ถ้าพูดถึงย่านที่ครึกครื้นและครบทั้งช้อป กิน ดื่ม เที่ยวในฮ่องกง Tsim Sha Tsui (จิมซาจุ่ย) ก็ยังคงเป็นตัวเลือกติดท็อปอยู่เสมอ ด้วยร้านรวงที่มีให้เลือกตั้งแต่ระดับโลคัลไปจนลักชัวรี แถมยังมีวิวสวยฉ่ำของอ่าววิกตอเรีย (Victoria Harbour) ให้เสพแบบหนำใจ ซึ่งแน่นอนว่าการได้พักโรงแรมในย่านนี้เป็นอะไรที่ตอบโจทย์ไม่น้อย
ล่าสุดเรามีโอกาสได้แวะไปเช็กอินโรงแรมใหม่อย่าง Mondrian Hong Kong ปักหลักใน Tsim Sha Tsui ทำเลทองที่ไม่เพียงคอนเน็กต์กับทุกไลฟ์สไตล์ แต่ตัวโรงแรมยังมีดีไซน์ที่ยูนีก Facility ครบ ที่สำคัญคืออาหารอร่อยลืม
Why here?
ดีไซน์คอนเซปต์ของ Mondrian Hong Kong ถูกตั้งต้นจากมรดกทางวัฒนธรรมของฮ่องกงที่ถูกนำมาทวิสต์ให้มีความร่วมสมัยผ่านเลนส์ของ Karin Krautgartner ผู้ก่อตั้งและครีเอทีฟไดเรกเตอร์แห่ง byKK ถ่ายทอดเป็นนิยามใหม่ของที่พักที่ให้ทั้งความหรูหราและสีสันความสนุกของศาสตร์และศิลป์ ในขณะที่สอดแทรกกลิ่นอายของประวัติศาสตร์ได้อย่างกลมกลืน
พื้นที่เช็กอินจุดแรกบริเวณล็อบบี้นั้นชวนสะดุดตากับกำแพงขนาดใหญ่ที่มีภาพของเหล่านักเต้นที่กำลังร่ายรำใต้น้ำ ทำจาก Glass Mosaic ชิ้นเล็กๆ จากแบรนด์อิตาลีอย่าง Bisazza ซึ่งเป็นการรังสรรค์ขึ้นจากภาพถ่ายของ Christy Lee Rogers จากไคลัว ฮาวาย Visual Artist ผู้ถ่ายทอดศิลปะใต้น้ำได้อย่างสุดสะพรึง
ภาพ: Mondrian Hong Kong
ที่นี่มีทั้งหมด 324 ห้องนอน มีทั้ง Deluxe, Premiere, Superior และ Suite ซึ่งห้องที่เราเข้าพักคือแบบ Habour King Suite ซึ่งมีทั้งหมด 12 ห้อง แตะบัตรเข้าห้องเสียบบัตรปุ๊บม่านก็ค่อยๆ เลื่อนขึ้น เผยให้เห็นหน้าต่างขนาดโอเวอร์ไซส์ที่มีวิวผืนอ่าววิกตอเรียเป็นพื้นหลัง พลางสะดุดตากับโซฟาแดงสีสดตัดกับลวดลายแอ็บสแตรกต์บนพรม พร้อม Welcome Treats สีรุ้งสดใสเสิร์ฟบนโต๊ะ
บริเวณห้องนั่งเล่นยังมีห้องน้ำตกแต่งสไตล์โมเดิร์นสีสันจัดจ้าน พร้อมกระจกกลมบานใหญ่กลางห้อง
เดินตรงดิ่งไปชื่นชมวิวริมหน้าต่างแบบใกล้ๆ ก็ทำให้เห็นวิวอ่าวแบบ 180 องศา
เหลือบมาด้านข้างเจอกับตู้โบราณขนาดใหญ่ เมื่อเปิดดูก็พบว่าเป็นตู้มินิบาร์ มีทั้งเครื่องกรองน้ำ เครื่องกาแฟ ลิสต์แอลกอฮอล์เรียงราย ส่วนตู้ด้านล่างเป็นที่เก็บแก้ว ชา กาแฟ และขนม
ด้วยคอนเซปต์ที่เน้นความยั่งยืน ที่นี่ไม่มีน้ำขวดให้บริการ แต่เป็นเครื่องกรองน้ำที่ถอดแล้วไปเติมน้ำก๊อกมากรองดื่มได้เลย
เดินทะลุไปอีกห้องก็จะเจอกับห้องนอนด้วยเตียงขนาด King Size โต๊ะที่มีเกม XO ให้เล่นพลางชมวิว
สำหรับคุณผู้หญิงก็สบายใจได้กับโต๊ะเครื่องแป้งพร้อม Mirror Light
เดินถัดมาจะเจอกับพื้นที่เก็บกระเป๋าเดินทาง ราวแขวนเสื้อ และห้องน้ำที่มีทั้ง Shower และ Bathtub ส่วน Amenities ในห้องน้ำก็ยังเป็นของแบรนด์พรีเมียมอย่าง MALIN+GOETZ มีครบทั้งชาวเวอร์เจล แชมพู คอนดิชันเนอร์ และบอดี้โลชั่น ถือเป็นห้องที่ค่อนข้างมีทุกอย่างครบเลยทีเดียว
ใครเป็นสายฟิตยิ้มได้ เพราะยิมที่นี่เปิด 24 ชั่วโมง และยังเป็นยิมที่ครบมาก มีทั้ง Cable Machine, Smith Machine, ลู่วิ่ง, เครื่องเดินวงรี, จักรยาน, เวต และอุปกรณ์ยืดเหยียดจาก Technogym แบรนด์ออกกำลังชั้นนำระดับโลกจากอิตาลี
เชื่อว่าพอฟ้าเริ่มมืด ใครที่เดินผ่านบริเวณหน้าโรงแรมก็คงสะดุดตากับ The Corner Shop สเปซขนาดย่อมของโรงแรมเด่นด้วยป้าย LED ส่องแสงเจิดจรัสอยู่ท่ามกลางตึกแถวเก่าแก่ที่โชว์เคส Installation Art การแสดงดนตรี หรือป๊อปอัพต่างๆ ที่จะเวียนเปลี่ยนไปในแต่ละช่วง
อีกจุดเช็กพอยต์ที่ไม่แวะไปไม่ได้คือรูฟท็อป ชั้นที่โรงแรมตั้งใจให้เป็นสเปซสำหรับปาร์ตี้ มองดูฟ้ายามเย็นพร้อมวิวพระอาทิตย์ตกดินจากชั้นนี้แล้วเป็นอะไรที่สวยเกินบรรยายจริงๆ
มาในส่วนของปากท้องกันบ้าง Avoca บาร์และร้านอาหารบนชั้น 38 ที่เปิดตั้งแต่เช้าตรู่ถึงตี 1 กลางร้านเป็นเคาน์เตอร์บาร์สวยเด่นให้นั่งชมบาร์เทนเดอร์ทำดริงก์เพลินๆ
สิ่งแรกที่เราประทับใจมากคือไอเดียการพรีเซนต์ซิกเนเจอร์ค็อกเทลของที่นี่ เชื่อว่าหลายครั้งเรามักจะสองจิตสองใจ เลือกไม่ถูกว่าจะลองแก้วไหนก่อน บางครั้งแก้วที่สั่งก็ไม่ถูกใจอีก Avoca เลยงัดไอเดียสเปรย์ค็อกเทลให้ชิมก่อนสั่งซะเลย เป็นกิมมิกที่เก๋ไม่เบา
ในแง่ของรสชาติค็อกเทลที่นี่ก็มีการหยิบส่วนผสมโลคัลหรือรสชาติที่นำเสนอความเป็นฮ่องกงมาทวิสต์กับคลาสสิกค็อกเทลให้มีความแปลกใหม่แต่เข้าถึงได้ เช่น Mango Pomelo Colada ที่ชวนให้นึกถึงขนมหวานสุดคลาสสิกอย่าง Pickled Cucumber Gimlet ($118) จินเบสอินฟิวส์กับน้ำแตงกวาดอง น้ำมันงา เพิ่มความเผ็ดร้อนด้วย Fire Tincture
ส่วนสไตล์อาหารจะเป็นแนวเวสเทิร์น-เอเชียนทวิสต์ เหมาะจะสั่งมาแชร์กับเพื่อนๆ ซึ่งเราเชื่อว่าเป็นรสชาติที่ทำถึง ถูกปากคนไทยเหมือนกับที่ถูกปากเรา สายของทอดต้องไม่พลาดเมนูกินเล่นอย่าง Crispy Corn ($138) ข้าวโพดทอดกรอบร้อนกินเพลิน
Deep-Fried Mushrooms ($128) เห็ดทอดสไตล์คร็อกเกไส้ชีสกามองแบร์นัวๆ
หนักท้องขึ้นมาหน่อยแนะนำเป็น Fish Taco ($198) แป้งตอร์ติญานุ่มๆ กินกับปลากะพงขาวทอดกรอบและซอสแมงโก้ซัลซา
Potato Rösti ($158) จานโปรดที่เบสเป็นแผ่นมันฝรั่งทอดกินกับพาร์มาแฮมเค็มๆ และครีมมาสคาร์โปเนเข้ากันดี
Lobster & Crab Rolls ($318) ขนมปังบริยอชเนื้อนุ่มยัดไส้ล็อบสเตอร์และปูฉ่ำซอส
ถ้าเน้นจานเดียวจบอิ่มท้องหรืออยากแชร์กับเพื่อน แนะนำ Beef Two Ways ($298) เนื้อซี่โครงตุ๋นนุ่มละมุนชุ่มซอสมิโซะเสิร์ฟกับพิวเรถั่วเขียว และหอมดองโฮมเมดที่ช่วยตัดเลี่ยนได้ดี
Ciabatta Beef Pastrami Sandwich ($268) สะใจกับแซนด์วิชพาสตรามีเนื้อส่วนอกเลเยอร์ด้วยผักและชีส
Crispy Chicken Waffle ($228) ที่ใช้เป็นไก่ทอดสไตล์ไต้หวัน สลัดกะหล่ำปลี ใบกะเพรา ราดซอสซอยมาโย
หากมาตอนเช้าก็จะได้บรรยากาศที่ดีไปอีกแบบ เอ็นจอยเบรกฟาสต์แบบเซ็ตหรือเลือก Customize เองพลางชมวิวเมืองได้แบบชิลๆ นอกเหนือจากเซ็ตในเมนูแล้วที่นี่ยังมีไลน์เบเกอรีและน้ำผลไม้สดให้บริการด้วย
อีกร้านอาหารที่ไม่แวะไม่ได้คือ Carna by Dario Cecchini Contemporary-Italian Steakhouse บนชั้น 39 โดย Dario Cecchini ผู้ซึ่งเป็นบุตเชอร์ชื่อดังจากหมู่บ้านปันซาโน ในแคว้นทัสคานี ประเทศอิตาลี
ภาพ: Mondrian Hong Kong
ปรัชญาของที่นี่คือ ‘Nose-to-Tail’ เนื้อทุกส่วนของวัวสามารถนำมาประกอบเป็นอาหารได้ ดังนั้นแล้วที่นี่จึงกลายเป็นร้านอาหารทัสคานีตำรับแท้ที่ยึดหลัก Zero Waste
ในส่วนของดีไซน์ที่หรูหราเคล้ากลิ่นอาย 21st Century นี้ เป็นผลงานการออกแบบโดย Interior Designer ชาวฮ่องกง Joyce Wang ผู้เนรมิตให้ห้องอาหารแห่งนี้เหมาะจะเป็น Drink & Dine Destination อย่างแท้จริง
สำหรับอาหารนั้น คุณจะว้าวกับทุกสิ่งที่เสิร์ฟโดยเฉพาะถ้าคุณเป็นสายเนื้อ ประเดิมด้วย Chianti Tartare ($298) ที่ใช้เนื้อส่วนสะโพกทำกันให้ดูสดๆ ปรุงรสนิดเดียวก็อร่อยแล้ว
Vitello Tonnato ($298) ลิ้นและสะโพกลูกวัวสไลซ์บาง เสิร์ฟกับซอสทูน่าและพาร์สลีย์ ให้รสนุ่มละมุน
อะไรจะดีไปกว่าการแกล้มกับ Burrata E Pomodoro Cimelio ($248) สลัดบูราตาชีสที่ใช้มะเขือเทศสามสี และซอร์เบต์ใบกะเพรา
Polpette Ripiene Di Midollo ($268) มีตบอลทอดร้อนๆ ไส้ไขกระดูกรสเข้มข้นและซอสส้มโฮมเมด เป็นคอมบิเนชันที่ลงตัวมาก
เบรกเนื้อด้วยซีฟู้ดกันบ้าง Tagliolini Di Mare E Patate ($348) สปาเกตตีหมึกและหอยแมลงภู่เสิร์ฟกับโฟมมันฝรั่งรสชาติกลมกล่อม
Carnaroli Risotto alla Zucca ($318) รีซอตโตฟักทองเข้มข้นเสิร์ฟกับผักชาร์ดและชีสนมแกะ บอกเลยว่าใครที่ชอบความครีมมี่ไม่ควรพลาด
มาถึงไฮไลต์ของค่ำคืน Bistecca Etrusca 300 Days ($1,680) เนื้อสันคอ Black Angus 1.2 กิโลกรัม ที่นำไปดรายเอจ 60 วัน ย่างแบบมีเดียมแรร์ตามรีเควสต์ หั่นให้ดูกันตรงหน้า
“ฟินน้ำตาไหล” เนื้อชิ้นหนาใหญ่สะใจเต็มปากเต็มคำ จิ้มกินกับซอสที่เสิร์ฟมาด้วยอร่อยทุกตัว แนะนำให้แกล้มกับไวน์แดงชั้นดีที่ร้านแนะนำอย่าง Chianti classico 2021 จาก Il Molino di Grace คอมบิเนชันที่ต้องให้คะแนนเต็มสิบ
ณ จุดนี้ แม้จะต้องอุ้มท้องเดินแล้ว แต่พอเห็นจานของหวานที่นี่ก็ขอนั่งต่อ ให้หน้าตักตัวเองอุ้มไปก่อน Tiramisù di Casa ($208) ขอใช้คำว่าชามทีรามิสุร่วมสาบาน (ใหญ่กว่านี้ต้องขอเรียกอ่าง) ภายใต้ผืนผงโกโก้และไอซิ่งอันเนียนเรียบนี้คือครีมมาสคาร์โปเนเลเยอร์กับบิสกิต Savoiardi ชุ่มกาแฟ พอตักกินพร้อมกันทุกเลเยอร์แล้ว ตาของทุกชีวิตที่นั่งบนโต๊ะก็เบิกโต เสียงอุทานด้วยความเซอร์ไพรส์ดังออกมาในทุกครั้งที่ช้อนเข้าปาก บางทีสวรรค์ก็อยู่ในรูปแบบของทีรามิสุจริงๆ
ถ้าเป็นสายช็อกโกแลต Sensazione Di Cioccolato ($168) ก็คือสวรรค์ของคุณเช่นกัน บราวนีท็อปด้วยช็อกโกแลต Valrhona 3 ตัว ช็อกโกแลตเยลลี่ ช็อกโกแลตเจลาโต และซอสช็อกโกแลต เรียกว่าเป็นที่สุดของช็อกโกแลตเลยละ
ปิดท้ายด้วย La Nuovola Di Carna ($188) ซูเฟลร้อนๆ ไส้ซอสมิกซ์เบอร์รีสุดฉ่ำ รสเปรี้ยวของซอสเข้ากับเนื้อซูเฟลอย่างไร้ที่ติ
Worth it
- ห้องนอนดีไซน์เก๋พร้อมวิวอ่าววิกตอเรียแบบ 180 องศา นอนสบาย มีทุกอย่างครบ
- Avoca และ Carna เป็นห้องอาหารที่ห้ามพลาดเพราะอร่อยทุกอย่างแบบเหลือเชื่อ
- ที่สุดของทำเลทองกับการปักหลักในย่าน Tsim Sha Tsui ครบทุกเรื่องกิน เที่ยว ช้อป
- ยิมเปิด 24 ชั่วโมง สายฟิตหมดห่วงได้
Good for
ถ้ามองหาที่พักในย่าน Tsim Sha Tsui ที่เสิร์ฟครบทั้งความสะดวกสบาย อาหารและดริงก์ในไวบ์เก๋ไม่ซ้ำใคร เราเชื่อว่า Mondrian Hong Kong จะเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุดเลยละ
Mondrian Hong Kong
Address: 8A Hart Avenue, Tsim Sha Tsui, Kowloon
Tel: (852) 3550 0388
Budget: Habour King Suite เริ่มต้นที่ $5,000 ต่อคืน (ราคาห้องพักเปลี่ยนแปลงตามเทศกาล)
Website: https://book.ennismore.com/hotels/mondrian/hong-kong
ภาพ: วริศรา ลิ้มอนันตระกูล, Courtesy of the Brand