้นทางที่แตกต่างออกไป
เชราร์ อุลลิเยร์ กลับคืนสู่แอนฟิลด์อีกครั้งในเกมที่พบโรมา หลังเข้ารับการผ่าตัดหัวใจ
ครูใหญ่ใจเหล็ก
หลังการเข้ารับตำแหน่งในฐานะผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลคนใหม่แบบเต็มตัว – และเป็นผู้จัดการทีมชาวต่างชาติคนแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร – อุลลิเยร์เริ่มเปิดเผยตัวตนของเขาให้ทุกคนได้เห็น
ตัวตนของความเจ้ากี้เจ้าการและความเฮี้ยบที่เข้าขั้นโหด
หลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นความหย่อนยานที่เกิดขึ้นในช่วงที่อีแวนส์คุมทีม อุลลิเยร์เข้ามาจัดการแก้ไขทุกอย่างทันที ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหารการกิน เรื่องของโทรศัพท์มือถือที่ห้ามใช้ การจัดระเบียบเครื่องแต่งกายไปจนถึงการรักษาเวลา
เพื่อให้การเปลี่ยนเปลงเป็นไปอย่างราบรื่นขึ้น อุลลิเยร์ชวนฟิล ธอมป์สัน อดีตกัปตันทีมกลับมาทำงานในฐานะผู้ช่วยผู้จัดการทีม
นักฟุตบอลคนไหนที่รับไม่ได้ก็ต้องไปเหมือนเช่น สตีฟ ฮาร์คเนสส์ และเจสัน แม็คเคเทียร์ ท่ามกลางข่าวลือว่านักเตะคนแรกที่อุลลิเยร์ซื้อเข้ามาอย่าง ฌอง-มิเชล แฟร์รี ซึ่งได้โอกาสลงเล่นแค่ 47 นาทีก่อนจะถูกขายต่อให้โซโชซ์ในอีก 6 เดือนต่อมานั้นจริงๆ แล้วมาเพื่อ ‘เป็นหูเป็นตา’ ให้กับนายใหญ่
อย่างไรก็ดี ฤดูกาลแรกของเขากับลิเวอร์พูลเป็นไปอย่างเลวร้าย พวกเขาจบในอันดับที่ 7 ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่สิ้นยุคเรืองรอง และเสียสตีฟ แม็คมานามานให้กับเรอัล มาดริดแบบไม่มีค่าตัวตามกฎบอสแมน ขณะที่แมนฯ ยูไนเต็ดคว้า 3 แชมป์ในฤดูกาลเดียวในปีนั้นอย่างน่ามหัศจรรย์
ฤดูร้อนถัดมา อุลลิเยร์เริ่มต้นการปฏิวัติทีมด้วยขุนพลชุดใหม่อย่างซานเดอร์ เวสเตอร์เฟลด์ ผู้รักษาประตูจากวิเทสส์ อาร์เนม, ซามี ฮูเปีย ปราการหลังร่างยักษ์จากวิลเลม ทเว, วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ เพลย์เมกเกอร์เพื่อนรักของแพทริก แบร์เกอร์ จากล็องส์, เอริก ไมเยอร์ กองหน้ายักษ์โขมดจากไบเออร์ เลเวอร์คูเซน, สเตฟาน อองโชซ์ กองหลังฝีเท้าทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์จากแบล็คเบิร์น และติตี กามารา กองหน้าที่แทบไม่มีใครรู้จักจากโมนาโก
รวมถึง ดีทมาร์ ฮามันน์ มิดฟิลด์ตัวรับทีมชาติเยอรมนีจากนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด
นักฟุตบอลกลุ่มนี้เป็นนักเตะที่ถูกซื้อมาเพื่อเล่นฟุตบอลในระบบของอุลลิเยร์อย่างแท้จริง และทั้งหมดทำหน้าที่ได้ดี โดยเฉพาะแนวรับที่นำมาโดยฮูเปียและอองโชซ์ ที่กลายเป็นพื้นฐานของความสำเร็จในยุคของกุนซือชาวฝรั่งเศส
ขณะที่ในแนวรุกพวกเขายังมีดาวยิงเบอร์หนึ่งของอังกฤษอย่างโอเวน ที่ก้าวมาแทนที่ของฟาวเลอร์ที่เริ่มมีปัญหา แต่คนที่เป็นพลังขับเคลื่อนในแนวรุกมีแค่แบร์เกอร์ และคนที่คาดเดาอะไรไม่ได้อย่างกามารา ส่วนไมเยอร์ไม่เคยฟิตเต็มถัง
อุลลิเยร์ตัดสินใจทุ่มเงิน 11 ล้านปอนด์ดึง เอมิล เฮสกีย์ มาจากเลสเตอร์ ซิตี้ ด้วยค่าตัว 11 ล้านปอนด์ในเดือนมีนาคมของปี 2000 ซึ่งแม้จะน่าเสียดายที่ปลายฤดูกาลนั้นโอเวนบาดเจ็บและฟาวเลอร์ยังมีปัญหาเรื่องการเรียกความฟิต แต่สุดท้ายพวกเขาก็คว้าอันดับ 4 เพียงแต่มันดีพอแค่ตั๋วไปยูฟ่าคัพถ้วยใบเล็กเท่านั้น
อย่างไรก็ดี ในฤดูกาลต่อมาอุลลิเยร์พาลิเวอร์พูลกลับคืนสู่ความสำเร็จได้อีกครั้งด้วยการคว้า 3 แชมป์ในฤดูกาลเดียวแบบเดียวกับที่แมนฯ ยูไนเต็ด ทำได้แม้จะถูกค่อนแคะว่ามันเป็นถ้วยที่เล็กกว่าก็ตาม โดย 3 แชมป์ดังกล่าวได้แก่แชมป์ยูฟ่าคัพ, ลีกคัพ และเอฟเอคัพ
นอกจาก มาร์คัส บับเบิล และแกรี แม็คคัลลิสเตอร์ ที่ถูกดึงเข้ามาแล้ว ดาวรุ่งอย่าง สตีเวน เจอร์ราร์ด ยิ่งเล่นก็ยิ่งฉายแววโดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ ในทีม ขณะที่คู่หูโอเวนและเฮสกีย์เข้าคู่กันได้อย่างน่าประทับใจ
แต่รางวัลใหญ่ที่สำคัญที่สุดสำหรับลิเวอร์พูลอาจจะเป็นการคว้าอันดับ 3 ได้ไปยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรก ซึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญอยู่ที่ลูกฟรีคิกในช่วงทดเวลาบาดเจ็บในเกมกับเอฟเวอร์ตัน ที่แม็คคัลลิสเตอร์ยิงจากระยะ 35 หลาเข้าไปอย่างสุดมหัศจรรย์
ถึงเวลานั้นทุกคนเชื่อว่าอุลลิเยร์อาจจะใช่คนที่นำทีมไปสู่ความสำเร็จจริงๆ และในฤดูกาลต่อมา 2001-02 ก็เหมือนจะเป็นเช่นนั้นจนกระทั่งในวันที่ 13 ตุลาคม ซึ่งลิเวอร์พูลตามหลังลีดส์ ยูไนเต็ดอยู่ 0-1 ที่แอนฟิลด์ นายใหญ่ชาวฝรั่งเศสเกิดเจ็บหน้าอก
มาร์ค วอลเลอร์ แพทย์ประจำสโมสรทำการตรวจความดันโลหิตและชีพจรทันทีก่อนจะพบว่าอุลลิเยร์กำลังตกอยู่ในอันตราย จึงได้ทำการเรียกรถพยาบาลและนำตัวเขาส่งโรงพยาบาลบรอดกรีน ก่อนจะเข้ารับการผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจเป็นการเร่งด่วน
อุลลิเยร์ได้รับการแจ้งในภายหลังว่าหากเขาเกิดอาการในช่วงหลังจบเกม เขาอาจจะไม่รอดชีวิตเพราะการจราจรจะติดขัดและทุกอย่างจะสายเกินไป
โชคดีที่เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลได้ทันเวลาและการผ่าตัดเป็นไปด้วยดี ขณะที่งานทั้งหมดตกอยู่ในมือของ ‘ธอมโม’ ฟิล ธอมป์สัน ที่ทำหน้าที่แทน และเขาทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมตลอดระยะเวลา 5 เดือนที่อุลลิเยร์ต้องพักรักษาตัว จนทำให้เริ่มมีการพูดถึงว่าบางทีธอมป์สันอาจจะได้งานคุมทีมเป็นการถาวร
แต่แล้วในเกมแชมเปียนส์ลีกในเดือนมีนาคมกับโรมา ซึ่งเป็นเกมสำคัญ อุลลิเยร์ก็กลับมาและการกลับมาของเขาทำให้บรรยากาศในแอนฟิลด์คืน European Nights ขนลุกแบบที่ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน ลิเวอร์พูลเอาชนะโรมาได้ 2-0 และนั่นอาจเรียกได้ว่าเป็นจุดสูงสุดของกุนซือชาวฝรั่งเศสในแอนฟิลด์
อีก 5 วันหลังจากนั้นลิเวอร์พูลเอาชนะเชลซีได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บทำให้ขึ้นนำจ่าฝูงพรีเมียร์ลีก มีแต้มเท่ากับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่มีประตูได้เสียที่ดีกว่าโดยยังเหลือเกมอีก 5 นัด และเดอะ ค็อปเริ่มเชื่อว่า ‘บางทีนี่อาจจะเป็นปีของเรา’
น่าเศร้าที่มันยังไม่ถึงเวลานั้น 10 เกมสุดท้ายของฤดูกาลพวกเขาสะดุดขาตัวเอง ลิเวอร์พูลตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายแชมเปียนส์ลีก เมื่อโดนเลเวอร์คูเซนยิง 2 ประตูในช่วง 7 นาทีสุดท้าย ขณะที่ในลีกแม้พวกเขาจะจบด้วยการมีอันดับดีกว่าแมนฯ ยูไนเต็ดได้เป็นครั้งแรกในยุคพรีเมียร์ลีก แต่พวกเขาก็เป็นได้แค่รองแชมป์รองจากอาร์เซนอล
10 เกมนั้นถูกเรียกขานว่า “อีก 10 เกมแห่งความยิ่งใหญ่” ที่อุลลิเยร์ทำไม่สำเร็จ
และเขาก็ไม่เคยพาทีมกลับไปสู่จุดนั้นได้อีกเลย
ลิเวอร์พูลคว้าโทรฟี่ใบใหญ่ที่สุดของยุโรปได้ตั้งแต่ฤดูกาลแรกภายใต้การคุมของราฟาเอล เบนิเตซ
The Spanish Armada และปาฏิหาริย์ที่อิสตันบูล
หนึ่งในการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดของเชราร์ อุลลิเยร์ คือการปฏิเสธที่จะเซ็นสัญญาถาวรกับนิโกลาส์ อเนลกา ที่ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจหลังยืมตัวมาจากเรอัล มาดริด แต่เลือกจะจ่ายเงิน 10 ล้านปอนด์เพื่อแลกกับเอล-ฮัดจิ ดิยุฟ
ไม่เพียงเท่านั้นยังมี ‘นิว ซีดาน’ บรูโน เชย์รู, ‘นิว วิเอรา’ ซาลิฟ ดิเยา และการคว้าตัวผู้รักษาประตูทีเดียว 2 คนอย่าง เจอร์ซีย์ ดูเด็ก และ คริส เคิร์กแลนด์ เพื่อแทนเวสเตอร์เฟลด์ที่ย่ำแย่ รวมถึง 2 ดาวรุ่งอนาคตไกลของทีมชาติฝรั่งเศสอย่างอองโตนี เลอ ตัลเล็ก และ ฟลอร็องต์-ซินามา ปงโกลล์
แต่ผลงานของลิเวอร์พูลเลวร้ายลง หลังออกตัวด้วยการนำจ่าฝูง 12 นัดแรกพวกเขาไม่ชนะใครติดต่อกัน 11 นัดก่อนจะจบฤดูกาลด้วยการเป็นอันดับที่ 5 ชวดการไปแชมเปียนส์ลีก แม้ว่าจะได้แชมป์ลีกคัพเพิ่มอีกสมัยด้วยการล้มแมนฯ ยูไนเต็ดได้ในรอบรองชนะเลิศก็ตาม
เข้าสู่ฤดูกาล 2003-04 ไม่มีอะไรที่ดีขึ้น ชื่อของอุลลิเยร์กลายเป็นชื่อที่เดอะ ค็อปไม่อยากได้ยิน มีการพ่นกราฟฟิตี้ข้อความขับไล่ Houllier Out ที่กำแพงเมลวูด ก่อนที่การแยกทางจะเกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลโดยของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ ‘ครูใหญ่’ มอบให้คือตั๋วไปแชมเปียนส์ ลีกจากการจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 4
และการนำปลอกแขนกัปตันทีมที่เคยเป็นของซามี ฮูเปียให้แก่เจอร์ราร์ด ผู้ซึ่งต่อมากลายเป็นหนึ่งในกัปตันทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสโมสร
ลิเวอร์พูลถึงคราวต้องหาผู้จัดการทีมคนใหม่และคนที่พวกเขาหมายตาไว้คือโชเซ มูรินโญ กุนซือโนเนมที่กลายเป็นคนดังในชั่วข้ามคืนเมื่อเขานำเอฟซี ปอร์โตบุกมาเอาชนะแมนฯ ยูไนเต็ด ได้และการฉลองประตูในช่วงนาทีสุดท้ายก็เป็นที่โจษจันอย่างมาก
ในวันเดียวกันนั้นเอง ฮอร์เก ไบเดก เอเจนต์ของมูรินโญได้แจ้งกับริก แพร์รี ประธานบริหารของสโมสรลิเวอร์พูลในเวลานั้นว่า ลูกค้าของเขามีความสนใจที่จะรับงานต่อจากอุลลิเยร์
ถึงแม้จะประทับใจในความสามารถแต่ภาพการฉลองของมูรินโญ ทำให้แพร์รีกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่าคนคนนี้จะใช้คนที่เหมาะสมกับการเป็นผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลหรือเปล่า ซึ่งท้ายที่สุดแล้วแพร์รีและเดวิด มัวร์ส ประธานสโมสรตัดสินใจเชื่อในสัญชาตญาณของพวกเขาเองในการเลือกผู้จัดการทีมอีกคนที่น่าจับตามองในเวลาเดียวกันอย่าง ราฟาเอล เบนิเตซ
ถึงแม้จะไม่มี ‘ออร่า’ เหมือนมูรินโญ่ แต่ราฟาก็มีผลงานที่โดดเด่นไม่แพ้กันกับบาเลนเซีย เขาพาทีมคว้าดับเบิลแชมป์ได้ทั้งลาลีกาและยูฟ่าคัพในฤดูกาลนั้น และมีบุคลิกที่นิ่งกว่า ส่วนกุนซือชาวโปรตุเกสตกลงรับข้อเสนอของเชลซีที่ให้เงินค่าตอบแทนมากกว่า, มีงบทำทีมไม่อั้น, ผู้เล่นที่ดีกว่า ก็เป็นการหาทางออกที่ดีสำหรับทุกฝ่าย
สำหรับผู้เล่นในทีมลิเวอร์พูล ถึงแม้จะไม่ชอบในความเย็นชาของ ‘เอล บอส’ ที่ไม่ได้อบอุ่นใจเหมือนอุลลิเยร์ที่คอยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ แต่ความรู้ในเกมฟุตบอลที่เข้าขั้นปรมาจารย์ของกุนซือชาวสเปนประทับใจผู้เล่นจำนวนมาก
ปัญหาใหญ่คือเขาไม่อาจรั้งและไม่คิดจะรั้งไมเคิล โอเวนเอาไว้ สุดท้ายขายให้เรอัล มาดริดได้เงินแค่ 8 ล้านปอนด์กับปีกของเหลืออย่างอันโตนิโอ นูนเยซ มาแทน แต่ก็ได้ชาบี อลอนโซ่ เพชรเม็ดงามมาจากเรอัล โซเซียดัด ก่อนจะใช้ผู้เล่นเท่าที่มีในการทดลองวิทยาศาสตร์ฟุตบอลของตัวเองไปเรื่อยๆ
ลิเวอร์พูลของราฟาอยู่ห่างไกลจากเชลซีของมูรินโญอย่างมากในเวลานั้น แต่เขาก็ทำในสิ่งที่เหลือเชื่อได้ด้วยการพาทีมผงาดคว้าถ้วยแชมเปียนส์ลีกได้ตั้งแต่ในฤดูกาลแรกของการคุมทีม โดยหลังจากที่สยบมูรินโญและเชลซีของเขาในรอบรองชนะเลิศด้วย ‘ประตูผี’ ของ หลุยส์ การ์เซียแล้ว ลิเวอร์พูลก็สร้างปาฏิหาริย์ให้ปรากฏในนัดชิงชนะเลิศที่อิสตันบูล
ในเกมนั้นลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายตามหลังเอซี มิลานห่างถึง 0-3 เมื่อจบครึ่งแรกและไม่มีแววว่าจะเอาตัวรอดได้ แต่แล้วการจุดประกายของเจอร์ราร์ด – ผู้ที่เป็นคนนำทีมเข้ารอบน็อกเอาต์ได้ด้วยลูกยิงมหัศจรรย์ในเกมกับโอลิมเปียกอส – ก็โหม่งให้ทีมไล่ตีตื้นขึ้นมา ก่อนที่ชาบี อลอนโซ และวลาดิเมียร์ ซมิเซอร์จะทำให้ลิเวอร์พูลตามตีเสมอ 3-3 ได้ภายในระยะเวลาห่างกันแค่ 7 นาที ซึ่งเป็น 7 นาทีที่บ้าคลั่งที่สุดในประวัติศาสตร์
หลังจากนั้นเป็นคิวของเจอร์ซีย์ ดูเด็ก ที่เป็นฮีโร่ในการเซฟทั้งในเกมและในการดวลจุดโทษก่อนจะคว้าโทรฟี่ Big Ears สมัยที่ 5 ซึ่งทำให้ลิเวอร์พูลได้เป็นกรรมสิทธิ์ถ้วยใบนี้ทันที
การได้แชมป์รายการนี้ทำให้พวกเขาได้สิทธิ์ในการเข้าร่วมเล่นถ้วยใบใหญ่อีกสมัย ทั้งๆ ที่จบฤดูกาลด้วยการเป็นอันดับ 5 ตามหลังเอฟเวอร์ตัน โดยที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน และทำให้ยูฟ่าต้องแก้ไขกฎเป็นบทเฉพาะกาลให้ลิเวอร์พูลได้ร่วมแข่งขัน แต่ต้องเริ่มจากรอบคัดเลือกรอบแรกในฤดูกาลถัดไป
อย่างไรก็ดี หลังจากปาฏิหาริย์แห่งอิสตันบูล ลิเวอร์พูลเกือบเสียเจอร์ราร์ดให้กับเชลซี เมื่อพวกเขาล้มเหลวที่จะกล่อมให้กัปตันทีมที่กำลังว้าวุ่นใจเรื่องอนาคตของตัวเองต่อสัญญาใหม่ที่กำลังน้อยใจคิดว่าจะโดนราฟาขายเพื่อทำทุนซื้อผู้เล่น (ซึ่งราฟาปฏิเสธ) จนสุดท้ายประกาศว่าจะย้ายไปเล่นให้กับมูรินโญที่เชลซีด้วยค่าตัว 35 ล้านปอนด์
เพียงแต่ในคืนก่อนการตกลงกับทีมจากลอนดอน เจอร์ราร์ดได้นอนทบทวนอีกครั้งและรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าเขาไม่สามารถจะสวมเสื้อตัวอื่นนอกจากเสื้อของลิเวอร์พูลได้ ทำให้เปลี่ยนการตัดสินใจและต่อสัญญากับทีมออกไปแทนในที่สุด โดยที่เจอร์ราร์ดบอกให้ลิเวอร์พูลถอดเงื่อนไขที่จะให้เขาย้ายทีมได้ด้วยค่าตัวที่ต่ำหากทีมไม่ได้ไปแชมเปียนส์ลีก เพราะเขาไม่ต้องการจะจากทีมไปไหนอีก
เป้าหมายของเจอร์ราร์ดคือการพาทีมทวงแชมป์ลีกกลับมาให้ได้
ในฤดูกาล 2005-06 ราฟาเริ่มดึงผู้เล่นในแบบที่ตัวเองต้องการเข้ามาได้ไม่ว่าจะเป็น โฆเซ เรนา, ดาเนียล แอกเกอร์, โมฮัมเหม็ด ซิสโซโก, เดิร์ค เคาต์ รวมถึงฟาบิโอ ออเรลิโอ, เบาจ์เดอไวน์ เซนเดน, อังเดร โวโรนิน, อัลวาโณ อาร์เบลัว, กาเบรียล ปาเล็ตตา และ ‘สปีดี’ มาร์ค กอนซาเลซ โดยส่วนใหญ่เป็นคนที่พูดสเปนได้ ทำให้ถูกเรียกขานว่า The Spanish Armada หรือกองเรือสเปน
ผลงานของลิเวอร์พูลในลีกดีขึ้น พวกเขาทำได้ถึง 82 คะแนน และจบด้วยการเป็นทีมอันดับ 3 ตามหลังยูไนเต็ดแต้มเดียว แต่ห่างไกลจากเชลซี 9 แต้ม ขณะที่เจอร์ราร์ดพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้ด้วยตัวเองในเกม ‘Gerrard Final’ ด้วยการยิงประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ให้ทีมไล่ตีเสมอเวสต์แฮม 3-3 ก่อนจะชนะไปในการดวลจุดโทษโดยยอห์น อาร์เน รีเซ เป็นคนยิงคนสุดท้าย
ในฤดูกาลต่อมาลิเวอร์พูลเข้าชิงแชมเปียนส์ลีกได้อีกครั้ง และพบกับคู่ปรับเก่าอย่างเอซี มิลาน แต่คราวนี้พวกเขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้บ้างในนัดชิงที่กรุงเอเธนส์ ขณะที่ผลงานในลีกยังยึดที่ 3 เหมือนเดิม แต่ผลงานแย่ลงอย่างสังเกตได้ โดยทำได้เพียงแค่ 68 คะแนนเท่านั้น ห่างจากแชมป์อย่างแมนฯ ยูไนเต็ดถึง 21 คะแนนด้วยกัน
ภายในสโมสรยังมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเมื่อความพยายามในการหาคนมาเทกโอเวอร์ทีมจบลงด้วยการที่เดวิด มัวร์ส ขายหุ้นให้กับทอม ฮิคส์ และจอร์จ จิลเล็ตต์ สองนักธุรกิจกีฬาชาวอเมริกัน ด้วยความหวังว่าทีมจะมีทุนสำหรับการซื้อผู้เล่นใหม่เหมือนที่เชลซีมีเงินสดกดใช้ไม่จำกัดจากโรมัน อับราโมวิช
ในซัมเมอร์ของปี 2007 ลิเวอร์พูล ได้ตัว ‘เอล นินโญ’ เฟร์นานโด ตอร์เรส กองหน้าที่ร้อนแรงที่สุดของลาลีกามาร่วมทีมจากแอตเลติโก มาดริด ด้วยค่าตัว 20 ล้านปอนด์ และกลายเป็นกองหน้าที่ดีที่สุดในยุคมิลเลนเนียลของสโมสร รวมถึงไรอัน บาเบิล และยอสซี เบนายูน
ตอร์เรสผนึกกำลังกับเจอร์ราร์ดได้อย่างยอดเยี่ยม ในฤดูกาล 2007-08 ซึ่งลิเวอร์พูลทำผลงานในลีกได้ดีขึ้นแต่ยังจบที่อันดับ 4 ตามหลังทั้งแมนฯ ยูไนเต็ด ที่เป็นแชมป์อีกสมัย, เชลซี และอาร์เซนอล แต่พวกเขาไม่ยอมแพ้และทำได้ดีที่สุดภายใต้การคุมทีมของราฟา ในฤดูกาล 2008-09
ในฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลที่ดีที่สุดของเอล บอส ในแดนกลางมีอลอนโซประกบคู่กับฮาเวียร์ มาสเคราโน กองกลางตัวรับที่ดีที่สุดในโลกที่ได้ตัวมาแบบมีโชคจากกรณีปัญหากับเวสต์แฮม ยูไนเต็ด ทำให้เจอร์ราร์ดมีอิสระในการขึ้นไปเล่นกับตอร์เรสในแดนบน โดยที่มีเคาต์และเบนายูน รวมถึงบาเบิลเป็นสีสันทางริมเส้น
เข้าสู่เดือนมีนาคมลิเวอร์พูลกำลังร้อนแแรงถึงขีดสุด พวกเขาถล่มเรอัล มาดริดยับเยินที่แอนฟิลด์ 4-0 ในเกมแชมเปียนส์ลีก ก่อนจะบุกไปต้อนแมนฯ ยูไนเต็ดถึง 4-1 ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในเกมที่เป็นฝันร้ายของเนมันยา วิดิช ตามด้วยการยิงประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของยอสซี เบนายูน ในเกมกับฟูแลม
สถานการณ์ตอนนั้นลิเวอร์พูลตามหลังยูไนเต็ดแค่ 2 คะแนน แม้ว่าจะลงเล่นมากกว่า 2 นัด แต่เจมี คาร์ราเกอร์ยอมรับว่าพวกเขารู้สึกว่า ‘มันอาจจะเกิดขึ้น’
โดยเฉพาะในเกมที่ยูไนเต็ดตามหลังแอสตัน วิลลาอยู่ 2-1 ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด และเหลือเวลาอีกแค่ 10 นาที ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แฟนลิเวอร์พูลเริ่มฝันถึงสิ่งที่พวกเขาห่างหายมานานเกือบ 20 ปี แต่สุดท้ายมันก็กลายเป็นแค่ฝันลมๆ แล้งๆ เมื่อคริสเตียโน โรนัลโด ตีเสมอให้แมนฯ ยูไนเต็ด ก่อนที่ดาวรุ่งอย่างเฟเดริโก มาเคดา จะลงสนามมายิงประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
ชัยชนะในเกมนี้ทำให้โมเมนตัมกลับไปสู่แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งสุดท้ายคว้าแชมป์ไปครองโดยทำได้ 90 คะแนน เหนือกว่าลิเวอร์พูลที่ทำได้ 86 คะแนน – มากที่สุดในยุคของราฟา และดีที่สุดเท่าที่เขาจะพาทีมมาได้
แชมป์สมัยนี้ของยูไนเต็ดยังทำให้พวกเขาขยับในทำเนียบแชมป์รวมเท่ากับลิเวอร์พูลที่ 18 สมัย และทำให้เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เข้าใกล้การทำสิ่งที่เขาเคยลั่นวาจาเอาไว้ว่า “จะเขี่ยลิเวอร์พูลให้ตกลงจากภู” ได้สำเร็จ
รอย ฮอดจ์สัน กับช่วงเวลาแสนสั้นในแอนฟิลด์ เป็นบทเรียนในการแต่งตั้งผู้จัดการทีมแบบผิดฝาผิดตัวที่สุด
ยุคมืดมนอนธการ
ก่อนจะเริ่มฤดูกาล 2009-10 เฟอร์กูสันถือโอกาสยิงกระสุนปืนใหญ่ถล่มแอนฟิลด์อีกรอบ “ลิเวอร์พูลเพิ่งจะมีฤดูกาลที่ดีที่สุดของพวกเขาในรอบเกือบ 20 ปี ทำได้ 86 คะแนนแต่ยังจบฤดูกาลด้วยการแพ้ไป 4 คะแนน มันคงเป็นการยากที่จะทำได้ดีแบบนี้อีก ไม่ต้องคิดถึงการจะทำให้ดีขึ้นอีก ทีมอื่นๆ จะรู้ทางลิเวอร์พูลมากขึ้นในฤดูกาลนี้”
สิ่งที่ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดพูดกลายเป็นความจริง ลิเวอร์พูลเริ่มต้นฤดูกาลได้อย่างเลวร้าย พวกเขาแพ้ 2 จาก 5 นัดแรก และเมื่อผ่าน 11 นัดแรกไปพวกเขาแพ้ถึง 5 นัด นอกจากนี้ยังตกรอบแบ่งกลุ่มแชมเปียนส์ลีก
ปัญหานั้นไม่ได้อยู่แค่ในสนาม แต่ลุกลามมาจากด้านบนเมื่อเจ้าของสโมสรอย่างฮิคส์ และจิลเล็ตต์ไม่ได้ทำตามคำสัญญา ทำให้ผู้จัดการทีมอย่างราฟาประสบปัญหาอย่างหนัก เอล บอสพลาดมหันต์ตั้งแต่เมื่อปีกลายที่ต้องการจะขายชาบี อลอนโซเพื่อหาทุนสำหรับการซื้อแกเร็ธ แบร์รี แต่จบที่กองกลางชาวสเปนได้อยู่ต่อไปและไม่ได้แบร์รีมาร่วมทีม
สุดท้ายเมื่อจบฤดูกาล 2008-09 อลอนโซตัดสินใจอำลาทีม และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความเสื่อมในทีมของเบนิเตซ
‘Il Principino’ หรือเจ้าชายน้อย อัลแบร์โต อาควิลานี ถูกดึงตัวมาเพื่อทดแทนอลอนโซ แต่เขาทำไม่ได้ตามความคาดหวังแม้แต่หนึ่งในร้อยส่วน ขณะที่ เกล็น จอห์นสัน แม้จะเป็นแบ็กขวาดีกรีทีมชาติอังกฤษแต่ก็ไม่ใช่คนที่ทีมต้องการที่สุดในเวลานั้น และปัญหาของลิเวอร์พูลความจริงปรากฏให้เห็นตั้งแต่ช่วงพรีซีซันแล้ว
สุดท้ายฤดูกาล 2009-10 กลายเป็นฤดูกาลที่เลวร้ายที่สุดของราฟากับลิเวอร์พูล ทีมจบที่อันดับ 7 และทำให้นักเตะระดับเวิลด์คลาสอย่างมาสเคราโน, ตอร์เรส รวมถึงเจอร์ราร์ด เริ่มตั้งคำถามกับอนาคตของตัวเองกับทีม โดยคนแรกตัดสินใจไปหาอนาคตที่ดีกว่ากับบาร์เซโลนา แต่สองคนหลังยังอยู่
แต่คนที่ไม่มีโอกาสตั้งคำถามอีกคือราฟา ที่ต้องแยกทางจากสโมสรเมื่อจบฤดูกาลนั้นด้วยคำว่า ‘Mutual Consent’ หรือการยินยอมร่วมกัน แม้ในทางปฏิบัตินั้นจะไม่ใช่เลย
รอย ฮอดจ์สันได้รับโอกาสในการคุมทีมลิเวอร์พูลเป็นคนต่อมา และกลายเป็นผู้จัดการทีมที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของสโมสร โดยหนึ่งในเกมแห่งความทรงจำที่ยากจะลืมคือวันที่แบล็คพูลบุกมาเอาชนะได้ที่แอนฟิลด์ 2-1 โดยหนึ่งในผู้ทำประตูคือชาร์ลี อดัม
ในช่วงก่อนหมดเวลาของเกมนั้นเสียงเดอะ ค็อปดังขึ้นกระหึ่ม ในยามที่คิดถึงใครไม่ออกคนเดียวที่พวกเขายังเหลือในเวลานั้นคือเคนนี ดัลกลิช
เพื่อความยุติธรรมต่อฮอดจ์สัน ลิเวอร์พูลนอกจากจะเสียมาสเชราโน ตัวหลักอย่างแอกเกอร์, เจอร์ราร์ด และตอร์เรสมีปัญหาสภาพร่างกาย ขณะที่นักเตะใหม่อย่างมิลาน โยวาโนวิช, คริสเตียน โพลเซน, พอล คอนเชสกี รวมถึงโจ โคล ที่ได้ตัวมาฟรีๆ เองเป็นการซื้อที่ล้มเหลวทั้งสิ้น
แต่การที่แพ้ต่อสโต๊ก ซิตี้ โดยมีเปอร์เซ็นต์การครองบอลแค่ 36% และอีกหลายสถิติที่บ่งชี้ว่าหากให้ฮอดจ์สันคุมทีมต่อไปลิเวอร์พูล อาจจะต้องหนีตกชั้นทำให้สุดท้ายแล้วทีมจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงเป็นการเร่งด่วน
และโชคดีสำหรับลิเวอร์พูลที่พวกเขาได้เจ้าของสโมสรใหม่ก่อนแล้ว เมื่อกลุ่ม New England Sports Venture (NESV) ที่ต่อมาเปลี่ยนเป็นชื่อกลุ่ม Fenway Sports Group (FSG) เข้ามาซื้อกิจการของสโมสรได้ทันเวลาก่อนเส้นตายพอดี
โดยในวันที่ 13 ตุลาคม – 48 ชั่วโมงก่อนหน้าที่ลิเวอร์พูลถึงกำหนดจะต้องชำระหนี้จำนวน 237 ล้านปอนด์ต่อรอยัล แบงค์ ออฟ สกอตแลนด์ – ศาลสูงลอนดอนตัดสินว่าฮิคส์และจิลเล็ตต์ไม่มีสิทธิ์ขัดขวางการเข้ามาซื้อกิจการของกลุ่มทุนใหม่ ซึ่งมาร์ติน บรอฟตัน ที่ถูกมอบหมายหน้าที่ในการหาผู้เข้ามาซื้อลิเวอร์พูลตอบรับข้อเสนอ 476 ล้านดอลลาร์สหรัฐไปก่อนหน้านี้
นั่นเท่ากับลิเวอร์พูลสลัดสองเจ้าของสโมสรที่สุดเลวร้ายได้ และกลุ่มเจ้าของใหม่รู้ดีว่าพวกเขาปล่อยให้ฮอดจ์สันทำงานต่อไปนานไม่ได้
เพราะจากนัดแรกที่จอห์น เฮนรี และทีมงานได้มาชมเกมเมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี ที่กูดิสัน ปาร์ค ซึ่งลิเวอร์พูลแพ้ต่อเอฟเวอร์ตัน 2-0 ทำให้ทีมตกอยู่ในโซนตกชั้น ซึ่งในวันนั้นแฟนบอลเอฟเวอร์ตันรายหนึ่งตะโกนบอกกับเฮนรีว่า “จอห์น คุณซื้อผิดทีมแล้ว” มันไม่ใช่ความประทับใจแรกที่ดีสำหรับฮอดจ์สัน
ท้ายที่สุด – หลังการรอคอยที่จะชดใช้สิ่งที่ตัวเองทำด้วยการทิ้งทีมไปเมื่อ 20 ปีก่อนหน้า – ดัลกลิชตกลงรับข้อเสนอในการคุมทีมลิเวอร์พูลอีกครั้ง ท่ามกลางความยินดีของเดอะ ค็อปที่ได้ต้อนรับ ‘คิง’ กลับมาสู่แอนฟิลด์ในเดือนมกราคม 2011
เคนนี ดัลกลิช ได้โอกาสกลับมาคุมทีมอีกครั้งแทนที่ของฮอดจ์สัน เป็นการชดเชยให้สโมสร
แม้จะต้องเจอความท้าทายเมื่อต้องเสียเฟร์นานโด ตอร์เรสให้กับเชลซี ในวันสุดท้ายก่อนตลาดการซื้อขายจะปิดตัวลงแต่เขาก็ได้หลุยส์ ซัวเรซ และแอนดี แคร์โรลล์ มาทดแทนในวันเดียวกัน ขณะที่นักเตะอย่างเดิร์ค เคาต์ กลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง รวมถึงราอูล เมยเรเลส และมักซี โรดริเกซ เองก็เริ่มปรับตัวได้
ดัลกลิชยังให้โอกาสดาวรุ่งอย่าง มาร์ติน เคลลี, จอน ฟลานาแกน และเจย์ สเปียริง ได้แจ้งเกิดด้วย และวันคืนดีๆ ก็เริ่มกลับมาที่แอนฟิลด์อีกครั้ง โดยแม้จะจบฤดูกาลด้วยการเป็นอันดับ 6 แต่เมื่อคิดถึงช่วงเวลาของการลุ้นหนีตกชั้นแล้ว รางวัลของดัลกลิชกับการได้สัญญาถาวรถือว่าเหมาะสม
เพียงแต่เมื่อเข้าสู่การคุมทีมแบบเต็มตัวในฤดูกาล 2011-12 แม้ดัลกลิชจะนำลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกคัพได้ด้วยการเอาชนะคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ อย่างหวุดหวิดในการดวลจุดโทษ และเป็นแชมป์รายการแรกในรอบ 6 ปี แต่ในพรีเมียร์ลีกพวกเขาทำได้เลวร้ายหนักขึ้นอีก
ลิเวอร์พูลเริ่มต้นฤดูกาลได้อย่างน่าสนใจ แต่หลังจากนั้นก็มีปัญหากับการเสมอบ่อยเกินไป ก่อนที่ในช่วงครึ่งฤดูกาลหลังพวกเขาจะแพ้ถึง 11 จาก 19 นัด ก่อนจะจบด้วยอันดับที่ 8
เมื่อจบนัดชิงเอฟเอคัพ ซึ่งพวกเขาพ่ายต่อเชลซีที่เหนือกว่าอีกหลายระดับ ดัลกลิชถูกเรียกตัวไปพบกับผู้บริหารที่บอสตันเป็นการด่วน ก่อนที่จะได้รับแจ้งว่าเขาถูกปลด
หลังพ่ายต่อเชลซีคาแอนฟิลด์ ต่อด้วยการโดนคริสตัล พาเลซไล่ตามตีเสมอได้ 3-3 ทั้งที่นำไปก่อน 3-0 ทำให้ลิเวอร์พูลหมดหวังจะคว้าแชมป์สมัยแรก และทำให้หลุยส์ ซัวเรซไม่สามารถสะกดกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป
Make Us Dream
จากตำนานแห่งแอนฟิลด์ FSG ตัดสินใจว่าพวกเขาต้องการจะสร้างทีมในระยะยาว และคนที่จะร่วมงานกับพวกเขาได้จะต้องเป็นคนที่เกิดมาเพื่ออนาคต
โรแบร์โต มาร์ติเนซ เป็นหนึ่งในคนที่ถูกสื่อพบว่าเดินทางไปสัมภาษณ์กับกลุ่มเจ้าของสโมสรที่สหรัฐอเมริกา แต่สุดท้ายเป็นเบร็นแดน ร็อดเจอร์ส ผู้จัดการทีมน้องใหม่ไฟแรงที่แจ้งเกิดกับการสร้างสวอนซีให้กลายเป็นทีมที่เล่นฟุตบอลได้สวยงามที่สุดในอังกฤษจนได้รับสมญานามว่า ‘สวอนซีโลนา’ ที่ได้รับงาน
ทั้งๆ มีวัยมากกว่าเจอร์ราร์ดแค่ 7 ปี แต่ร็อดเจอร์สชนะใจ FSG ด้วยแนวทางและคำมั่นในการจะสร้างลิเวอร์พูลด้วยปรัชญาการเล่นฟุตบอลสมัยใหม่ในแบบของเขา (ซึ่งนำสวอนซี ซิตี้ชนะลิเวอร์พูลได้ด้วย) โดยไม่จำเป็นต้องมีผู้อำนวยการเทคนิคมาครอบอีกที – ซึ่งเดิมคนที่ถูกทาบทามคือ หลุยส์ ฟาน ฮาล ปรมาจารย์ลูกหนังชาวดัตช์ – โดยที่เขายินดีที่จะทำงานร่วมกับทีมงานในการจัดหาผู้เล่นที่เรียกว่า Transfer Committee ด้วย
ร็อดเจอร์สเปิดตัวกับลิเวอร์พูลได้น่าสนใจด้วยสารคดีชุด Being Liverpool ที่เจาะลึกถึงเรื่องราวแง่มุมต่างๆ ของสโมสรในแบบที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน (และในเวลาต่อมาเจอร์เกน คล็อปป์ยืนยันว่าหากทีมจะให้มีการถ่ายทำแบบนี้เขาก็พร้อมลาออกทันที)
ซีนที่ถูกจดจำอย่างมากคือซีนที่ร็อดเจอร์สชูจดหมายที่มีชื่อของคนที่น่าผิดหวังที่สุดในทีมที่จะถูกเปิดเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล – มากพอๆ กับภาพมาดนักซิ่งของเอียน แอร์ ผู้บริหารคนสำคัญที่ก้าวเข้ามาแทนที่ของคริสเตียน เพิร์สโลว์ ที่ต้องอำลาตำแหน่งเซ่นให้กับการซื้อผู้เล่นที่ล้มเหลวหลายรายในช่วงแรกที่ FSG เข้ามาบริหารสโมสร
อย่างไรก็ดี ผลงานในสนามของลิเวอร์พูลภายใต้ร็อดเจอร์ในช่วงแรกไม่น่าจดจำนัก ใน 11 นัดแรกพวกเขาชนะแค่ 2 นัด แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็เริ่มพอมองเห็นสัญญาณบวก โดยเฉพาะหลังการได้ตัวฟิลิปเป คูตินโญ มาจากอินเตอร์ มิลาน และดาเนียล สเตอร์ริดจ์ จากเชลซีด้วยค่าตัวรวมกันแค่ 20.5 ล้านปอนด์ในช่วงตลาดฤดูหนาวปี 2013
ร็อดเจอร์สยังปรับบทบาทของเจอร์ราร์ดที่กำลังโรยราในวัย 32 ปีด้วยการถอยลงมาเล่นเป็น ‘ควอเตอร์แบ็ก’ หรือบท Deep-lying Playmaker ที่ทำเกมจากแนวลึกแทนโดยให้จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ไอ้หนูที่เคยถูกตัดสินว่าหมดอนาคตและจะให้ฟูแลมยืมตัวแต่ปฏิเสธจะหนีไปและขอสู้ในแอนฟิลด์ เป็นลูกหาบคอยทำงานหนักที่สตีวี-จี ไม่มีแรงจะทำ
จบฤดูกาลแรกของร็อดเจอร์ส ลิเวอร์พูลจบอันดับที่ 7 แต่เริ่มพอเห็นเค้าลางของการพัฒนาที่น่าสนใจในระยะยาว
เพียงแต่สำหรับเจอร์ราร์ด เขาเริ่มถอดใจกับความฝันที่จะได้แชมป์ลีกสักครั้งแล้ว
แต่ชีวิตคนเรานั้นบางครั้งโอกาสก็เข้ามาแบบไม่ทันรู้ตัว – เมื่อเข้าสู่ฤดูกาล 2013-14 ลิเวอร์พูลซึ่งมีปัญหาตั้งแต่ก่อนออกสตาร์ทฤดูกาล เมื่อหลุยส์ ซัวเรซต้องการจะย้ายออกจากแอนฟิลด์ โดยมีอาร์เซนอลพร้อมใช้เงื่อนไขในการฉีกสัญญาด้วยการยื่นข้อเสนอมากกว่า 40 ล้านปอนด์
เพียงแต่ข้อเสนอ 40 ล้านกับอีก 1 ปอนด์ของอาร์เซนอลกลายเป็นหมันเมื่อทางด้าน FSG ไม่ยอมรับข้อเสนอดังกล่าวและบอกด้วยว่าไม่รู้กันเนอร์ส “ไปเมากาวมาจากไหน” ทำให้ซัวเรซเกิดอาการต่อต้านสโมสรอย่างรุนแรง รวมถึงในระหว่างการเดินทางมาทัวร์ประเทศไทยเมื่อปี 2013 ที่สีหน้าหงิกงอเหมือนเด็กไม่พอใจตลอดทั้งทริป
เป็นเจอร์ราร์ดกัปตันทีมที่สร้างความประทับใจให้แฟนบอลชาวไทยและทั่วโลกด้วยการลงมาตั้งโต๊ะแจกลายเซ็นให้แก่แฟนๆ ที่มาเฝ้ารอในระหว่างการมาทัวร์ประเทศไทย ที่ใช้ความอาวุโสเข้าไปจัดการเกลี้ยกล่อมซัวเรซ
เจอร์ราร์ดบอกกับดาวยิงอุรุกวัยในวันนั้นว่าขอให้อยู่ช่วยลิเวอร์พูลต่อไปอีกหนึ่งฤดูกาลก่อน หลังจากนั้นเมื่อจบฤดูกาลแล้วอยากจะไปไหนก็ไปเถิด
คำพูดของเจอร์ราร์ดนำไปสู่สิ่งมหัศจรรย์ในฤดูกาล 2013-14 เมื่อลิเวอร์พูลกลายเป็นทีมที่ร้อนแรงราวกับลาวาภูเขาไฟ ภายใต้การนำของซัวเรซ, สเตอร์ริดจ์ และคูตินโญ รวมถึงราฮีม สเตอร์ลิง พวกเขาทำประตูได้อย่างถล่มทลายจนแทบจะเห็นสกอร์ 4-1, 4-0, 5-1, 4-1, 5-0, 5-1, 3-2, 4-3, 6-3, 4-0 เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ
ชัยชนะ 4-0 เหนือสเปอร์สในช่วงปลายเดือนมีนาคม ต่อด้วยเกมที่ตึงเครียดกับเวสต์แฮมทำให้ลิเวอร์พูลควบคุมโชคชะตาทุกอย่างอยู่ในมือแล้ว พวกเขาได้เปรียบแมนฯ ซิตี้ และเชลซีโดยเหลือแค่ 5 นัดเท่านั้นจะจบฤดูกาล
จากนั้นเมื่อถึงเกมที่ซิตี้มาเยือนแอนฟิลด์ – 2 วันก่อนครบ 25 ปีเหตุการณ์ที่ฮิลส์โบโรห์ – บรรยากาศของเกมเป็นเหมือนความฝัน ป้ายผ้า Make Us Dream กลายเป็นคำขวัญของลิเวอร์พูลในช่วงเวลานั้น ซึ่งท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็เอาชนะคู่ปรับสุดแกร่งได้อย่างสุดมัน 3-2 จากประตูชัยในช่วงท้ายเกมของคูตินโญ
หลังจบเกมนั้นเจอร์ราร์ดซึ่งเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านแต่พยายามสะกดไว้ได้เรียกลูกทีมทุกคนมารวมตัวกันก่อนจะบอกกับทุกคนว่า “We don’t let this slip, we go again!” หรือ “อย่าปล่อยให้มันหลุดลอยไปเด็ดขาด เราจะต้องลุยกันต่อไป!”
ลิเวอร์พูลชนะนอริช ซิตี้ได้ในเกมต่อไป 3-2 และทำให้พวกเขาต้องการอีกแค่ 7 คะแนนจาก 3 นัดที่เหลือเพื่อการเป็นแชมป์
แต่แล้วความฝันทุกอย่างก็ทลายลง และคนที่ทำลายทุกอย่างด้วยการ Slip หรือลื่นเพียงครั้งเดียวคือตัวของเจอร์ราร์ดเองที่พลาดในช่วงปลายครึ่งแรกของเกมรับมือเชลซีที่แอนฟิลด์ สุดท้ายเป็นเดมบา บาที่ยิงประตูนำก่อนที่ลิเวอร์พูลจะแพ้ไปในเกมนั้น 0-2 ทั้งๆ ที่ได้พยายามโหมบุกกระหน่ำแล้วตลอดทั้งเกม
เกมนัดนั้นนอกจากการลื่นของเจอร์ราร์ดแล้วยังมีการพูดถึงความอ่อนประสบการณ์ของร็อดเจอร์สที่ซื่อตรงเกินไปในการพยายามบุกใส่เชลซี ทั้งๆ ที่หากเล่นอย่างรัดกุมก็อาจจะได้อย่างน้อย 1 คะแนน และไปชนะ 2 นัดสุดท้ายกับคริสตัล พาเลซ และนิวคาสเซิล ยูไนเต็ดแทน
สถานการณ์ในขณะนั้นคือลิเวอร์พูลมีประตูได้เสียเป็นรองซิตี้ถึง 9 ลูก แต่พวกเขายังไม่ยอมแพ้ มีการพูดถึงการยิงประตูเฉลี่ยให้ได้มากๆ เช่น การชนะพาเลซ 5-0 หรือ 6-0 เพื่อลดช่องว่างลง และพวกเขาก็ชวนให้คิดเช่นนั้นเมื่อขึ้นนำไปก่อนถึง 3-0 ที่เซลเฮิร์สท์ ปาร์ค
แต่ในช่วง 11 นาทีสุดท้ายของเกมฝันร้ายก็มาเยือนอีกครั้ง เมื่อพาเลซไล่ตีเสมอได้ 3-3 เป็นการปิดฉากขุดหลุมฝังตัวเองอย่างน่าเศร้า หลุยส์ ซัวเรซร้องไห้อย่างไม่อายใครหลังเกมจบลง โดยมีเจอร์ราร์ดที่เข้ามาปลอบใจทั้งๆ ที่ตัวเองก็หัวใจสลายไม่แตกต่างกัน
ลิเวอร์พูลเข้าใกล้แชมป์ได้มากที่สุดเพียงแค่นี้ และการรอคอยนั้นผ่านมาถึง 24 ปีแล้ว
หลังได้รับการทาบทาม คล็อปป์ตัดสินใจไม่นานก่อนจะรับข้อเสนอคุมทีมลิเวอร์พูล ด้วยเหตุผลที่ภรรยาของเขาคิดว่าเป็นความคิดที่ดี
ผู้ชายธรรมดาที่ไม่ธรรมดาจากป่าดำ
ความฝันที่หลุดลอยไปทำให้ลิเวอร์พูลเหมือนคนที่มีแค่ร่างกายแต่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ
พวกเขาเสียซัวเรซไปให้กับบาร์เซโลนา โดยที่ได้ริกกี แลมเบิร์ต กับมาริโอ บาโลเตลลี มาทดแทน แต่โชคร้ายยังไม่จบสำหรับเบร็นแดน ร็อดเจอร์ส เมื่อดาเนียล สเตอร์ริดจ์ ที่ผนึกกำลังกับซัวเรซและสเตอร์ลิงในนาม SSS ประสบปัญหาอาการบาดเจ็บรังควานมาโดยตลอด
ทุกอย่างนำไปสู่ความตกต่ำอย่างรวดเร็วของลิเวอร์พูลอีกครั้ง – ไม่ต่างจากในฤดูกาล 2002-03 และ 2009-10 ที่พวกเขาร่วงหล่นอย่างน่าใจหายหลังการเป็นรองแชมป์ – ลิเวอร์พูลจบฤดูกาลด้วยการเป็นทีมอันดับ 6
ทั้งๆ ที่มีการเสริมทัพด้วยผู้เล่นมากมายทั้ง ฆาเบียร์ มานกีโย แบ็กขวาที่ยืมตัวจากแอตเลติโก มาดริด, อัลแบร์โต โมเรโน แบ็กซ้ายจอมบุกจากเซบียา, เดยัน ลอฟเรน จากเซาแธมป์ตัน, เอ็มเร ชาน กองกลางอนาคตไกลของเยอรมนี, อดัม ลัลลานา จอมทัพนักบุญ, ลาซาร์ มาร์โควิช ปีกทีมชาติเซอร์เบีย และดิวอค โอริกิ แต่ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น
สิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นคือการที่เจอร์ราร์ดมองไม่เห็นอนาคตของตัวเองในทีมของร็อดเจอร์สอีกต่อไป ทำให้กัปตันทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุคตัดสินใจที่จะโบกมือลาหลังจบฤดูกาล และทำให้นับตั้งแต่การประกาศว่าจะไม่ต่อสัญญากับทีมในช่วงกลางฤดูกาลไปจนจบฤดูกาล ไม่ต่างอะไรจากการเดินสายเพื่อบอกลาของสตีวี-จี
เพียงแต่การจากลาของเจอร์ราร์ดนั้นไม่ได้งดงามแบบที่ควรจะเป็น แม้บรรยากาศในวันบอกลาที่แอนฟิลด์จะเต็มไปด้วยสีสันสดใสที่สโมสรและแฟนบอลเตรียมไว้ให้ แต่ผลงานในสนามนั้นเป็นไปในทางตรงกันข้าม ลิเวอร์พูลแพ้พาเลซคาแอนฟิลด์ 1-3 ก่อนจะโดนสโต๊คถล่มแบบไม่ไว้หน้าเจอร์ราร์ดอีก 1-6 แม้ว่ากัปตันผู้ยิ่งใหญ่จะยิงประตูสุดท้ายกู้หน้าให้ทีมได้เล็กน้อยก็ตาม
เจอร์ราร์ดจากไปพร้อมกับความเคียดแค้นของแฟนบอลที่มีต่อร็อดเจอร์สและผู้บริหาร
ขณะที่สโมสรพยายามที่จะกู้ทีมกลับมา แต่การเสริมทัพด้วยนักเตะอย่างโจ โกเมซ, เจมส์ มิลเนอร์, โรแบร์โต เฟียร์มิโน และคริสติย็อง เบนเตเก ยังไม่ดีพอที่จะทำให้ทีมกลับมาได้
8 นัดหลังเริ่มฤดูกาล 2014-15 ร็อดเจอร์สได้รับข่าวร้ายหลังจบเกมเมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บีที่เสมอกับเอฟเวอร์ตัน 1-1 ว่าถึงเวลาที่เขาต้องไปแล้ว
โดยคนที่เข้ามาแทนที่นั้นเป็นหนึ่งในโค้ชที่เก่งและได้รับการยกย่องมากที่สุดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งเป็นคนที่ FSG พิจารณาเป็นอย่างดี รวมถึงได้มีการพูดคุยถึงแนวทางการทำงาน ปัญหาต่างๆ ซึ่งทุกอย่างประจวบเหมาะด้วยเป็นอย่างดี
‘ผู้ชายธรรมดาจากป่าดำ’ เจอร์เกน คล็อปป์ ตกลงที่จะรับงานคุมทีมลิเวอร์พูล เพียง 5 เดือนหลังจากที่เขาสิ้นสุดช่วงเวลา 8 ปีในทีมโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์
ภารกิจแรกที่คล็อปป์ประกาศคือการเปลี่ยนแปลงลิเวอร์พูลจากทีมที่เต็มไปด้วยความสงสัยในตัวเองให้กลับมาเป็นทีมที่เชื่อมั่นในตัวเองให้ได้อีกครั้ง
และเขาทำได้แม้จะต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมากก็ตาม
ย้อนกลับไปในการแถลงข่าวเปิดตัวผู้จัดการทีมคนใหม่ แม้ว่านักข่าวจะได้ประโยคเด็ดสำหรับการพาดหัวว่า ‘The Normal One’ จากคำถามที่มีคนชงให้เปรียบเทียบระหว่างเขากับ ‘The Special One’ โชเซ มูรินโญ แต่สิ่งที่ถูกจดจำมากกว่าจนถึงทุกวันนี้คือคำตอบของคล็อปป์ เกี่ยวกับสิ่งที่เขามองเห็นในทีมลิเวอร์พูลในเวลานั้น
“จากที่ผมมองจากภายนอก” คล็อปป์กล่าว “พวกเขา (แฟนบอลและนักฟุตบอล) ดูจะมีความวิตกกังวลมากเกินไป บรรยากาศในสนามนั้นดีแต่ไม่มีใครที่รู้สึกสนุกจริงๆ นั่นคือสิ่งที่ผมอยากจะสื่อถึงในตอนที่ผมพูดว่าเราจำเป็นที่จะต้องเริ่มต้นกันใหม่ เราต้องเปลี่ยนจากคนที่สงสัยให้กลายเป็นคนที่เชื่อมั่น”
แค่ประโยคเดียวของคล็อปป์ก็แทบจะชนะใจทุกคนได้แล้ว และคนที่พูดเรื่องนี้คือโฆเซ เอ็นริเก อดีตแบ็กซ้ายที่อยู่กับทีมในช่วงเวลานั้น
‘เขาเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง’ คือการสรุปการทำงานของคล็อปป์ในช่วงเวลานั้นอย่างกระชับที่สุด
ในสนามคล็อปป์บอกกับลูกทีมทุกคนถึงสไตล์การเล่นของเขาที่ถูกเรียกกันว่า ‘Heavy Metal Football’ หรือสไตล์การเล่นฟุตบอลที่ดุดันเร้าใจ แต่ในความดุดันนั้นไม่ใช่การวิ่งลงไปไล่บอลเฉยๆ แต่มีรายละเอียดในการเล่นมากมาย
เจมส์ มิลเนอร์ นักฟุตบอลผู้มากประสบการณ์และมีไหวพริบสูงที่สุดคนหนึ่งยอมรับว่าการเล่นของคล็อปป์ “ซับซ้อนมากกว่าที่ใครหลายคนจะจินตนาการ คนอาจจะคิดแค่ว่ามันคือการลงไปแล้วเพรสซิ่งคู่แข่งให้เหมือนคนบ้า แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่แบบนั้นเลย ผมไม่รู้ว่าจะมีทีมอื่นที่ซ้อมหนักขนาดเราไหม ถ้าจะมีใครทำได้ก็ถือว่าดีกับพวกเขาไป”
จากผลเสมอในเกมแรกกับท็อตแนม ฮอตสเปอร์ 0-0 คล็อปป์นำทีมสร้างผลงานที่น่าประทับใจได้พอสมควรในช่วง 2-3 เดือนแรก ไม่ว่าจะเป็นการบุกไปชนะเชลซี 3-1, ถล่มแมนฯ ซิตี้ 4-1 และบุกไปถล่มเซาแธมป์ตันอีก 6-1 ในลีกคัพ โดยสังเกตเห็นได้ถึงรูปแบบและสไตล์การเล่นใหม่ที่ทีมพยายามจะเล่นในตำรับของเขา
แต่นอกสนามแล้วลูกทีมของเขาเอาชนะใจแฟนบอลไม่ได้ ภาพของแฟนบอลที่เดินออกจากสนามในเกมที่พวกเขาพ่ายต่อคริสตัล พาเลซ ซึ่งเป็นเกมแรกที่คล็อปป์ลิ้มรสความพ่ายแพ้ มันยังเป็นเหมือนการตอกย้ำความเจ็บปวดให้แฟนบอลที่ไม่ลืมฝันร้ายวันที่โลกแตกสลายในฤดูกาล 2013-14 ต่อด้วยการแพ้ไปกลับ (รวมถึงเกมนัดสุดท้ายในแอนฟิลด์ของเจอร์ราร์ด) ในฤดูกาล 2014-15 ตั้งแต่เกมยังไม่หมดเวลาทำให้คล็อปป์รู้สึกอะไรบางอย่าง และเขาไม่คิดจะเก็บมันไว้คนเดียว
“ในช่วงเวลานั้น” คล็อปป์กล่าวในการแถลงข่าว “ผมรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างมาก”
ความโดดเดี่ยวในวันนั้นทำให้คล็อปป์ตัดสินใจจะทำอะไรบางอย่าง โดยนอกจากจะเตือนสติแฟนบอลให้อยู่เคียงข้างทีมแล้ว เขาก็ปรับทัศนคติของทีมให้เล่นเพื่อแฟนบอลอีกครั้งด้วยเช่นกัน และในเกมที่ลิเวอร์พูลเกือบจะพ่ายคาแอนฟิลด์อีกครั้งต่อเวสต์ บรอมวิช อัลเบียน แต่ ดิวอค โอริกิ ทำประตูตีเสมอให้ทีมได้ในนาทีที่ 96
หลังจบเกมด้วยผลเสมอ 2-2 คล็อปป์นำลูกทีมเดินไปขอบคุณแฟนๆ ยังอัฒจันทร์ฝั่งค็อป เอนด์ โดยที่ลูกทีมบางคนยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องขอบคุณและฉลองกันด้วยทั้งๆ ที่พวกเขาทำผลงานได้น่าผิดหวังเก็บได้แค่แต้มเดียวจากเกมที่ควรจะเก็บได้ 3 แต้มเพราะเป็นฝ่ายบุกตลอดทั้งเกมแต่พลาดท่าเสียทีแค่ 2 ครั้งและโดนลงโทษ 2 ประตู
ความหมายที่ซ่อนอยู่ในนั้นคือการค่อยๆ ผูกสายสัมพันธ์ระหว่างแฟนบอลและนักเตะเข้าด้วยกันอีกครั้ง เพราะคล็อปป์รู้ว่าด้วยธรรมชาติของลิเวอร์พูล ทีมจะไม่มีวันสร้าง ‘สิ่งที่พิเศษ’ ขึ้นได้เลยหากทั้งสองฝ่ายไม่หลอมรวมความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกัน
และคล็อปป์ทำได้สำเร็จ บรรยากาศในทีมลิเวอร์พูลเริ่มเปลี่ยนแปลงไป แม้ผลงานจะกระท่อนกระแท่นบ้างโดยเฉพาะในลีกที่จบไกลถึงอันดับที่ 8 แต่อย่างน้อยในฤดูกาลแรกของเขาที่แอนฟิลด์คล็อปป์สามารถพาทีมทะลุเข้าชิงฟุตบอลถ้วยได้ถึง 2 รายการ
รายการแรกคือลีกคัพ แม้ว่าจะพ่ายต่อแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของเป๊ป กวาร์ดิโอลา (และเป็นแชมป์แรกของเป๊ปในอังกฤษ) ก่อนจะเข้าชิงยูฟ่ายูโรปาลีกบนเส้นทางที่น่าอัศจรรย์ เพราะพวกเขาผ่านแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเขี่ยโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ตกรอบแบบเหลือเชื่อด้วยประตูชัยจากเดยัน ลอฟเรน ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บในคืน European Night ที่แอนฟิลด์ แม้ว่าสุดท้ายจะเสียทีเซบียาในรอบชิงชนะเลิศก็ตาม
หลังความปราชัยในบาเซิล แม้จะอยู่ในอารมณ์ผิดหวัง แต่คล็อปป์เรียกทุกคนมารวมตัวกันที่ฟลอร์เต้นรำของงานเลี้ยงหลังจบเกม ก่อนจะขอให้ทุกคนกอดคอกันไว้และบอกกับทุกคนว่าลิเวอร์พูลจะเข้าชิงชนะเลิศอีกหลายครั้งแน่นอน ก่อนจะตะโกนว่า “We are Liverpool”
จอห์น สโตนส์ สกัดบอลได้ก่อนบอลจะข้ามเส้นประตู โดยระยะทางขาดไปแค่ 1.12 เซนติเมตร และนั่นคือระยะทางที่ลิเวอร์พูลขาดไปจนไม่ได้แชมป์ในฤดูกาล 2018-19
อันดับที่ 2 ที่ดีที่สุด
คล็อปป์ไม่ได้ผิดคำพูดในวันนั้น ลิเวอร์พูลได้เข้าชิงฟุตบอลถ้วยอีกจริงๆ
จากวันแห่งความผิดหวังที่บาเซิล คล็อปป์ค่อยๆ ต่อจิ๊กซอว์ทีละชิ้นด้วยผู้เล่นที่เขาและ Transfer Committee พิจารณาร่วมกันจากจอร์จินิโอ ไวจ์นาลดุม, โจเอล มาทิป, ซาดิโอ มาเน, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน มาถึงโมฮัมเหม็ด ซาลาห์ และเวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ที่ต้องใช้ความพยายามอย่างสูงในการเจรจากับเซาแธมป์ตันถึง 2 รอบ
โดยย้อนไปในฤดูกาล 2016-17 ลิเวอร์พูลกลับไปยึดพื้นที่แชมเปียนส์ลีกได้อีกครั้งด้วยการเฉือนอาร์เซนอลเพียงแค่แต้มเดียวก่อนจะคว้าอันดับ 4 ได้ ซึ่งเป็นปีที่มาเนเล่นได้อย่างโดดเด่นเป็นพระเอกก่อนจังหวะจะเบรกเพราะอาการบาดเจ็บจนทำให้ทีมทรุดเป็นช่วงหนึ่ง
ขณะที่ฤดูกาล 2017-18 โม ซาลาห์ มา Running down the wing นำลิเวอร์พูลก้าวไปอีกขั้น โดยที่เฟียร์มิโนก็ค้นพบที่ทางของตัวเองด้วยเช่นกันในระบบกองหน้า 3 ตัว และมีคูตินโญเป็นตัวทำเกมที่โดดเด่น รวมถึงการแจ้งเกิดของเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ไอ้หนูดาวรุ่งสเกาเซอร์ที่เป็นมิดฟิลด์แต่ทำได้ยอดเยี่ยมในฐานะแบ็กขวา
ลิเวอร์พูลมีเกมรุกที่ดุดันในปีมหัศจรรย์ของซาลาห์ แต่ในเกมรับแล้วพวกเขายังมีจุดอ่อน ทั้งผู้รักษาประตูคนใหม่อย่างลอริส คาริอุส ที่คล็อปป์ดึงตัวมาไม่สามารถเล่นได้สมกับความคาดหมาย ขณะที่ซิมง มินโญเลต์ แม้จะถูกกระตุ้นจนทำผลงานดีขึ้นแต่ก็ยังไม่ได้มาตรฐานอย่างที่ต้องการ
นั่นทำให้การซื้อตัวฟาน ไดจ์คเป็นสิ่งที่จำเป็น และคล็อปป์คิดว่าลิเวอร์พูลจะพลาดเป็นครั้งที่ 2 ไม่ได้ ทำให้พวกเขาตัดสินใจทุบสถิติโลกของกองหลังคว้ายักษ์ดัตช์มาจากเซาแธมป์ตัน หลังจากที่การเจรจารอบแรก ‘ลั่น’ เพราะออกตัวแรงเกินไปในช่วงซัมเมอร์
การมาของฟาน ไดจ์คช่วยยกระดับเกมของทีมอย่างมีนัยสำคัญ และทำให้ลิเวอร์พูลไปได้ไกลถึงนัดชิงชนะเลิศและพบกับเรอัล มาดริด ที่กรุงเคียฟ แต่มันกลับจบลงด้วยความเจ็บปวดอีกครั้งเมื่อพวกเขาต้องเสียซาลาห์ที่เป็นตัวมหัศจรรย์ของทีมในฤดูกาลนั้นไปตั้งแต่ต้นเกมจากการฟาวล์แบบจงใจของเซร์คิโอ รามอส ที่ทำให้ไหล่ได้รับบาดเจ็บหนัก
ซาลาห์เดินร้องไห้ออกจากสนาม ขณะที่คาริอุสเจอฝันร้ายชั่วชีวิตจากความผิดพลาด 2 ครั้งของเขาที่ทำให้ทีมแพ้แบบน่าเศร้า
แต่ก็เช่นเคย ในวันที่ทุกคนเสียใจกลับปรากฏภาพคล็อปป์กระโดดกอดคอร้องเพลงร่วมกับสตาฟฟ์และแฟนบอลในรุ่งเช้าของวันถัดมา และบอกว่า “พวกเขาจะกลับมาเอาแชมป์อีกให้ได้”
คล็อปป์ทำได้จริงอย่างที่พูด และลิเวอร์พูลก้าวไปสู่การเป็นทีมอีกระดับทันทีที่ได้อลิสซันผู้รักษาประตูชาวบราซิลมาจากโรมา ทำให้จิ๊กซอว์ในทีมครบทุกชิ้น
ลิเวอร์พูลที่จบอันดับ 4 ในฤดูกาล 2017-18 ก้าวมาท้าชิงแชมป์กับแมนฯ ซิตี้ ของเป๊ปที่ทำสถิติแชมป์ 100 แต้มได้อย่างสุดเร้าใจด้วยการขับเคี่ยวชิงไหวชิงพริบกันตลอดฤดูกาล 2018-19 ซึ่งกลายเป็นฟุตบอลพรีเมียร์ลีกฤดูกาลที่ดีที่สุดโดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนสุดท้ายที่ทั้งสองทีมเก็บชัยชนะรวดทุกนัด
ดังนั้น แม้ลิเวอร์พูลจะทำได้ถึง 97 คะแนนซึ่งดีเกินพอจะเป็นแชมป์ในฤดูกาลอื่นๆ และลบคำพูดของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่เคยปรามาศว่าไม่มีทางที่จะทำคะแนนได้สูงเหมือนในฤดูกาล 2008-09 ได้อีก แต่พวกเขาก็เอาชนะซิตี้ที่ได้ 98 คะแนนไม่ได้
ความเสียดายกับการพลาดแพ้ต่อซิตี้ด้วยลูกยิงที่ขาดอีกเพียง 1.12 เซนติเมตรจะข้ามเส้น, การพลาดเสมอเลสเตอร์ในคืนหิมะโปรยที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเสมอเวสต์แฮม, แมนฯ ยูไนเต็ด และเอฟเวอร์ตัน เป็นปมในใจ
เพียงแต่ลิเวอร์พูลก็ลบความผิดหวังได้ไม่น้อยเมื่อพวกเขาเข้าชิงแชมเปียนส์ลีกเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน และเป็นอีกครั้งที่พวกเขาสร้างความมหัศจรรย์ในคืน European Night ด้วยการพลิกสถานการณ์จากการแพ้บาร์เซโลนา 0-3 ที่คัมป์ นู กลับมาแซงเอาชนะได้อย่างเหลือเชื่อ 4-0 ที่แอนฟิลด์ ทั้งๆ ที่ขาดกำลังสำคัญอย่างซาลาห์และเฟียร์มิโน และทำให้เกมนี้กลายเป็นอีกหนึ่งคืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร
พร้อมๆ กับคำขวัญใหม่ที่ชนะใจเดอะ ค็อป ทั่วโลกอย่าง Never Give Up ที่เป็นข้อความบนเสื้อของซาลาห์ ที่ไม่สามารถลงสนามได้เนื่องจากศีรษะได้รับการกระทบกระเทือน
เมื่อได้เข้าชิงอีกครั้ง คราวนี้สิ่งที่ลิเวอร์พูลแตกต่างออกไปจากเดิมคือคราวนี้พวกเขาเรียนรู้จากความเจ็บปวดมามากพอที่จะรู้วิธีเอาชนะคู่ต่อสู้ในนัดชิงชนะเลิศได้ด้วยการเล่นที่แน่นอนและมั่นคง
ลิเวอร์พูลจบฤดูกาล 2018-19 ด้วยการเอาชนะท็อตแนม ฮอตสเปอร์ คว้าโทรฟี่เจ้ายุโรปสมัยที่ 6 มาครอง พร้อมกับกำหนดเป้าหมายสำหรับฤดูกาลใหม่
ต้องทำให้ดีกว่าในฤดูกาลนี้ให้ได้ และนั่นหมายถึงการอยู่เหนือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ให้ได้
ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันคืออาวุธที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ลิเวอร์พูลกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง
การรอคอยที่สิ้นสุดลงแม้จะไม่ใช่อย่างที่ฝันไว้
ความจริงแล้วสิ่งที่เป็นเป้าหมายของลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2019-20 นั้นเป็นเรื่องที่ยากจนแทบไม่น่าจะเป็นไปได้
เพราะด้วยมาตรฐานที่เป๊ปสร้างเอาไว้ให้กับแมนฯ ซิตี้ ทำให้เป็นเรื่องยากที่ทีมอื่นจะไล่ตามได้ทัน แม้กระทั่งลิเวอร์พูลเองก็เหมือนจะผ่านฤดูกาลที่เป็น Now or Never เหมือนเมื่อครั้งที่เบร็นแดน ร็อดเจอร์ส พลาดแชมป์ไปแล้ว
คล็อปป์ยังทำในสิ่งที่แฟนบอลยากจะเข้าใจด้วยการไม่เสริมทีมเพิ่มเติมมากไปกว่าการได้อาเดรียน ผู้รักษาประตูมือสองที่มาแทนมิโญเลต์ กับ 2 ดาวรุ่งอย่างฮาร์วีย์ เอลเลียต และเซปป์ ฟาน เดน เบิร์ก ที่เป็นการลงทุนเพื่ออนาคตมากกว่าปัจจุบัน
แต่เมื่อฤดูกาลเริ่มต้นสิ่งที่เหมือนจะเป็นไปไม่ได้ก็กลับเป็นไปได้เมื่อลิเวอร์พูลไล่เก็บชัยชนะได้เป็นกอบเป็นกำ ทั้งๆ ที่ช่วงต้นฤดูกาลเกิดเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดเมื่อ ซาดิโอ มาเน ไม่พอใจโม ซาลาห์ในเกมกับเบิร์นลีย์จนเป็นเรื่องเป็นราวให้ต้องเคลียร์ใจกันขึ้นมา
แทนที่ความสัมพันธ์จะพังทลาย ทั้งสองก้าวผ่านความรู้สึกเล็กๆ น้อยๆ ได้ด้วยกาวใจอย่างเฟียร์มิโน และคล็อปป์เองที่เรียกมาเคลียร์ทีละคนจนเรื่องจบ โดยระหว่างฤดูกาลทีมยังคว้าแชมป์ยูฟ่าซูเปอร์คัพด้วยการล้มเชลซี และได้แชมป์รายการสโมสรโลกฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพเป็นครั้งแรก
สิ่งเหล่านี้สวนทางกับแมนฯ ซิตี้ ที่เสียหลักตั้งแต่ต้นฤดูกาลจากการบาดเจ็บของอายเมอริก ลาปอร์ต ปราการหลังคนสำคัญในระดับเดียวกับฟาน ไดจ์คที่ต้องพักการเล่นยาวหลายเดือน โดยที่พวกเขาไม่มีผู้นำในสนามอย่างแว็งซองต์ กอมปานีย์ ที่ประกาศอำลาทีมไปเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลที่แล้วพร้อมลูกยิงดับฝันเดอะ ค็อปในเกมกับเลสเตอร์ ทำให้เกมรับกลายเป็นจุดอ่อนทันที
ซิตี้ยังขาดลีรอย ซาเน ที่บาดเจ็บหนักต้องพักเกือบทั้งฤดูกาลตั้งแต่ช่วงพรีซีซัน เมื่อรวมถึงฟอร์มการเล่นที่ตกลงไปของแบร์นาโด ซิลวา และความโรยราของดาบิด ซิลบา, เซร์คิโอ อเกวโร, แฟร์นันดินโญ, นิโกลาส โอตาเมนดี ทำให้พวกเขาพลาดท่าเสียทีเองหลายต่อหลายนัด
ตรงข้ามกับลิเวอร์พูลที่พลิกสถานการณ์ในเกมที่ลำบากได้หลายต่อหลายครั้ง หนึ่งในนั้นคือเกมที่เป็นเหมือนจุดเปลี่ยนสำคัญคือเกมที่พบกับแอสตัน วิลลา ซึ่งทีมพลาดท่าโดนนำไปก่อนที่วิลลา ปาร์ค และไม่ได้ประตูตีเสมอเพียงเพราะ VAR ตัดสินว่า ‘รักแร้’ ของเฟียร์มิโนล้ำหน้า
แต่ในช่วงก่อนหมดเวลา 3 นาที ซาดิโอ มาเนเปิดบอลไปเสาไกลและคนที่เป็นฮีโร่คือคนที่ไม่มีใครคาดคิดอย่างแอนดี โรเบิร์ตสัน ที่เติมขึ้นมาโหม่งพังประตูตีเสมอ ซึ่งกลายเป็นการจุดประกายแรงบันดาลใจให้ทีมและเป็นมาเนที่ทำประตูชัยให้ลิเวอร์พูลชนะไป 2-1 ในเกมนั้น รักษาระยะห่างกับซิตี้ไว้ที่ 6 คะแนนก่อนจะเอาชนะคู่ปรับได้ที่แอนฟิลด์ในเกมต่อมา ทำให้ช่องว่างห่างกันเป็น 9 คะแนน และช่องว่างนั้นก็ถูกขยายออกไปเรื่อยๆ จนถึง 25 คะแนน
แรงผลักดันที่สำคัญของลิเวอร์พูลคือความรู้สึกที่ไม่ต้องการจะแพ้อีกต่อไป นั่นทำให้ไม่ว่าจะยากเย็นขนาดไหนพวกเขาก็พร้อมจะผ่านมันไปให้ได้ จนกระทั่งมาถึงเดือนกุมภาพันธ์ที่ยังไม่แพ้ใครในลีก ก่อนจะตกรอบฟุตบอลถ้วยรายการอื่นๆ ต่อเนื่องโดยนอกจากลีกคัพ ที่ตกรอบไปก่อนเพราะจำเป็นต้องใช้ทีมชุดเยาวชนลงเล่นและแพ้แอสตัน วิลลาขาดลอย พวกเขาพ่ายต่อเชลซีในศึกเอฟเอคัพ
แม้ว่าท้ายที่สุดพวกเขาจะแพ้ต่อวัตฟอร์ด 0-3 ทำให้พลาดโอกาสในการทำสถิติ ‘ไร้พ่าย’ เป็นทีมที่ 2 ในประวัติศาสตร์ แต่เมื่อจบเกมกับบอร์นมัธในวันที่ 7 มีนาคม พวกเขานำโด่งทิ้งห่างซิตี้ถึง 25 คะแนน เก็บได้ 82 จาก 87 คะแนนเต็ม
การตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายแชมเปียนส์ลีก ด้วยเกมปาฏิหาริย์ของแอตเลติโก มาดริด ยิ่งทำให้ลิเวอร์พูลเหลือความหวังเดียวคือการลุยเพื่อคว้าแชมป์ลีกสมัยแรกในรอบ 30 ปีให้ได้ โดยคำถามในขณะนั้นคือพวกเขาจะได้แชมป์เกมไหน จะเป็นแชมป์ที่เร็วที่สุดหรือไม่
เดอะ ค็อปทั่วโลกต่างจองการเดินทางไปลิเวอร์พูล ตั๋วเกมในบ้านนัดสุดท้ายกับเชลซีที่เชื่อว่าจะเป็นวันที่ได้ชูถ้วยแชมป์สนนราคาเท่ากับรถยนต์หนึ่งคัน ขณะที่โรงแรมที่พักในช่วงวันที่ 18 พฤษภาคมซึ่งคาดว่าจะเป็นวันที่ได้แห่ฉลองแชมป์เต็มทั้งเมือง
ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดลงเมื่อโควิด-19 ระบาดหนัก ทำให้เกมพรีเมียร์ลีกต้องพักการแข่งขันเป็นการชั่วคราว ท่ามกลางคำถามใหม่ว่าฟุตบอลจะกลับมาแข่งขันต่อได้หรือไม่ ฤดูกาลนี้จะถูกยกเลิกและเป็นโมฆะหรือเปล่า
หลังการรอคอยนาน 3 เดือน ในที่สุดพรีเมียร์ลีกซึ่งต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายก็สามารถกลับมาทำการแข่งขันต่อได้อีกครั้งในวันที่ 17 มิถุนายน โดยที่ลิเวอร์พูลต้องการอีกเพียงแค่ 6 คะแนนเพื่อเป็นแชมป์ลีกในฤดูกาลนี้
แม้จะทำได้แค่เสมอกับเอฟเวอร์ตัน ในเกมเมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี ด้วยฟอร์มการเล่นที่ไม่ดีนัก แต่เมื่อกลับคืนสู่แอนฟิลด์ในเกมต่อมาพวกเขาเอาชนะ Bogey Team อย่างคริสตัล พาเลซ ได้ด้วยฟอร์มการเล่นที่เด็ดขาด 4-0 แม้จะไม่มีแฟนบอลในสนามเลยแม้แต่คนเดียวก็ตาม ทำให้ต้องการอีกเพียงแค่ 2 คะแนนเพื่อการเป็นแชมป์
ก่อนที่ทุกอย่างจะจบลงเมื่อแมนเชสเตอร์ ซิตี พลาดท่าพ่ายต่อเชลซี ในคืนวันที่ 25 มิถุนายน 2020 ทำให้ลิเวอร์พูลได้กลายเป็นแชมป์ลีกในฤดูกาลนี้ซึ่งเป็นแชมป์ลีกครั้งแรกหลังการรอคอยที่ยาวนานแสนนาน
อาจจะน่าเสียดายที่ความสำเร็จครั้งนี้แฟนบอลไม่มีโอกาสที่จะได้มีส่วนร่วมเลยแม้แต่น้อยเนื่องจากโรคระบาดโควิด-19 ขวางกั้นเดอะ ค็อปจากทีมของพวกเขา แต่คล็อปป์ให้สัญญาว่าทันทีที่ทุกอย่างกลับมาปกติ งานฉลองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ส่วนคำถามที่ว่า “ปีนี้จะเป็นปีของเราหรือยังนะ”
เดอะ ค็อป ทุกคนคงจะพบคำตอบในใจที่สะท้อนผ่านแววตาและรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าทุกคน
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง:
- https://theathletic.com/1866742/2020/06/24/liverpool-premier-league-30-years/
- https://www.foxsports.com.au/football/premier-league/epl-liverpool-fc-premier-league-title-news-30-years-analysis-opinion-steven-gerrard/news-story/dea92b6bddd07adde21e205f57b3d6df
- https://edition.cnn.com/interactive/2020/04/sport/liverpoolpremierleaguetitle/
- https://www.theguardian.com/football/2020/mar/08/30-years-of-hope-my-life-as-a-diehard-liverpool-fan-hannah-jane-parkinson
- https://www.givemesport.com/1565403-liverpools-title-wait-its-exactly-30-years-since-the-reds-won-their-last-league-title
- https://www.liverpoolecho.co.uk/sport/football/football-news/liverpool-fans-robbed-biggest-party-18221356
- https://www.premierleague.com/clubs/10/Liverpool/season-history
- แชมป์ลีกสมัยนี้เป็นแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 19 แต่เป็นแชมป์ในยุคพรีเมียร์ลีกครั้งแรก ก่อนหน้านี้ 18 สมัยเป็นแชมป์ดิวิชัน 1 ทั้งหมด
- จอร์แดน เฮนเดอร์สัน จะเป็นกัปตันทีมคนต่อจากอลัน แฮนเซน ที่ได้ชูถ้วยแชมป์ลีกสูงสุด โดยก่อนจะเป็นเขาลิเวอร์พูลมีกัปตันทีมหลายคนได้แก่ มาร์ค ไรต์, เอียน รัช, จอห์น บาร์นส, พอล อินซ์, เจมี เรดแนปป์, ร็อบบี ฟาวเลอร์, ซามี ฮูเปีย และสตีเวน เจอร์ราร์ด
- ครั้งสุดท้ายที่มีทีมที่ได้แชมป์ลีกในเดือนมิถุนายน เกิดขึ้นในปี 1976 และปีนั้นทีมที่เป็นแชมป์คือลิเวอร์พูล
- หากนับจำนวนเกมที่เหลือ ลิเวอร์พูลคือทีมที่คว้าแชมป์ได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์โดยยังเหลือเกมในมืออีก 7 นัด ขณะที่ก่อนหน้านี้สถิติการคว้าแชมป์ที่เร็วที่สุดเป็นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (2000-01) และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ (2017-18) ที่ได้แชมป์โดยยังเหลือเกมในมืออีก 5 นัด