หลังเช็ดน้ำตากันทั้งฝ่ายของสโมสรบาร์เซโลนา และฝ่ายของ ลิโอเนล เมสซี ที่ต้องกล่าวคำลากันแบบเศร้าๆ ด้วยเหตุผลทางการเงินที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถจะไปต่อด้วยกันได้ ล่าสุดมีการยืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่าซูเปอร์สตาร์ลูกหนังวัย 34 ปี จะย้ายไปร่วมทีมปารีส แซงต์ แชร์กแมง
โดยสัญญาของเมสซีกับทีมเปแอสเชจะมีระยะเวลา 2 ปีด้วยกัน หรือจนถึงปี 2023 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ดาวเตะอาร์เจนไตน์เชื่อว่าจะถึงเวลาเหมาะสมที่จะไปปิดฉากชีวิตการเล่นของตัวเองที่เมเจอร์ลีกซอกเกอร์ในสหรัฐอเมริกา
สำหรับค่าเหนื่อยหรือค่าตอบแทนนั้นเบื้องต้นจะได้รับเต็มๆ ที่ปีละ 25 ล้านยูโร เมื่อรวมกับโบนัสต่างๆ แล้ว จะได้รวมสูงสุดที่ 35 ล้านยูโรต่อปี และมี ‘ออปชันขยายสัญญา’ อีก 1 ปีด้วยกัน
สิ่งที่น่าสนใจในเรื่องนี้คือ เปแอสเชทำอย่างไรจึงได้ตัวเมสซีมาร่วมทีม? โดยเฉพาะบนคำถามที่หลายคนกังขาว่า ‘แบบนี้ไม่ผิดกฎ Financial Fair Play งั้นหรือ?’
นี่คือรายละเอียดของการคว้าตัวสุดยอดนักฟุตบอลแห่งยุคที่แทบไม่มีใครอยากเชื่อว่าจะเกิดขึ้นจริง
โอกาสที่ไม่คาดฝันของเปแอสเช
การเจรจาระหว่างเปแอสเชกับฝ่ายของเมสซีเริ่มต้นขึ้นทันทีหลังจากที่ทางด้าน โจน ลาปอร์ตา ได้แจ้งต่อ ฮอร์เก เมสซี ผู้เป็นพ่อและเป็นตัวแทนในการเจรจาว่า ลาลีกาไม่อนุมัติสัญญาที่ทำการตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้ว และทางฝ่ายสตาร์หมายเลขหนึ่งก็เดินทางมาเพื่อหวังจะเซ็นสัญญาอยู่แล้วในการนัดพบกันเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (5 สิงหาคม)
โดยหลังจากได้รับแจ้งข่าวร้าย เมสซีได้ทำการติดต่อกับ เมาริซิโอ โปเชตติโน โค้ชทีมปารีส แซงต์ แชร์กแมง ที่เป็นชาวอาร์เจนตินาเหมือนกันทันทีเพื่อสอบถามความเป็นไปได้ที่จะย้ายไปเล่นร่วมกันที่ฝรั่งเศส
เดิมก่อนหน้านี้ทางด้านเปแอสเชไม่คิดว่าพวกเขาจะมีโอกาสเหลือ เนื่องจากเมสซีมีท่าทีที่ชัดเจนในการปฏิเสธข้อเสนอของทุกสโมสร โดยแม้จะหมดสัญญาและเป็นนักเตะอิสระไม่มีสังกัด แต่สโมสรเดียวที่ต้องการเจรจาด้วยคือบาร์เซโลนาเท่านั้น ดังนั้นแม้จะเป็นช่วงบ่ายของวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ทางด้าน นาสเซอร์ อัล-เคไลฟี ประธานสโมสรก็ไม่ได้คาดคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา
ไม่ต่างอะไรจากลูกบอลที่กระดอนมาเข้าทางตรงหน้ากรอบเขตโทษ
เปแอสเชไม่มีทางอื่นนอกจากจะต้องซัดให้เต็มข้อเท่านั้น
ความแน่วแน่ของอัล-เคไลฟี
เมื่อได้รับการติดต่อมาจากทางเมสซี เปแอสเชได้เริ่มต้นเจรจาอย่างเป็นทางการทันที โดยเป็นสโมสรเดียวที่ทำการเจรจาโดยตรงกับ ฮอร์เก เมสซี ไม่ผ่านคนกลาง
แม้ว่าสโมสรจะได้รับผลกระทบในปีแห่งโรคระบาดไม่ต่างจากสโมสรอื่น แต่ทางด้านอัล-เคไลฟีมีธงในใจที่ชัดเจนว่า ‘หากนักเตะอย่างเมสซีแสดงท่าทีว่าอยากจะย้ายมาร่วมทีมจริง เขาจะพยายามดึงตัวมาร่วมทีมให้ได้ ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไรก็ตาม’
สำหรับอัล-เคไลฟี กับ ฮอร์เก เมสซี ไม่ใช่คนแปลกหน้า เพราะมีความพยายามในการทาบทามตัวมาโดยตลอดนับตั้งแต่ที่เข้ามาซื้อกิจการของทีมเปแอสเชเมื่อปี 2011
ขณะที่การเจรจาที่เกือบจะจริงจังครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อปีกลาย เมื่อเมสซีประกาศว่าเขาต้องการย้ายออกจากบาร์เซโลนา เพียงแต่เปแอสเชยังสงวนท่าทีรอดูสถานการณ์ให้ชัดเจนก่อนว่าระหว่างบาร์ซากับเมสซีเรื่องจะจบลงอย่างไร ซึ่งเรื่องจบลงที่การอยู่ในถิ่นคัมป์นูต่อไป
อีกเหตุผลที่ทำให้เปแอสเช (รวมถึงแมนเชสเตอร์ ซิตี้) ไม่กล้าเดินหน้าต่อเมื่อปีกลายคือเรื่องของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น โดยคิดรวมแพ็กเกจทั้งหมดทุกรายการแล้วมีการประเมินว่าจะต้องจ่ายเงินรวมมากถึงกว่า 500 ล้านยูโร ซึ่งแม้จะเป็นเปแอสเชเองก็ต้องทบทวนอย่างหนัก
แต่ครั้งนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปมาก พวกเขามีโอกาสที่จะได้ตัวเมสซีมาในราคาที่คุ้มค่า เพราะนอกจากจะได้มาฟรีแล้วยังอาจจะไม่ต้องจ่ายเงินค่าเหนื่อยอีกด้วย
เมสซีคือผู้จ่ายเงินค่าเหนื่อยให้ตัวเอง
อัล-เคไลฟีได้มอบหมายให้ มาร์ค อาร์มสตรอง หัวหน้าแผนกสปอนเซอร์ชิป เพื่อให้คำนวนหา ‘สูตร’ ที่จะทำให้คว้าตัวเมสซีมาร่วมทีมให้ได้ ซึ่งอาร์มสตรองที่เคยเป็นอดีตรองประธานฝ่ายการตลาดของ NBA และเคยเป็นผู้อำนวยการฝ่ายขายของ NFL ได้รีบดำเนินการหาคำตอบทันที
อาร์มสตรองเชื่อว่าการได้เมสซีมาร่วมทีมจะทำให้สโมสรมีโอกาสทำรายได้เพิ่มขึ้นอีกจากการดีลกับสปอนเซอร์ต่างๆ ค่าบัตรเข้าชมเกมในสนาม การทัวร์สนาม ไปจนถึงการยกระดับแบรนด์ของเปแอสเชด้วย ก่อนที่จะสรุปให้แก่อัล-เคไลฟี ประธานสโมสรสั้นๆ
‘เมสซีจะจ่ายค่าตัวของเขาด้วยตัวของเขาเอง’ ในเวลาข้างหน้า
โดยคำอธิบายเพิ่มเติมคือ ก่อนหน้านี้ในปี 2018 ยูเวนตุสซึ่งเพิ่งได้ตัว คริสเตียโน โรนัลโด มาร่วมทีม ได้ทำการเพิ่มค่าตั๋วเข้าชม รวมถึงกลับไปทำการเจรจาใหม่กับสปอนเซอร์รายต่างๆ เพื่อเรียกเงินเพิ่มขึ้น ไม่นับผลพลอยได้อย่างจำนวนผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ซึ่งนำไปสู่การขยายโอกาสขายสินค้าของสโมสร
มีการคำนวณกันว่า 10 เปอร์เซ็นต์ของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาบาร์เซโลนา มาเพราะเมสซีเป็นเหตุผลหลัก ซึ่งเปแอสเชคาดหวังจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
และที่เป็นผลพลอยได้พิเศษด้วยคือ อัล-เคไลฟี ในฐานะกลุ่มทุนจากกาตาร์ในนาม Qatar Sports Investment จะสามารถใช้เมสซีเพื่อการโปรโมตฟุตบอลโลก 2022 ที่จะจัดขึ้นที่ประเทศกาตาร์ในช่วงปลายปีหน้าด้วย ร่วมกับนักเตะของพวกเขาเองอย่างเนย์มาร์ และ คีเลียน เอ็มบัปเป้ ซึ่งล้วนเป็นนักฟุตบอลระดับท็อปของโลกในปัจจุบัน
ทำแบบนี้ไม่ผิดกฎ FFP?
ในประเด็นที่คนนอกสงสัยว่าแล้วแบบนี้เปแอสเชจะไม่ผิดกฎ Financial Fair Play ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมาของพวกเขาหรือ? เพราะเปแอสเชเพิ่งจะต่อสัญญากับเนย์มาร์ที่จะได้รับเงินปีละ 31 ล้านยูโร และอยู่ระหว่างการเจรจาต่อสัญญากับ คีเลียน เอ็มบัปเป้ ที่หากจะต่อสัญญาจะได้รับค่าตอบแทนไม่น้อยไปกว่ากัน
ยังไม่นับนักเตะใหม่อีกหลายรายอย่าง จานลุยจิ ดอนนารุมมา, จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม, เซร์คิโอ รามอส ที่ย้ายมาแบบฟรีทั้งหมดและมีค่าเหนื่อยมหาศาล รวมถึง อัชราฟ ฮาคิมี แบ็กขวาพลังเทอร์โบที่ย้ายมาจากอินเตอร์ มิลาน ด้วยค่าตัว 51.3 ล้านปอนด์
แต่ตามข้อมูลที่ The Athletic สื่อกีฬาระดับโลกได้ทำการสอบถามแหล่งข่าวระดับสูง เชื่อว่าการมาของเมสซีจะช่วยเพิ่มมูลค่าของสโมสร รวมถึงจะสามารถทำรายได้เข้าสโมสรได้เพิ่มขึ้นในระดับที่เพียงพอจะจ่ายค่าตอบแทนของตัวเขาเอง ทำให้ทุกอย่างจะยังคงอยู่ในเกณฑ์ของกฎ Financial Fair Play โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่ได้รับการผ่อนปรนจากสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) เพื่อช่วยเหลือบรรดาสโมสรที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด
อย่างไรก็ดี การได้ตัวเมสซีมาทำให้เปแอสเชก็เตรียมลดค่าใช้จ่ายในทีมเช่นกัน โดยพร้อมจะรับฟังข้อเสนอสำหรับนักเตะที่อาจจะมากถึง 10 รายด้วยกัน และจะชะลอการเจรจากับ พอล ป็อกบา ที่อาจจะรอให้หมดสัญญากับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฤดูกาลหน้าแล้วจึงค่อยดึงตัวมาร่วมทีม
ขณะเดียวกันทางด้านเปแอสเชเตรียมรับมือกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากโลกภายนอก รวมถึงจากเหล่าสโมสรในยุโรปด้วยกันที่จะมีการประชุมผู้บริหารในสุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้เกี่ยวกับการควบคุมเพดานค่าเหนื่อยให้เข้มงวดขึ้น และอาจจะมีการพาดพิงถึงเปแอสเชที่ได้ตัวเมสซี, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่ได้ แจ็ค กรีลิช ในราคา 100 ล้านปอนด์ และเชลซีที่กำลังจะได้ โรเมลู ลูกากู ในราคา 115 ล้านยูโร
แต่พวกเขายังเชื่อว่าจะสามารถทำทุกอย่างได้ถูกต้องและไม่ถูกลงโทษอย่างแน่นอน
ทั้งหมดคือรายละเอียดที่เกิดขึ้นหลังฉากในการเจรจาคว้าตัวเมสซีของเปแอสเชที่เริ่มต้นและจบลงภายในระยะเวลาแค่เพียง 5 วันเท่านั้น ซึ่งถือเป็นช่วงเวลา 5 วันที่น่าตื่นเต้นสำหรับแฟนฟุตบอลทั่วโลกที่อยากรู้ว่าสุดท้ายใครจะได้ตัวเจ้าของบัลลงดอร์ 6 สมัยไป
วันนี้เราได้รู้คำตอบกันเรียบร้อยแล้วว่าเป็นเปแอสเชที่สมหวัง ส่วนเมสซีแม้จะต้องลาจากบาร์ซา แต่อย่างน้อยก็ได้อยู่กับทีมที่มีศักยภาพแข่งขัน มีโค้ชคนบ้านเดียวกัน และได้เล่นร่วมกับเนย์มาร์ และ อังเคล ดิ มาเรีย อีกครั้ง รวมถึงสตาร์คนอื่นๆ อย่าง เซร์คิโอ รามอส ด้วย
มันจะเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ของตัวเขาเช่นกันในการออกจาก Comfort Zone ครั้งแรก และอาจเป็นครั้งสุดท้ายด้วย
อ้างอิง:
- https://theathletic.co.uk/2757739/2021/08/08/how-psg-closed-in-on-signing-lionel-messi/
- https://theathletic.co.uk/2760625/2021/08/10/neymar-has-been-psgs-messi-would-having-them-and-mbappe-in-the-same-team-work/
- https://www.theguardian.com/football/2021/aug/10/lionel-messi-heading-to-paris-to-seal-psg-move-after-agreeing-two-year-contract
- https://www.skysports.com/football/news/11833/12373952/lionel-messi-agrees-to-join-paris-saint-germain-on-two-year-contract-after-leaving-barcelona