นี่คือ iPhone ที่เราควรจะอัปเกรดใช่ไหม? คงเป็นคำถามสำหรับคนจำนวนไม่น้อยหลังจากที่ได้ชมการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดจาก Apple ในธีม ‘It’s Glow Time’ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่การจะตอบคำถามดังกล่าวได้ดีที่สุดคือการได้ลองสัมผัสเพื่อรับประสบการณ์ดูก่อน และนี่คือสิ่งที่ THE STANDARD WEALTH ได้คำตอบจากการลองสัมผัส iPhone 16 ที่พวกเราเชื่อว่าเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าถ้าใครอยากจะอัปเกรด
สำหรับ iPhone 16 เป็นหนึ่งในรุ่นที่เปิดตัวในปีนี้จากทั้งหมด 4 รุ่นเหมือนทุกครั้ง อันประกอบไปด้วย iPhone 16, iPhone 16 Plus, iPhone 16 Pro และ iPhone 16 Pro Max โดยที่ยังไม่มีรหัสชื่อต่อท้ายอื่นที่คาดเดากัน เช่น Ultra ออกมาแต่อย่างใด
ในบรรดารุ่นทั้งหมด iPhone 16 เป็นรุ่นที่ดูปกติธรรมดาที่สุด แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอะไรที่น่าสนใจ ในทางตรงกันข้าม Apple ได้ ‘อัปเกรด’ หลายอย่างให้กับสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดมากพอที่จะทำให้คิดว่านี่ไม่ใช่การอัปเกรดแค่เล็กน้อยอย่างที่ความรู้สึกบอกในทีแรก แต่ให้ความรู้สึกแบบ ‘เป็นเราคนใหม่ที่ดีกว่าเดิม’ (Better version of me)
นอกเหนือจากสัมผัสที่ให้ความรู้สึกดีเหมือนเดิมแล้ว ความดีงามจริงๆ ของ iPhone 16 อยู่ที่หัวใจข้างในอย่างชิปประมวลผล ซึ่งที่ผ่านมา iPhone รุ่นธรรมดาจะได้ชิปที่ตามหลังรุ่นท็อปอย่างรุ่น Pro หรือ Pro Max สองเจเนอเรชัน เพื่อแบ่งแยกให้เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนของความสามารถในการใช้งาน แต่ในครั้งนี้ Apple ให้ชิป A18 รุ่นใหม่ล่าสุดกับ iPhone 16 และ iPhone 16 Plus
เหตุผลนั้นเป็นเพราะชิป A18 สร้างขึ้นเพื่อรองรับ Apple Intelligence นั่นเอง ซึ่งแม้ตอนนี้จะยังใช้ไม่ได้ในประเทศไทย (ผิดหวังนิดหน่อย) แต่ชิปใหม่อะไรๆ ก็ย่อมดีกว่าเก่าอยู่แล้ว ซึ่งทางเทคนิคแล้วชิป A18 สร้างบนเทคโนโลยี 3 นาโนเมตร รุ่นที่ 2 ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพอย่างมีนัยสำคัญ CPU แบบ 6-core เร็วและประหยัดกว่า A16 Bionic ของรุ่นที่แล้วถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ GPU แบบ 5-core เร็วกว่าเดิม 40 เปอร์เซ็นต์ และประหยัดพลังงานมากกว่า 35 เปอร์เซ็นต์
สำหรับคอเกมก็น่าจะดีใจ เพราะ iPhone 16 ยังมาพร้อมกับ Ray Tracing ที่จะทำให้กราฟิกในเกมสวยและคมชัดสมจริงยิ่งขึ้น รวมถึงประสิทธิภาพในการเล่นเกมต่อเนื่องสูงขึ้น 30 เปอร์เซ็นต์ ทำให้เล่นเกมในระดับ AAA ที่เคยสงวนไว้สำหรับรุ่น Pro ได้ด้วย ซึ่งเท่าที่ลองทดสอบเล่นเกมแล้วบ้างเล็กน้อย พบว่าจริงๆ แล้ว iPhone 16 ก็น่าจะเป็น Gaming Phone ดีๆ เครื่องหนึ่งเลย ในความลื่นไหล เฟรมเรต ความสวยงามของภาพ การประหยัดแบตเตอรี่ ทำได้อย่างที่บอกไว้
ความใหม่ของ iPhone ไม่ได้มีแค่นี้ อีกไฮไลต์ที่หลายคนสนใจ โดยเฉพาะคนที่ชื่นชอบการถ่ายภาพหรือวิดีโอ คือการเพิ่ม ‘ตัวควบคุมกล้อง’ (Camera Control) ที่ช่วยให้การยกมือถือขึ้นมาถ่ายภาพได้ความรู้สึกใหม่ที่ดีขึ้นคล้ายกับการใช้กล้องคอมแพ็กต์ดิจิทัล ซึ่งกำลังกลับมาได้รับความนิยมในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา
ตัวควบคุมกล้องนี้ไม่ได้เป็นแค่ปุ่ม (ฮาร์ดแวร์) อย่างเดียว แต่มีการใช้ซอฟต์แวร์เข้ามาช่วยด้วย ออกมาเป็นสวิตช์ที่ปุ่มขยับขึ้น-ลงได้ ไม่ถึงกับเป็นลักษณะ Dial แต่ให้ประสบการณ์แบบการคลิกที่มีเซ็นเซอร์แรงกดความแม่นยำสูง พร้อมเซ็นเซอร์แบบ Capacitive ที่โต้ตอบด้วยการสัมผัสได้
ในทางเทคนิคถือว่าน่าสนใจ ส่วนการใช้งานจริงก็ถือว่าให้ความรู้สึกแปลกใหม่อยู่บ้าง การใช้งานตัวควบคุมกล้องเพื่อเปิดการใช้งานกล้องเป็นไปอย่างรวดเร็วและนุ่มนวล และยังใช้ปรับแต่งค่าต่างๆ เช่น การซูม, ค่าแสง หรือมิติความชัดลึก เพียงแต่อาจต้องใช้ความคุ้นเคยอยู่บ้างเพื่อให้ใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว
iPhone 16 ยังพัฒนาเรื่องกล้องขึ้นอีกขั้นด้วยกล้อง Fusion 48MP ใหม่ มีการจัดเรียงตำแหน่งกล้องใหม่เพื่อตัวเลือกเทเลโฟโต้ 2 เท่าที่คุณภาพอยู่ในระดับออปติคัล เสมือนมี 2 กล้องในกล้องเดียว แต่ที่เปลี่ยนชัดเจนคือกล้องอัลตราไวด์ 12MP ที่ถ่ายภาพมาโครได้ อันนี้น่าจะถูกใจหลายคน
ส่วนคนที่ชอบแต่งภาพ คุณสมบัติรูปแบบถ่าย หรือ Photographic Styles มีการอัปเกรดให้ดีขึ้น โดยเฉพาะการไล่สกินโทนปรับแต่งสีผิวที่เลือกได้ว่าอยากให้สีผิวออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งสามารถดูตัวอย่างได้ทันที และยังกลับมาเปลี่ยนในภายหลังได้ จากที่ลองใช้งานก็ถือว่าทำได้ดี สาวๆ ผู้ชื่นชอบการถ่ายภาพน่าจะถูกใจเป็นพิเศษ เช่นกันกับตากล้องสายสตรีทผู้ไม่อยากสะพายกล้อง iPhone 16 ก็ดีพอที่จะทำให้ภาพสแนปของคุณมีความลึกมากขึ้นด้วย
นอกเหนือจากการอัปเกรดใหญ่เหล่านี้แล้ว iPhone 16 ก็มาพร้อมกับหน้าจอใหม่ Ceramic Shield ขนาด 6.1 นิ้ว เจเนอเรชันล่าสุด แข็งแกร่งกว่าเจเนอเรชันแรกถึง 50 เปอร์เซ็นต์ (แต่ก็ไม่แนะนำให้ไปทดสอบโดยไม่จำเป็น) ปุ่ม Action Button อเนกประสงค์ และแน่นอนว่ามาพร้อมกับ iOS 18 ที่พัฒนาในหลายๆ ด้านที่ช่วยให้ทุกอย่างในชีวิตดีและง่ายขึ้น
ถึงจะต้องหักคะแนนเรื่อง Apple Intelligence ที่ไม่พร้อมใช้งานเป็น ‘ภาษาไทย’ ในตอนนี้ (ซึ่งจริงๆ คนไทยสามารถใช้งาน Apple Intelligence ได้ถ้าตั้งค่าภาษาและ Siri เป็น US English แต่ยังต้องรอ iOS 18.1 ที่จะมาในเดือนตุลาคม ส่วนการสั่งงานภาษาไทยอาจต้องรอถึงปี 2569 หรือนานกว่านั้น) และสีสันใหม่ (สีดำ, ขาว, ชมพู, เขียวอมฟ้า และน้ำเงินอัลตรามารีน) ที่รู้สึกว้าวน้อยกว่าหลายๆ รุ่นก่อนหน้านี้
แต่เมื่อคิดถึง iPhone 16 ที่สนนราคาเริ่มต้น 29,900 บาท สำหรับความจุ 128GB (และ 34,900 บาท สำหรับ iPhone 16 Plus) ซึ่งเป็นราคาที่ถูกลงจากการเปิดตัว iPhone 15 เมื่อปีที่แล้ว 3,000 บาท ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกในการอัปเกรดที่น่าสนใจและคุ้มค่าพอที่จะใช้ไปอีกยาวๆ หลายปี
แต่จะคุ้มค่ามากพอที่จะทำให้ปันใจจาก iPhone ที่อยู่ในมือเวลานี้หรือไม่ พรุ่งนี้แวะไปจับของจริงที่ Apple centralwOrld หรือ Apple ICONSIAM ก็น่าจะพอรู้คำตอบกัน!
ภาพ: ภูมิ มะเดชะ