×

ความเจ็บปวดที่กลายเป็นพลังขับเคลื่อนโลกดนตรีของ Chester Bennington แห่งวง Linkin Park

21.07.2017
  • LOADING...

 

     ถ้าย้อนกลับไปราว 16 ปีที่แล้ว ในช่วงที่หลายคนกำลังถกเถียงว่าชอบ NSYNC หรือ Backstreet Boys, บริตนีย์ สเปียร์ส (Britney Spears) หรือคริสตินา อากีเลรา (Christina Aguilera) มีหนึ่งวงดนตรีร็อกน้องใหม่ที่มีสมาชิก 6 คน ถือกำเนิดขึ้นในชื่อ Linkin Park ซึ่งในเวลาต่อมาได้กลายเป็นอีกหนึ่ง ‘ตำนาน’ ของประวัติศาสตร์ดนตรี และไม่ต้องเสียเวลาเถียงกันว่าเป็นที่สุดหรือไม่ เพราะนักร้องนำอย่าง เชสเตอร์ เบนนิงตัน (Chester Bennington) ได้ก้าวขึ้นมาเป็นโรลโมเดลในยุค 00s เขาและวง Linkin Park ทำให้เด็กวัยรุ่นต้องออกไปซื้อเทปและฟังจนยาน ไปหาซื้อโปสเตอร์ที่ร้าน Starpics เพื่อมาประดับผนังห้อง และต้องดูช่อง Channel V หลังเลิกเรียนเพื่อร้องตามเพลงของเขา

     ปรากฏการณ์ต่างๆ เหล่านี้ที่เชสเตอร์ และวง Linkin Park ได้สร้างไว้ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมเมื่อเขาได้จากเราไป หลายคนจึงรับไม่ได้และเหมือนมีบาดแผลใหม่เกิดขึ้นในหัวใจ

 

 

     เชสเตอร์ เบนนิงตัน เกิดเมื่อวันที่ 20 มีนาคม ปี 1976 ที่เมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา คุณแม่ซูซาน อิเลน จอห์นสัน (Susan Elaine Johnson) เป็นพยาบาล ส่วนคุณพ่อลี รัสเซล เบนนิงตัน (Lee Russell Bennington) เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เน้นดูแลเคสการทำร้ายร่างกายเด็ก

     ชีวิตในวัยเด็กของเชสเตอร์ เต็มไปด้วยอุปสรรคและด้านมืดที่ส่งผลต่อชีวิตเขามาโดยตลอด ตั้งแต่อายุประมาณ 7-13 ปี เชสเตอร์ได้เผชิญปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศจากผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นผู้ใหญ่กว่าและเปรียบเสมือนเพื่อนของเขา เหตุการณ์นี้เชสเตอร์ไม่กล้าบอกใคร เพราะกลัวคนจะคิดว่าเขาเป็นเกย์หรือกำลังสร้างเรื่องขึ้นมา

     พอเชสเตอร์อายุได้ 11 ปี พ่อกับแม่ของเขาหย่าร้างกัน พ่อได้สิทธิเลี้ยงดูเชสเตอร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เพราะในช่วงนั้นพ่อของเขาทำงานจนไม่มีเวลาให้เลย เชสเตอร์จึงเหมือนตกอยู่ในภวังค์ที่แสนหดหู่และไม่มีที่พึ่ง ช่วงอายุ 13 เชสเตอร์เริ่มเสพยาเสพติด ทั้งกัญชา โคเคน และยาบ้า บวกกับการดื่มเหล้าอย่างหนัก ถึงขั้นที่เคยดื่มวอดก้าเป็นลิตร แต่ต่อมาเชสเตอร์ก็ได้เข้าสถานบำบัดเพื่อรักษาอาการมาโดยตลอด

 

 

     ตอนอายุ 17 เชสเตอร์ย้ายไปอยู่กับแม่ และเริ่มเดินบนเส้นทางการเป็นศิลปินกับวงดนตรีที่ชื่อ Sean Dowdell and His Friends? พวกเขาปล่อยอีพีแรกในปี 1993 ต่อมาเชสเตอร์ก็ย้ายไปฟอร์มวง Grey Daze ที่มีอัลบั้มออกมาสามชุด แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จตามคาดหวัง เชสเตอร์ลาออกในปี 1998

     พออายุ 22 เชสเตอร์เกือบตัดสินใจลาออกจากวงการเพลง เพราะรู้สึกว่าตัวเองเบื่อหน่ายและหมดหวัง ในตอนนั้นเขากำลังทำงานเป็นผู้ช่วยอยู่ในบริษัทดิจิทัลแห่งหนึ่ง หลังจากเคยทำงานในร้าน Burger King มานาน แต่แล้วในคืนวันเกิดของเขาในปี 1999 ก็เป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยน เมื่อเจฟฟ์ บลู (Jeff Blue) ผู้คัดสรรและพัฒนาศิลปินของค่ายเพลง Zomba Records ได้โทรไปหา และบอกว่ามีวงดนตรีชื่อ Xero ที่เชสเตอร์อาจสนใจ

     Xero เป็นวงสไตล์ฮิปฮอปผสมร็อกเมทัล ขณะนั้นเชสเตอร์ที่อยู่ในสถานะไม่มีอะไรจะเสีย เขาเลยอัดเสียงทำเดโมส่งกลับไป หลังจากนั้นทางวง Xero ได้ชวนให้เชสเตอร์ไปร่วมวงด้วย ต่อมาวงได้เปลี่ยนชื่อเป็น Hybrid Theory (ซึ่งนำไปใช้เป็นชื่ออัลบั้มแรก) ก่อนที่จะลงตัวที่ชื่อวงในท้ายที่สุดว่า Linkin Park

 

 

     พอเข้าสหัสวรรษใหม่ในเดือนตุลาคม ปี 2000 ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนชีวิตของเชสเตอร์ในฐานะศิลปินก็ว่าได้ เพราะพออัลบั้มแรกของ Linkin Park ชื่อ Hybrid Theory ปล่อยออกมา ก็ได้สร้างสถิติมากมายและกลายเป็นหนึ่งในอัลบั้มเปิดตัวของวงดนตรีที่ทำยอดขายสูงสุดตลอดกาล ด้วยยอดขายมากกว่า 30 ล้านแผ่นทั่วโลก อัลบั้มนี้มีเพลงดังหลายเพลง ตั้งแต่ซิงเกิ้ลแรก One Step Closer, Crawling และที่กลายเป็นตำนานคือซิงเกิลที่สี่ In The End จนทำให้วงก้าวสู่สมรภูมิใหม่และเป็นหนึ่งในวงดนตรีร็อกที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์

 

 

 

 

     วง Linkin Park ได้สร้างผลงานเพลงหลายต่อหลายอัลบั้มและอีพีพิเศษ ตั้งแต่อัลบั้มชุดที่สอง Meteora, 2003 ที่มีเพลงดังอย่าง Numb และ Faint และอีพี Collision Course, 2004 ที่ทำร่วมกับแรปเปอร์ เจย์-ซี (Jay-Z) การันตีคุณภาพด้วยการคว้ารางวัลแกรมมีสาขา Rap/Sung Collaboration กับเพลง Numb/Encore แต่ในระยะหลัง Linkin Park ได้เปลี่ยนซาวด์ดนตรีให้ป๊อปและร่วมสมัยขึ้น ต่างจากสไตล์ Nu-Metal ที่เคยสร้างชื่อให้กับวง สร้างความไม่พอใจให้ฐานแฟนเพลงบางส่วน เห็นได้ชัดกับอัลบั้มล่าสุด One More Light, 2017 ที่เพิ่งปล่อยออกมาเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา กระนั้นอัลบั้มนี้ก็ยังขึ้นอันดับหนึ่งบนชาร์ต Billboard 200

     เชสเตอร์เคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับอัลบั้มนี้ไว้ว่า “ตอนเริ่มทำอัลบั้มนี้ ผมอยู่ในจุดที่ชีวิตล้มเหลวและกลัวไปหมดทุกอย่าง จนกระทั่งทำอัลบั้มเสร็จ ผมถึงเอาชีวิตกลับคืนมา รู้ว่าตัวเองสมควรมีความสุข สมควรมีอิสระ ณ ตอนนี้ผมไม่ได้กลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว”

 

 

     ในช่วงเวลาสามเดือนที่ผ่านมา ช่วงที่ชีวิตเชสเตอร์กลับมาดูสมบูรณ์แบบและเดินไปในทิศทางที่เปี่ยมไปด้วยพลังบวก เขากลับเผชิญปัญหาสำคัญ เมื่อหนึ่งในเพื่อนสนิทของเขา คริส คอร์เนลล์ (Chris Cornell) นักร้องนำวง Soundgarden และ Audioslave เลือกจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายที่โรงแรม MGM Grand ในเมืองดีทรอยต์ เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2560

     ความสัมพันธ์ของทั้งคู่สนิทสนมกันถึงขั้นว่า เชสเตอร์เป็นพ่อทูนหัวของลูกชายคริส ที่ชื่อคริสเหมือนกัน และในพิธีศพของคริส คอร์เนลล์ เชสเตอร์ยังร้องเพลง Hallelujah ของลีโอนาร์ด โคเฮน (Leonard Cohen) ให้เพื่อนคนนี้  มากไปกว่านั้น ตอนที่คริสเสียชีวิต เชสเตอร์ได้โพสต์ข้อความลงในอินสตาแกรม เนื้อความกล่าวว่า “ผมไม่สามารถจินตนาการโลกที่ไม่มีคุณอยู่ด้วย ผมจะสวดมนต์ให้คุณพบความสุขในชาติต่อไป และขอส่งความรักไปยังภรรยา เพื่อน และครอบครัวของคุณ ขอบคุณที่ทำให้ผมได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของคุณ”

 

 

     ในวันที่ 20 กรกฎาคม แฟนเพลงทั้งโลกต้องช็อกและหัวใจสลาย หลังจากเชสเตอร์ เบนนิงตัน วัย 41 ปีได้ฆ่าตัวตายโดยการแขวนคอที่บ้านพักย่าน Palos Verdes Estates เมืองลอสแอนเจลิส ในช่วงเช้าตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐอเมริกา โดยยังไม่ได้มีสาเหตุอย่างเป็นทางการ ศิลปินหลายคนร่วมถึงสมาชิกของวง Linkin Park ก็ได้ออกมาทวีตข้อความแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ครั้งนี้

 

     “Shocked and heartbroken, but it’s true. An official statement will come out as soon as we have one.” – Mike Shinoda

     “ช็อก และหัวใจสลาย แต่มันเป็นความจริง เราจะแถลงการณ์ให้เร็วที่สุดเมื่อเราได้ข้อสรุป” – ไมค์ ชิโนดะ

 

     “RIP CHESTER BENNINGTON. We can never know someone’s pain. Prayers to his family in this tragedy. If you need help REACH OUT.” – Paul Stanly

     “เราไม่มีวันล่วงรู้ความเจ็บปวดของผู้อื่น ขอพรให้กับครอบครัวของเขาและเหตุการณ์แสนเศร้าครั้งนี้ โปรดจงร้องขอ ถ้าหากคุณต้องการความช่วยเหลือ” – พอล สแตนลีย์

 

     “Oh dear God. Massive R.I.P to Chester Bennington of @linkinpark this BREAKS OUR HEART. Suicide is the devil on earth walking amongst us 🙁 “ – OneRepublic

     “เหตุการณ์นี้ทำให้หัวใจเราแตกสลาย การฆ่าตัวตายคือปีศาจที่เดินอยู่ท่ามกลางมนุษย์โลก” – OneRepublic

 

     “No words. So heartbroken. RIP Chester Bennigton” – Imagine Dragons

     “หัวใจแตกสลายเกินกว่าจะมีคำพูดใดๆ” – Imagine Dragons

 

     “R.I.P Chester Bennington. My thoughts are with his family & friends today. He & @linkinpark are the kindest folks you could ever hoped to meet” – Ryan Adams

     “ด้วยความระลึกถึงครอบครัวและเพื่อนของเชสเตอร์ เขาและวง Linkin Park คือกลุ่มคนที่คุณควรหวังว่าจะได้พบ” – ไรอัน อดัมส์

 

 

     ถ้าคุณฟอลโลว์ IG @chesterbe ของเชสเตอร์ จะเห็นว่าเมื่อวันที่ 24 เดือนเมษายนที่ผ่านมา เขาได้โพสต์รูปลูกๆ และภรรยา ทาลินดา เบนนิงตัน (Talinda Bennington) พร้อมแคปชัน ‘ในวันใหม่คุณต้องโฟกัสในสิ่งที่สำคัญ รัก!’ สำหรับแฟนคลับตัวยงของวง Linkin Park จะรู้ว่านี่คือด้านสวยงามและด้านบวกของเชสเตอร์ที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายต่อหลายครั้งในชีวิต

     ถึงแม้วันนี้ เส้นทางชีวิตของเชสเตอร์จะสิ้นสุด แต่สิ่งสำคัญที่เราแฟนเพลงไม่ว่าจะยุคไหนของวง Linkin Park ไม่ควรหยุด ก็คือการเปิดเพลงของเขาต่อไป เปิดให้ดังจนเด็กรุ่นใหม่ได้รับรู้ว่า ครั้งหนึ่งเราเคยมีศิลปินที่ร้องเพลงจากหัวใจเสมอ แม้เพลงท่อนที่โด่งดังที่สุดของเชสเตอร์จะบอกว่า ‘In The End It Doesn’t Really Matter’ แต่เชสเตอร์ เบนนิงตัน ยังคงความสำคัญต่อเราไปตลอดกาล

 

Cover Photo: CyberEak/shutterstock

อ้างอิง:

FYI
  • เชสเตอร์มีลูกๆ ทั้งหมดหกคน เริ่มจาก เจมมี (Jaime) ที่เกิดในปี 1996 กับแฟนสาวของเขา เอลกา แบรนด์ (Elka Brand) ส่วนลูกคนที่สอง ดราเวน เซบาสเตียน (Draven Sebastien) เกิดในปี 2002 กับภรรยาคนแรกของเชสเตอร์ ซาแมนตา มาเรีย โอลิต (Samantha Marie Olit) ซึ่งต่อมาหย่าร้างกัน
  • เชสเตอร์แต่งงานกับนางแบบ ทาลินดา เบนต์ลีย์ (Talinda Bentley) ในปี 2006 พร้อมมีลูกคนที่สาม ไทเลอร์ ลี (Tyler Lee) และยังรับเลี้ยงลูกของแฟนคนแรกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย (Elka Brand) ที่ชื่อ อิสยาห์ (Isaiah) และปิดท้ายในปี 2011 ด้วยคู่แฝด ไลลา (Lila) และ ลิลลี่ (Lily) กับภรรยานางแบบทาลินดา  

Photo: s_bukley/shutterstock

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X