ในยุคที่เรามีเสื้อผ้ามากมายแต่กลับรู้สึกว่าไม่มีอะไรใส่ ปัญหานี้ไม่ใช่แค่เรื่องรสนิยม แต่คือสัญญาณของวัฒนธรรมการบริโภคที่ขับเคลื่อนด้วยความเร็วและความฟุ่มเฟือย
ท่ามกลางโลกที่หมุนเร็วและเทรนด์ที่เปลี่ยนทุกฤดูกาล แบรนด์อย่าง UNIQLO เลือกจะไม่วิ่งแข่งกับเวลา แต่กลับหยุดเพื่อตั้งถามคำถามสำคัญว่า “เราจะสร้างแฟชั่นที่อยู่ได้นานขึ้น และไม่ทิ้งรอยเท้าให้โลกมากขึ้นได้อย่างไร”
และในวันนี้เราได้คำตอบแล้วนั่นคือแนวคิดของแบรนด์อย่าง RE.UNIQLO โครงการที่ก้าวเข้าสู่ปีที่ 5 และได้กลายมาเป็นรากฐานสำคัญของแนวคิดแบบ Circular Fashion หรือแฟชั่นหมุนเวียน ที่ออกแบบให้เสื้อผ้าทุกชิ้นมีชีวิตที่ยาวนาน ตั้งแต่กระบวนการผลิต ส่งต่อ สวมใส่ ไปจนถึงหลังการใช้งาน

UNIQLO Ariake
ล่าสุดเรามีโอกาสได้ไปเยี่ยมออฟฟิศของพวกเขาที่ Ariake ไปดูช้อปที่มีโปรเจกต์ UNIQLO Pre-Owned Clothes Project ที่ UNIQLO Setagaya Chitosedai Store และเข้าดูโรงงาน Toray Industries Seta Plant ที่ตอนนี้ได้กลายมาเป็นพาร์ทเนอร์สำคัญของแบรนด์ ที่ช่วยในการผลักดันกระบวนการผลิตเพื่อความยั่งยืน ตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึงการนำกลับมาผลิตซ้ำ และเหล่านี้คือสิ่งที่เราเรียนรู้จากการเดินทางครั้งนี้
Timeless Over Trendy: พบกับศิลปะของการมีน้อยแต่ใช้ได้นาน
แทนที่จะออกคอลเล็กชันใหม่ทุกเดือน เราพบว่า UNIQLO กลับโฟกัสกับการสร้างเสื้อผ้าคุณภาพดีและอยู่นาน ภายใต้ปรัชญา LifeWear ด้วยเสื้อผ้าที่ออกแบบอย่างเรียบง่าย แต่ใช้งานได้ในชีวิตจริง และเหมาะกับผู้คนทุกเพศทุกวัย

Koji Yanai
Koji Yanai ผู้บริหารระดับสูงของ Fast Retailing กล่าวไว้ว่า “เสื้อผ้าที่ดี ไม่ได้หมายถึงแค่สวยหรือราคาดี แต่ต้องยั่งยืนด้วย” นั่นทำให้คำว่าคุณภาพที่ดี จึงมีมิติมากกว่าเดิม ทั้งในแง่คุณภาพ ความทนทาน และความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
ปัจจุบัน UNIQLO ใช้ฝ้ายที่ปลูกอย่างยั่งยืน 100% และกว่า 78% ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมด ทำจากวัสดุรีไซเคิลหรือวัสดุที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำ เป้าหมายคือภายในปี 2030 จะต้องผลักไปให้ถึง 90% ให้ได้ ตอนนี้ความยั่งยืนจึงกลายมาเป็นมาตรฐานใหม่ของแฟชั่นเรียบง่ายที่ทางแบรนด์ต้องการก้าวไป
RE.UNIQLO: เมื่อการซ่อมกลายเป็นศิลปะ

เราได้เรียนรู้ว่าการที่เสื้อผ้าชำรุดหรือพัง มันยังไม่จำเป็นต้องจบชีวิตที่ถังขยะเท่านั้น เพราะการซ่อมคือการต่ออายุให้เสื้อผ้าให้ผู้เป็นเจ้าของสามารถใช้งานได้นานขึ้น ทำให้มันทันสมัยขึ้น หยิบมาใส่ได้เรื่อยๆ อีกทั้งการซ่อมยังเป็นการสร้างความผูกพันระหว่างผู้สวมใส่กับเสื้อผ้าได้อีกด้วย เพราะคงไม่มีใครสวมใส่เสื้อผ้าครั้งเดียวแล้วเก็บเข้าตู้นานตลอดกาล
เมื่อตั้งต้นจากแนวคิดนี้ ในปี 2022 แบรนด์ได้เปิดตัว RE.UNIQLO STUDIO ที่ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ก่อนจะขยายไปกว่า 66 แห่ง ใน 23 ประเทศทั่วโลก (ณ วันที่ 24 ตุลาคม 2025) เช่น สาขาใหม่ที่เพิ่งเปิดในประเทศโปแลนด์ และสาขาโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น
ที่นี่ไม่ใช่แค่ศูนย์บริการซ่อมเสื้อผ้า แต่เป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้และสร้างสรรค์ เพราะคุณสามารถนำเสื้อผ้ามาเย็บ ซ่อม ปัก หรือรีเมกใหม่ให้เป็นชิ้นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งหาไม่ได้จากที่ไหนอีกแล้ว
และหนึ่งในเทคนิคที่ได้รับความนิยมคือ Sashiko (刺し子) การปักผ้าแบบญี่ปุ่นโบราณที่เปลี่ยนรอยซ่อมให้กลายเป็นงานศิลป์ ด้วยเส้นด้ายสีสดใสที่เย็บเป็นลวดลายเรขาคณิต ทำให้รอยซ่อม กลายเป็นจุดเด่นของเสื้อผ้าแทนที่จะเป็นจุดบกพร่อง และนี่ได้กลายมาเป็นซิกเนเจอร์ของ RE. UNIQLO STUDIO ที่พบเจอได้ในสาขาต่างๆ ทั่วโลก
UNIQLO Pre-Owned Clothes Project เสื้อผ้าที่กลับมามีชีวิตอีกครั้ง

อีกหนึ่งไฮไลต์จากทริปนี้คือ การไปเยี่ยมชมช้อปในช้อปของ UNIQLO Setagaya Chitosedai Store ที่มาภายใต้แนวคิดไม่เพียงแค่ซ่อม แต่ยังหมุนเวียนเสื้อผ้าคุณภาพดีจากเจ้าของเดิม เพื่อส่งต่อให้เจ้าของใหม่ หรือที่เรียกว่า UNIQLO Pre-Owned Clothes Project แนวคิดนี้เรียบง่ายแต่ดี เพราะเสื้อผ้าที่ถูกสวมใส่แล้ว จะสามารถกลับมามีชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง โดยจะเป็นการรวบรวมเสื้อผ้าที่ผ่านการใช้งานมาจัดจำหน่ายใหม่ในราคาที่เหมาะสมไม่กี่พันเยนเท่านั้น คัดเลือกเฉพาะชิ้นที่ยังอยู่ในสภาพดี ผ่านการตรวจคุณภาพ ซ่อมแซม และทำความสะอาดอย่างละเอียด ก่อนกลับมาวางจำหน่ายอีกครั้งในพื้นที่โซนหนึ่งของช้อปใหญ่

ในช่วงทดลองที่ผ่านมามีการจำหน่ายเสื้อผ้าประมาณ 35,000 ชิ้น และเมื่อรวมกับป๊อปอัพสโตร์ที่ฮาราจูกุ (Harajuku) ที่เปิดไปก่อนหน้านี้ ตัวเลขรวมสูงเกือบ 40,000 ชิ้น ปัจจุบันโครงการนี้ยังมีจำหน่ายเฉพาะในบางสาขาในญี่ปุ่นเท่านั้น ได้แก่
- UNIQLO Setagaya Chitosedai Store (Tokyo)
- UNIQLO Tenjin Store (Fukuoka)
- UNIQLO Maebashi Minami IC Store (Gunma)

แต่ในอนาคตมีแผนจะขยายสาขาหากว่าผลตอบรับของลูกค้าได้รับความสนใจ ซึ่งรายได้จากการจำหน่ายจะถูกนำไปบริจาคให้กับองค์กรที่ช่วยเหลือสังคม เช่น Shibuya Children’s Table โครงการเพื่อเด็กในชุมชนภายใต้แนวคิด การเติบโตของเด็กๆ และ UNHCR เพื่อช่วยเหลือผู้ลี้ภัยทั่วโลก

From Trash to Treasure: เมื่อเทคโนโลยีรีไซเคิลได้จริง

ต้องบอกว่าไม่ใช่แค่งานซ่อม แต่อีกหัวใจสำคัญของ RE.UNIQLO คือระบบ Clothing to Clothing ที่เปลี่ยนเสื้อผ้าที่สวมไม่ได้แล้วให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ปัจจุบันมีเสื้อผ้ากว่า 3.5 ล้านชิ้น ถูกนำมารวบรวมผ่านกล่อง RE.UNIQLO ในร้านค้าทั่วโลก (เมืองไทยก็มีนะ)
เสื้อผ้าที่อยู่ในสภาพดีจะถูกส่งต่อให้ผู้ลี้ภัยและผู้ประสบภัยพิบัติร่วมกับ UNHCR หลังผ่านกระบวนการคัดแยกด้วยมือที่ศูนย์ Sendai Sorting Center ในขณะที่ดาวน์แจ็กเก็ตจะถูกส่งไปรีไซเคิลที่โรงงาน Toray Industries Seta Plant ซึ่งเป็นโรงงานรีไซเคิลอัตโนมัติแห่งแรกของโลก ซึ่งเรามีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมมาแล้ว

ด้วยเทคโนโลยีใหม่ ทำให้ทางโรงงานสามารถแยกขนเป็ดจากแจ็กเก็ตเก่า เพื่อนำมาทำความสะอาด และผ่านกระบวนการที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้กว่า 90% โดยไม่ลดคุณภาพของขนเป็ดด้านใน ส่วนเศษผ้าและซิปที่เหลืออีก 10% จะถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่น เพื่อให้ไม่มีชิ้นไหนต้องกลายเป็นขยะ และดาวน์แจ็กเก็ตที่ถูกผลิตขึ้นจากกระบวนการนี้จะยังรักษาประสิทธิภาพและรูปทรงได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนั้นเรายังได้เห็นกระบวนการนำขวดพลาสติกมาทำเป็นผ้าเพื่อใช้การทำไอเท็มต่างๆ ของแบรนด์อีกด้วย

Circular Fashion: อนาคตที่ไม่มีคำว่า “ขยะ”

จากโครงการเล็กๆ ที่เริ่มในปี 2020 วันนี้ RE.UNIQLO เติบโตจนกลายเป็นระบบหมุนเวียนครบวงจร ตั้งแต่การผลิต การซ่อม การบริจาค จนถึงการรีไซเคิล โดยมีเป้าหมายใหญ่ในปี 2030 ได้แก่ ใช้วัสดุรีไซเคิล หรือ Low-emission 90% ใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ในการผลิต ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์อย่างมีนัยสำคัญ ขยาย RE.UNIQLO STUDIO ทั่วโลก

เพราะท้ายที่สุดแล้ว เราอาจค้นพบว่าแฟชั่นยั่งยืนไม่ได้อยู่ไกลตัวอย่างที่คิด แต่มันเริ่มต้นจากการมองเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว เหมือนที่ปรัชญาญี่ปุ่นสอนให้เราใช้ชีวิตอย่างมีสติ และเคารพในวัฏจักรของสิ่งของ ไม่ต่างจากแนวคิดของ RE.UNIQLO ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าเสื้อผ้าหนึ่งชิ้น สามารถสร้างผลกระทบดีๆ ให้โลกได้ยาวนานกว่าที่เราคิด หากเราเลือกที่จะดูแล มากกว่าทิ้งไป
ภาพ: UNIQLO, ภัทรศยา เชาว์รัศมีกุล


