ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2560 ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ โดยอนุมัติหลักการส่วนการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนผู้สูงอายุเพิ่มจากภาษีสุรา ยาสูบ และเบียร์ ในอัตรา 2% เพื่อไปเพิ่มให้กับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยเพราะเงินในกองทุนปัจจุบันไม่เพียงพอต่อการเพิ่มเบี้ยยังชีพ และคาดว่าน่าจะอยู่ในช่วงต้นปี 2561
ล่าสุด นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ อธิบดีกรมสรรพสามิต ได้ออกมาเปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 26 ม.ค. 61 เป็นต้นไป กรมสรรพสามิตจะเริ่มเก็บภาษีสรรพสามิตในสินค้าสุราและยาสูบเพิ่มขึ้นอีก 2% ของอัตราภาษีสรรพสามิตที่เสียในปัจจุบัน เพื่อนำเงินรายได้ส่งบำรุงเข้ากองทุนผู้สูงอายุ ปีงบประมาณละไม่เกิน 4,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นตามที่ พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ กำหนดไว้
อธิบดีกรมสรรพสามิต ยอมรับว่า การขึ้นภาษีจะกระทบต่อต้นทุนราคาสุราและยาสูบบ้างแต่ไม่มาก เริ่มต้นแค่หลักไม่กี่สิบสตางค์ เช่น หากเดิมบุหรี่หนึ่งซองเสียภาษีสรรพสามิต 25 บาท ก็จะถูกเก็บภาษีเพิ่มอีก 50 สตางค์
ส่วนจะกระทบต่อราคาขายปลีกในท้องตลาดหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับนโยบายของผู้ประกอบการและโรงงานยาสูบว่าจะยอมแบกรับภาษีที่เพิ่มขึ้นเองได้หรือไม่
อย่างไรก็ตามหากจะมีการเปลี่ยนแปลงราคาจะต้องเป็นบุหรี่และสุราที่เสียภาษีตั้งแต่วันที่ 26 ม.ค. 61 เป็นต้นไป ดังนั้นจึงขอเตือนให้ร้านค้าปลีก ค้าส่ง อย่าฉวยโอกาสเอาเปรียบขึ้นราคาทันที เพราะส่วนใหญ่ยังเป็นสินค้าสต๊อกเก่าอยู่ ไม่เช่นนั้นจะมีความผิดตามกฎหมาย
มีรายงานว่า การเก็บภาษีสรรพสามิตสุราและยาสูบเพิ่มในครั้งนี้ จะครอบคลุมทั้งบุหรี่ที่ผลิตในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สุรา เบียร์ ไวน์ ซึ่งประเมินว่าจะทำให้มีรายได้ภาษีเพิ่มขึ้นในปีนี้ประมาณ 4,200-4,600 ล้านบาท จากฐานรายได้การเก็บภาษีสุราและบุหรี่ที่อยู่ประมาณปีละ 200,000 ล้านบาท โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นจะมีการส่งเข้ากองทุนผู้สูงอายุ และส่วนเกินจะถูกนำส่งเข้าเป็นรายได้ของแผ่นดิน
ล่าสุดมีรายงานจากร้านค้าปลีกว่า มีราคาบุหรี่ปรับขึ้นบางรายการ โดยเฉพาะบุหรี่ iSCORE และ PLAYOFF ที่ปรับจาก 58 บาทเป็น 60 บาท ส่วน iSCORE X จาก 99 บาท เป็น 100 บาท ส่วนบุหรี่จากบริษัท ฟิลลิป มอร์ริส เช่น L&M Marlboro ไม่มีการปรับราคาขึ้นแต่อย่างใด
อ้างอิง: