เว็บไซต์ The Guardian ของอังกฤษ เผยแพร่บทความ ชี้ให้เห็นตัวเลือกทางออกของมาตรการล็อกดาวน์ หรือการปิดเมืองป้องกันโรคโควิด-19 ที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรกำลังบังคับใช้ เพื่อให้ประชาชนบางส่วนสามารถกลับมาทำงานได้ และช่วยลดผลกระทบเลวร้ายที่กำลังเกิดกับภาวะเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกันก็ไม่ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในสหราชอาณาจักรพุ่งสูงขึ้น
ตัวเลือกอะไรที่เป็นไปได้บ้าง
- ปล่อยกลุ่มผู้มีอายุน้อยจากการกักตัว
แรงงานอายุน้อยนั้นเป็นกลุ่มที่ต้านทานโควิด-19 ได้มากที่สุด แต่ในขณะเดียวกัน คนกลุ่มนี้ก็มีไม่น้อยที่ได้รับผลกระทบทางการเงินหนักที่สุดเช่นกัน แนวคิดปล่อยตัวแรงงานอายุน้อยจากการกักตัวเป็นกลุ่มแรก และให้พวกเขากลับไปทำงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพื่อลดผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 จึงดูจะเป็นทางออกที่เป็นไปได้สำหรับการแก้ไขปัญหาจากมาตรการล็อกดาวน์
งานวิจัยจาก ณัฐวุฒิ เผ่าทวี นักเศรษฐศาสตร์และศาสตราจารย์ด้านพฤติกรรมศาสตร์ชาวไทย จาก Warwick Business School และ แอนดรูว์ ออสวอลด์ ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัย Warwick เสนอกลยุทธ์ทางออกนโยบายล็อกดาวน์ในแนวทางนี้ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตและภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง โดยสนับสนุนให้ปล่อยประชาชนในกลุ่มอายุ 20-30 ปี ที่ไม่ได้พักอาศัยอยู่กับพ่อแม่ ออกจากการกักตัวก่อนกลุ่มอื่น หลังจากที่สามารถทำให้ความชันเส้นโค้งการระบาดของผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูงเหมือนภูเขาให้ชันน้อยลง จากนั้นเมื่อมี Antibody Test จึงปล่อยคนที่มีภูมิคุ้มกันออกมาเป็นระลอก
ณัฐวุฒิเปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุข้อมูลจากการวิจัย พบว่า อัตราการเสียชีวิตของกลุ่มคนอายุน้อยช่วงอายุ 20-30 ปี นั้นต่ำมากๆ เมื่อเทียบกับกลุ่มคนที่มีอายุสูง (อัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 สำหรับคนมีอายุ 20-30 ปี อยู่ที่ 3 คน จากผู้ติดเชื้อ 10,000 คน เทียบกับกลุ่มคนอายุ 60 ปี ที่เสียชีวิต 220 คน จากผู้ติดเชื้อ 10,000 คน)
ขณะที่ผลวิจัยยังประเมินว่า การปล่อยกลุ่มผู้มีอายุ 20-30 ปี จะทำให้มีแรงงานในสหราชอาณาจักรกลับมาทำงานได้กว่า 4.2 ล้านคน ในจำนวนนี้ 2.6 ล้านคน อยู่ในภาคเอกชน ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจสหราชอาณาจักรขับเคลื่อนได้อีกครั้ง และก่อให้เกิดประโยชน์อย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม อีกทั้งยังลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขของสหราชอาณาจักรได้อย่างมาก
อย่างไรก็ตาม เป็นไปได้ที่แนวทางนี้จะทำให้มีผู้ติดโควิด-19 ในสหราชอาณาจักร เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีกถึง 630 คน แต่หากผลการดำเนินการเป็นไปด้วยดี อาจจะทำให้ประชาชนในกลุ่มอายุอื่นๆ ได้กลับมาทำงานอีกครั้ง
- เปิดโรงเรียน
การปิดโรงเรียนเพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในกลุ่มนักเรียนและครูนั้น นอกจากจะทำลายความสัมพันธ์ทางสังคมของบรรดานักเรียน ยังส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะพ่อแม่วัยทำงานนั้นจำเป็นต้องหยุดงาน เพื่อดูแลลูกที่หยุดหรือเรียนจากที่บ้าน
แต่การเปิดโรงเรียนอีกครั้งตามปกติก็อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงสำหรับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่รุนแรงมากขึ้น ซึ่งทางออกของปัญหานี้คือ ใช้ตัวเลือกอื่นที่ซับซ้อนกว่า เช่น การปรับเปลี่ยนเวลาเรียน เวลาทานอาหารกลางวัน หรือเวลาพัก การปิดสนามเด็กเล่นและยกเลิกกิจกรรมในชั้นเรียนแบบกลุ่ม ตลอดจนให้รักษาระยะห่างระหว่างนักเรียนมากขึ้น และลดจำนวนวันเรียนในแต่ละสัปดาห์ลง
ขณะที่แนวทางเปิดโรงเรียน เหมาะสมสำหรับโรงเรียนระดับประถมเป็นกลุ่มแรก เพราะจำนวนนักเรียนที่น้อยกว่ากลุ่มมัธยม อีกทั้งเป็นกลุ่มเด็กอายุน้อยที่ทำให้พ่อแม่และผู้ปกครองต้องหยุดทำงานหากพวกเขาอยู่บ้าน นอกจากนี้การปิดโรงเรียนยังส่งผลทางจิตใจและการพัฒนาการเรียนรู้ต่อเด็กกลุ่มนี้มากกว่านักเรียนระดับมัธยมด้วย
- บัตรผ่านภูมิคุ้มกัน (Immunity Passport)
ที่ผ่านมารัฐบาลอังกฤษต้องการตรวจหาผู้ติดเชื้อโคโรนา 2019 ด้วยวิธีทดสอบสารภูมิต้านทาน (Antibody) ที่มีประสิทธิภาพเชื่อถือได้ แทนที่วิธีการตรวจเชื้อที่มีอยู่อย่างการเก็บเยื่อบุในคอหรือหลังโพรงจมูก ซึ่งผู้ที่มีผลตรวจสารภูมิต้านทานโควิด-19 เป็นบวก จะถือเป็นผู้ที่มีภูมิคุ้มกัน และอาจกลับไปทำงานได้
แม็ตต์ แฮนค็อก รัฐมนตรีสาธารณสุขสหราชอาณาจักร ที่ตรวจพบว่าติดโควิด-19 กล่าวภายหลังพ้นการกักตัวว่า กลุ่มผู้ติดเชื้อที่มีสารภูมิต้านทานโควิด-19 อาจได้รับการออกใบรับรองยืนยันที่เรียกว่าบัตรผ่าน หรือหนังสือเดินทางภูมิคุ้มกัน (Immunity Passport) เพื่อใช้แสดงตนและกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยเขาเผยต่อสำนักข่าว BBC ว่าอาจให้บัตรผ่านภูมิคุ้มกันแก่ผู้ติดเชื้อ ในรูปแบบของ
ริสต์แบนด์หรือสายรัดข้อมือ
อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าผู้ที่มีสารภูมิต้านทานโควิด-19 จะได้รับการคุ้มครองจากการแพร่ระบาดของเชื้อ ทำให้แนวคิดบัตรผ่านภูมิคุ้มกันนี้ ถูกมองว่าอาจส่งผลกระทบต่อความจริงจังในการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์
- เปิดธุรกิจ
แน่นอนว่า การค่อยๆ ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ด้วยการอนุญาตให้เปิดร้านค้าและสถานประกอบธุรกิจต่างๆ จะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้น แต่การระบาดรุนแรงระลอกสองของโควิด-19 ในสหราชอาณาจักรนั้นยังคงอยู่ ซึ่งการใช้แนวทางนี้ อาจทำได้ หากมีการกำหนดประเภทร้านค้าที่แน่ชัด ประกอบกับจำกัดเวลาและจำนวนของร้านค้า
ขณะที่ก่อนหน้านี้ อล็อก ชาร์มา รัฐมนตรีธุรกิจ พลังงาน และอุตสาหกรรมแห่งสหราชอาณาจักร ได้ส่งข้อแนะนำในการปฏิบัติตนสำหรับบุคลากรในอุตสาหกรรมการผลิตและก่อสร้าง โดยชี้ว่า การทำงานในอุตสาหกรรมเหล่านี้ยังสามารถทำได้ แต่ต้องเป็นไปภายใต้กฎการรักษาระยะห่างทางสังคม หรือ Social Distancing
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง:
- https://www.theguardian.com/society/2020/apr/09/lifting-lockdown-uk-options-graded-return-normality?fbclid=IwAR3mlGgLgwmoDLPd5oYYSZRj_7Z2gtJRdj4NXJDjFxMYgap539QrfUBtRGA
- https://warwick.ac.uk/fac/soc/economics/research/centres/cage/manage/publications/policy_briefing_oswald__powdthavee.pdf
- https://www.facebook.com/nattavudh.powdthavee/posts/10163336951740035
- https://www.thelancet.com/journals/lanchi/article/PIIS2352-4642(20)30095-X/fulltext
- https://www.euronews.com/2020/04/06/coronavirus-antibody-tests-will-be-crucial-in-determining-when-to-lift-lockdowns
- https://7news.com.au/lifestyle/health-wellbeing/coronavirus-update-immunity-passport-could-allow-people-to-leave-lockdown-c-956040