ทันทีที่มีข่าวว่า ลิโอเนล เมสซี ต้องการจะย้ายออกจากบาร์เซโลนา ทีมที่ถูกมองว่ามีโอกาสในการจะได้ตัวนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดของยุคสมัยมาร่วมทีมอย่างจริงจัง ที่ไม่ใช่แค่ตัดต่อรูปมาใส่เสื้อนั้นถูกจำกัดเอาไว้แค่ไม่กี่ทีมเท่านั้น
นอกจากจะเป็นทีมที่มีโอกาสประสบความสำเร็จในสนาม พวกเขายังต้องมีความแข็งแกร่งทางการเงินมากพอที่จะจ่ายค่าเหนื่อยให้แก่สตารวัย 33 ปีได้ ซึ่งบนโลกใบนี้อาจจะเหลือเพียงแค่แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ปารีส แซงต์ แชร์กแมง หรือเปแอสเช และเชลซี ที่เป็นสโมสรซึ่งไม่มีขีดจำกัดทางการเงิน
โดยทีมที่เป็นเต็งหนึ่งในเวลานี้คือ ‘เรือใบสีฟ้า’ ที่ตามรายงานข่าวจาก The Times อ้างอิงแหล่งข่าววงในใกล้ชิดของสโมสรว่า ได้มีความพยายามในการที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะคว้าตัวเมสซีมาร่วมทีมให้ได้ และหากทำได้สำเร็จจะเป็นการย้ายทีมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของวงการฟุตบอลอังกฤษ
ขณะที่รายงานข่าวจากสเปนระบุว่า เมสซีได้มีการพูดคุยกับ เป๊ป กวาร์ดิโอลา นายเก่าที่เคยปั้นกันมาสมัยอยู่ในทีมบาร์เซโลนา โดยที่ผู้บริหารอย่าง เฟร์ราน โซเรียโน ซึ่งเป็นซีอีโอของสโมสรได้ยืนยันว่า สโมสรมีความสามารถในการที่จะปิดดีลในครั้งนี้ ต่อให้ต้องจ่ายเงินค่าตัวก็ตาม (แต่ถ้าได้ฟรีก็ดี)
อย่างไรก็ดี ต่อให้เป็นทีมอย่างแมนฯ ซิตี้ (หรือเปแอสเช, เชลซี ก็ตาม) ทุกสโมสรมีเรื่องที่ต้องกุมขมับเหมือนกัน เพราะสิ่งที่เป็นปัญหาอาจไม่ใช่เรื่องของเงินค่าตัว หากแต่เป็นเงินค่าเหนื่อยของเมสซีที่มากมายมหาศาลจนน่าตกใจ
รายละเอียดคร่าวๆ ในเรื่องรายได้ของเมสซีมีดังนี้
- เมสซีได้รับเงินขั้นต่ำจากบาร์เซโลนาจำนวน 78 ล้านปอนด์ต่อปี โดยเป็นเงินค่าเหนื่อยและค่าลิขสิทธิ์ภาพลักษณ์ (Image Rights)
- เงิน 78 ล้านปอนด์อาจจะเพิ่มได้ถึง 100 ล้านปอนด์เมื่อรวมกับตัวเลขโบนัสจากผลงานในการลงสนาม
- เมสซียังมีสิทธิ์ได้เงินกินเปล่าจากเงินที่เรียกว่า Loyalty Bonus อีกจำนวน 70 ล้านปอนด์ ซึ่งจะได้รับต่อเมื่ออยู่กับทีมจนครบสัญญา โดยกรณีสัญญาล่าสุดของบาร์ซามีถึงปี 2021แต่หากอยู่ไม่ครบก็ไม่ได้รับเงินก้อนนี้
ตัวเลขค่าตอบแทนทั้งหมดนี้จะเป็นปัญหาทันทีสำหรับทีมไหนก็ตาม (และมันก็เป็นปัญหาใหญ่มากของบาร์ซาเช่นกันที่ต้องแบกเมสซีเอาไว้ทุกปี) เพราะทุกสโมสรยังต้องพยายามที่จะทำตามกฎ Financial Fair Play อยู่ (ถึงแม้ว่ากฎนี้จะถูกมองว่าเสื่อมไปมากก็ตามจากกรณีคดีของแมนฯ ซิตี้) ซึ่งมองเฉพาะค่าเหนื่อยในแต่ละปีนั้น ย้อนกลับไปในฤดูกาล 2018-19 ที่มีการเปิดเผยข้อมูล ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ใช้เงินถึง 316 ล้านปอนด์กับการจ่ายเงินค่าเหนื่อย
ต่อให้มีเงินก็ไม่ได้แปลว่าจะสามารถเพิ่มค่าเหนื่อยร่วม 100 ล้านปอนด์ต่อปีของเมสซีไปในบัญชีรายจ่ายของสโมสรได้โดยไม่ต้องคิดอะไร
นั่นทำให้แมนฯ ซิตี้ จำเป็นต้องพยายามคิดหาทางออกแบบสร้างสรรค์ (Creative Deal) เพื่อหาทางนำราชาลูกหนังมาอยู่ด้วยกันให้ได้
แล้วตัวอย่างของทางออกในเรื่องนี้มีอะไรบ้าง?
1) แมนฯ ซิตี้ ใช้วิธีการว่าจ้างเมสซีผ่านทาง City Football Group ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของสโมสร และมีเครือข่ายอีกหลายสโมสรทั่วโลก โดยให้เมสซีเริ่มเล่นกับแมนฯ ซิตี้ไปก่อน จากนั้นไปปิดฉากการเล่นกับสโมสรลูกอย่างนิวยอร์ก ซิตี้ เอฟซี ในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ (MLS)
2) แบ่งเงินรายได้ของเมสซีออกเป็นส่วน เช่น หากเปแอสเชได้ตัวเมสซีไป อาจจะใช้การจ่ายเงินค่าจ้างผ่านการเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้แก่ประเทศ เช่นนั้นก็ลดภาระที่จะเกิดขึ้นทางบัญชีของสโมสรฟุตบอลได้มากแล้ว
และอาจจะมีโมเดลอื่นๆ ที่ฝ่ายบัญชีต้องพยายามคิดหาวิธีกันต่อไป
ทั้งนี้ แม้มันจะไม่ใช่วิธีที่ใสสะอาดนัก ออกแนวเล่นแร่แปรธาตุ แต่ก็เป็นหนึ่งในวิธีที่สโมสรระดับนี้ใช้ช่องว่างทางกฎเพื่อสะสมนักฟุตบอลระดับซูเปอร์สตาร์เอาไว้ให้มากที่สุด อย่างน้อยก็จนกว่าจะมีการออกกฎบังคับใหม่ที่ปิดช่องว่างเหล่านี้ได้ครบถ้วน
ส่วนแนวคิดซื่อๆ ว่าทีมไหนที่ซื้อเมสซีมาได้ไม่มีอะไรต้องห่วง แค่ขายเสื้อก็สบายแล้วนั้นไม่ใช่คำตอบของเรื่องนี้แต่อย่างใด เพราะทุกสโมสรได้ส่วนแบ่งจากการจำหน่ายเสื้อไม่มากนัก ราว 7% (ยกเว้นลิเวอร์พูลที่ขอส่วนแบ่ง 20% แต่ก็แลกมาด้วยการรับเงินก้อนที่น้อยลง)
อย่างไรก็ดี ทุกสิ่งที่กล่าวมาเป็นขั้นต่อไปของเรื่อง เพราะขั้นแรกนั้นเราคงต้องรอดูกันก่อนว่าเมสซีและบาร์เซโลนาจะจบ จะจาก หรือจะกลับมาจูบปากกันอีกครั้ง
ขนาดเมสซียังกล้าจะขอย้ายทีม ดังนั้น บนโลกใบนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์