×

ยิ่งกว่าออแกนิค! Jurlique Farm ต้นกำเนิดสกินแคร์ที่คราฟต์จากพลังธรรมชาติ

17.04.2025
  • LOADING...
Jurlique Farm

“ออแกนิค, เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, ส่วนผสมจากธรรมชาติ” เชื่อว่านิยามเหล่านี้มักเป็นมนตร์สะกดที่ทำให้เหล่าผู้หลงใหลในสกินแคร์สายเขียว (เช่นเรา) ต้องหยุดชะงัก พลิกอ่านฉลากอย่างใจจดใจจ่อ และหลายครั้งก็ตัดสินใจเอฟลงตะกร้าด้วยความไวแสง 

 

น่าเศร้าที่หลายครั้งสิ่งที่เห็นก็ไม่ตรงกับสิ่งที่เป็น ผู้ประกอบการบางรายฉกฉวยโอกาสจากความเชื่อมั่นของเรา สร้างภาพลักษณ์ของความเป็นธรรมชาติ ยกเรื่องความยั่งยืนมาทำการตลาด โดยที่ผลิตภัณฑ์อาจไม่ได้มีคุณสมบัติตามที่ระบุไว้ 

 

เพื่อไม่ให้ตกหลุมพรางของการฟอกเขียว (Greenwashing) เราจึงควรทำความเข้าใจกับทุกนิยามที่กล่าวมาให้ลึกซึ้ง เช็กข้อมูลความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ปรัชญา รวมถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างละเอียด

 

ล่าสุดเรามีโอกาสได้เดินทางไปยังเมือง Adelaide (แอดิเลด) ประเทศออสเตรเลีย ต้นกำเนิด ‘Jurlique’ ตำนานความงามที่เพิ่งมีอายุครบรอบ 40 ไปหมาดๆ และประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้เราตกผลึกว่า ในโลกของความงามยังมี ‘ความบริสุทธิ์จากธรรมชาติ’ ที่เหนือกว่าความ ‘ออแกนิค’ มันคือวิถีชีวิต สิ่งแวดล้อม สังคม จิตวิญญาณ ความรัก ความรับผิดชอบต่อโลก ที่หลอมรวมให้ Jurlique เป็นมากกว่าสกินแคร์…แต่เป็นของขวัญอันทรงคุณค่า จากเมล็ดสู่ผิวพรรณอย่างแท้จริง

 

Jurlique Farm

 

Why Here?

กว่า 15 ชั่วโมงจากไทย…ในที่สุดเราก็เดินทางถึง Jurlique Farm ซึ่งตั้งอยู่ในเทือกเขา Adelaide Hills อันบริสุทธิ์แห่งออสเตรเลียใต้ คอบ่าไหล่ที่ร้องหาหมอนวดจากความล้าการนั่งเครื่องได้เงียบหายไปในนาทีที่ได้เห็นสิ่งตรงหน้า 

 

 

ไม่รอช้า คว้าหมวกสานมาสวมต้านแดดที่แรงสมคำร่ำลือ มุ่งหน้าเข้าสำรวจฟาร์มด้วยความตื่นเต้นไปพร้อมกับ Cherie – Farm Manager ผู้คอยถ่ายทอดเรื่องราวการเดินทางของ Jurlique ได้อย่างน่าหลงใหล 

 

Jurlique Farm Jurlique Farm

 

ผืนแผ่นดินที่เรายืนอยู่เดิมทีเป็นพื้นที่ของชาวเผ่าเปราแมงค์ (Peramangk) ชนพื้นเมืองดั้งเดิมของภูมิภาคนี้ที่มีวิถีชีวิตผูกพันกับการเก็บหาอาหารและล่าสัตว์ และยังเป็นผู้รักษาเส้นทางการค้าที่เคยผ่านดินแดนของพวกเขา

 

ทางฟาร์มเลยมีการแสดงความเคารพและให้เกียรติต่อชาวเผ่าเปราแมงค์ด้วยพิธีที่อบอุ่นเป็นกันเอง  

 

Jurlique Farm

 

Jurgen และ Ulrike Klein ผู้ปลุกชีวิตให้กับ Jurlique ได้มาเยือนที่ฟาร์มแห่งนี้เมื่อ 42 ปีก่อน ความอุดมสมบูรณ์ที่เห็นตรงหน้าทำให้ทั้งสองผุดวิสัยทัศน์ที่จะรังสรรค์สกินแคร์ที่ทรงพลังด้วยคุณค่าจากธรรมชาติเพื่อมอบผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแก่ผิว 

 

Ulrike Klein

 

นับจากนั้นพื้นที่แห่งนี้จึงกลายเป็น Biodynamic Farm ฟาร์มขนาดกว่าร้อยเอเคอร์ที่ได้รับการยอมรับว่าบริสุทธิ์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกด้วยการทำเกษตรแบบองค์รวมที่มีความยั่งยืนด้วยตัวเองตามระบบนิเวศ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์สำคัญที่ทำให้ Jurlique แตกต่างและล้ำกว่าจากแบรนด์สกินแคร์ออแกนิคทั่วไป 

 

  

Jurlique Farm Jurlique Farm

 

Biodynamic Farm ความล้ำที่เลียนแบบกันไม่ได้ง่ายๆ

การเพาะปลูกแบบ Biodynamic มีความล้ำและพิถีพิถันเหนือจินตนาการ เริ่มจากขั้นตอนการทำปุ๋ยด้วยตัวเองโดยการนำพืชผลมาหมักในถังประมาณ 6-8 สัปดาห์ ช่วงแรกจะส่งกลิ่นแรงแยงจมูก แต่เมื่อกลิ่นจางลงสิ่งนี้จะกลายเป็นน้ำหมักชีวภาพแสนวิเศษ เพราะมันสามารถช่วยเพิ่มไนโตรเจนในดินซึ่งช่วยในการกักเก็บน้ำและระบายอากาศได้ดี ต่อให้เกิดสภาพอากาศเลวร้าย ผืนดินแห่งนี้ก็ยังสตรอง ฆ่าไม่ตาย อยู่ได้แบบไม่สะทกสะท้าน

 

 

นอกจากการทำให้ดินแกร่งดุจหินผาแล้ว ทางฟาร์มยังใส่ใจกับการทำหน้าดินให้หนา เพราะยิ่งมีหน้าดินมากเท่าไร สารอาหารสำหรับพืชก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ทางฟาร์มจึงสามารถตัดการใช้สารเคมีไปได้ทั้งหมด 

 

 

ต่อจากเตรียมดินคือการปลูก ทางฟาร์มยังให้ความสำคัญกับจังหวะเวลาการปลูกตามวัฏจักรของดวงจันทร์และอิทธิพลจากจักรวาล นั่นหมายความว่าการปลูกและเก็บเกี่ยวตามวิถีของ Jurlique จะเป็นการอิงตามการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์ รวมไปถึงพลังงานของธาตุต่างๆ (ลม น้ำ ไฟ ดิน) เพราะธาตุเหล่านี้ล้วนเชื่อมโยงกับส่วนต่างๆ ของพืช ไม่ว่าจะเป็นส่วนดอก ใบ ผล หรือราก และยังเป็นการเก็บเกี่ยวด้วยมือเพื่อคงคุณค่าในพืชพรรณให้ได้มากที่สุด 

 

 

Cherie อธิบายถึงวิถีการเก็บเกี่ยวชนิดที่เห็นภาพชัด “คุณเคยไปห้องฉุกเฉินในคืนพระจันทร์เต็มดวงไหม? มันบ้ามากใช่ไหม? มันเป็นช่วงเวลาที่บ้าคลั่งของปี ไม่ใช่เวลาที่ดีที่จะปลูกต้นไม้ในคืนพระจันทร์เต็มดวง ดังนั้นเราจึงทำสิ่งต่างๆ โดยอิงตามจังหวะเวลา เราต้องการให้ดวงจันทร์อยู่ใกล้โลกมากที่สุด เพื่อให้ระดับน้ำสูง แต่เราก็ต้องการให้พลังงานเหมาะสมด้วย

 

Jurlique Farm

 

ดวงจันทร์โคจรผ่านธาตุต่างๆ ทุกๆ สองวันครึ่ง ดิน น้ำ ลม ไฟ และแต่ละธาตุก็มีการเชื่อมต่อกับพืชที่แตกต่างกัน 

 

สมมติคุณมีต้นไม้ผลในสวนหลังบ้าน และคุณต้องการเก็บเกี่ยวในเวลาที่เหมาะสม หากเก็บเกี่ยวในวันที่เป็นธาตุไฟ มันจะอยู่ได้นานขึ้น มันจะอุดมสมบูรณ์กว่า” 

 

Jurlique Farm

 

ขณะที่เดินสำรวจฟาร์มไปตามทาง เราเห็นภาพของชาวสวนวัยกลางคนที่ใช้มือเก็บเกี่ยวพืชพรรณต่างๆ สีหน้าและแววตาที่เขามองไปยังพืชผลที่สร้างมาตั้งแต่ยังเป็นเมล็ดพันธุ์ได้สะท้อนถึงแพสชันและความสุขในสิ่งที่ทำ จนเราในฐานะผู้สังเกตการณ์รู้สึกได้ชุบชูใจไปด้วย “ทุกคนดูมีความสุขจริงๆ…”

 

 

สำหรับขั้นตอนการรดน้ำก็ยังเป็นอะไรที่น่าทึ่งอีกเช่นกัน ในช่วงศตวรรษที่ 20 Rudolf Steiner นักวิทยาศาสตร์ นักปรัชญา และนักปฏิรูปสังคมชาวออสเตรีย ผู้ก่อตั้งการเกษตรแบบ Biodynamic มีความเชื่อว่า น้ำไม่ใช่เพียงสารประกอบทางเคมี แต่เป็นสื่อที่มีชีวิตและสามารถรับและถ่ายทอดพลังงานได้ 

 

Steiner สังเกตปรากฏการณ์กระแสน้ำวนในธรรมชาติ เช่น แม่น้ำ ลำธาร ซึ่งเป็นรูปแบบการเคลื่อนไหวที่แสดงถึงพลังและความมีชีวิต เขาจึงเชื่อว่าการคนน้ำให้เกิดกระแสน้ำวนเลียนแบบกระบวนการทางธรรมชาติเหล่านี้ จะเป็นหนึ่งในวิธีกระตุ้นหรือทำให้น้ำมีชีวิตชีวา และมีพลังในการส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืชและสุขภาพของดินได้

 

 

Cherie เสริมว่า วิถีในยุคนั้นจะเป็นการคนน้ำในถังทองแดงก่อนจะใส่ปุ๋ยคอกลงไป คนให้เข้ากันแล้วนำไปฉีดพ่นในแปลง ซึ่งเป็นการถ่ายเทพลังงานของผู้ทำไปด้วย แต่ถ้าจะให้มาคนด้วยมือในยุคนี้ก็คงต้องหา #นักกายภาพใกล้ฉัน ทางฟาร์มจึงมีการใช้เครื่องจักรเพื่อช่วยทุ่นแรงและเวลาในขั้นตอนนี้ไป 

 

นอกจากนี้ยังมีการใช้ ‘คริสตัล’ รดน้ำ ใช่แล้วคุณอ่านไม่ผิดหรอก ด้วยความเชื่อที่ว่าคริสตัลโดยเฉพาะ Quartz มีพลังดึงดูดแสงอาทิตย์ ทางฟาร์มจึงมีการนำมาบดผสมน้ำแล้วนำมาฉีดพ่นพืช และยังวางไว้โคนต้นกุหลาบเพื่อช่วยในการเจริญเติบโตอีกด้วย

 

 

ซึ่งกุหลาบนั้นถือเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Rare Rose Collection กลายเป็นที่รักของแฟนๆ Jurlique ไปทั่วทุกมุมโลก 

 

 

“Jurlique ควรมียาดมกลิ่นนี้!” นาทีที่เราได้ลองเก็บกุหลาบ Jurlique ซึ่งเป็นสายพันธุ์พิเศษที่มีเฉพาะที่นี่ด้วยตัวเอง พร้อมสัมผัสกลิ่นสดๆ จากสวนทำให้เราอดไม่ได้ที่จะวาดฝันให้ทางแบรนด์ทำยาดมกลิ่น Jurlique Rose มันเป็นมิติความหอมหวานที่สดชื่น สดใส ไม่เลี่ยน ถ้าเป็นน้ำหอมก็คงฉีดได้ทุกวันไม่มีเบื่อ

 

Jurlique Farm

 

สำหรับผู้เยี่ยมชมฟาร์มทั่วไปก็สามารถมาเก็บกุหลาบแบบเราเช่นกัน แล้วนำไปเข้ากระบวนการอบแห้งพร้อมลงรายละเอียดไว้ได้ว่าเก็บดอกไม้พันธุ์ใด วันใด โดยใคร 

 

Jurlique Farm

 

นอกจากนี้ยังสามารถร่วมเวิร์กช็อปปรุง Essential Oil ในกลิ่นสไตล์ตัวเองได้ โดยทางฟาร์มจะมีให้เลือกผสมกลิ่นจากพืชพรรณต่างๆ เช่น Rose, Lavender, Lemongrass

 

 

The Ingredients 

เพื่อให้ได้สารสกัดอันเข้มข้น อัดแน่นไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพในทุกหยด Jurlique ใช้กรรมวิธีการสกัดอันเป็นเอกสิทธิ์ที่เรียกว่า Bio-intrinsic™ ด้วย 3 ขั้นตอน ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรวมจิตใจ ร่างกาย จิตวิญญาณ ของพืชเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับแรงบันดาลใจจากหลักการทางเคมีโบราณ

 

Jurlique Farm

 

  • Step 1: Purification

สมุนไพรแห้งที่เก็บเกี่ยวจากฟาร์ม Jurlique จะถูกนำไปผ่านกระบวนการกลั่นด้วยไอน้ำอย่างอ่อนโยนเพื่อให้ได้มาซึ่งน้ำมันหอมระเหย 

  • Step 2: Intensification

กากสมุนไพรที่เปียกจากการกลั่นจะถูกนำไปผสมกับตัวทำละลายธรรมชาติ ก่อนจะมาทำการกลั่นแบบช้าๆ กระบวนการนี้จะช่วยดึงสารสกัดที่ซับซ้อนของพืชออกมาได้มากขึ้นและเข้มข้นยิ่งขึ้น 

  • Step 3: Ashing

เผาส่วนผสมที่เหลือจากการกลั่นแล้วนำเถ้าไปผสมกับน้ำและกรดซิตริกธรรมชาติ ผ่านกระบวนการความร้อนเพื่อให้น้ำดูดซับแร่ธาตุ ก่อนจะนำไปกรองเพื่อให้ได้สารสกัดเข้มข้นบริสุทธิ์

 

สารสกัดจากทั้ง 3 ขั้นตอนจะถูกนำมารวมกันเป็น Quintessence หรือสารสกัดที่บริสุทธิ์และทรงคุณค่าที่สุด สิ่งนี้แหละจะถูกส่งไปยังโรงงานผลิตเครื่องสำอางที่ Mount Barker และจะอยู่ในผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นของแบรนด์

 

 

เห็นได้ชัดว่ากระบวนการตั้งแต่ต้นนั้นมีความคราฟต์ในทุกขั้นตอน นั่นจึงเป็นส่วนที่ทำให้ทีมงาน Jurlique รู้สึกรักและผูกพันกับผลิตภัณฑ์ อันเป็นหัวใจสำคัญของแนวคิด ‘จากเมล็ดพันธุ์สู่ผิว’ (From Seed to Skin) อย่างแท้จริง 

 

 

The Highlights Product 

จากที่ได้รู้กระบวนการผลิตทุกขั้นตอนมาแล้วก็มั่นใจได้ว่าทุกไลน์ผลิตภัณฑ์ของ Jurlique อัดแน่นไปด้วยคุณภาพ แต่หากถามว่าชิ้นใดที่ควรมีดั่งยาสามัญประจำบ้าน เรารวบตึงมาให้แล้วตรงนี้

 

  • Activating Water Essence+ (3,600 บาท/ 250 ml.)

น้ำตบรากมาร์ชเมลโลที่ช่วยเตรียมผิวให้ชุ่มชื้น หลายคนสงสัยว่าน้ำตบจำเป็นต่อขั้นตอนการดูแลผิวแค่ไหน ลองนึกภาพเหมือนการใส่ปุ๋ยในดินที่แห้ง ต่อให้ใส่เยอะแค่ไหนก็คงไม่ช่วยให้พืชได้รับสารอาหารดีเท่าที่ควร ผิวหน้าก็เช่นกัน เพื่อให้ผิวได้รับการบำรุงอย่างเต็มประสิทธิภาพ เราจึงควรเตรียมผิวให้ชุ่มชื้นในขั้นตอนแรกเสมอ

  • Rosewater Balancing Mist (1,800 บาท/ 100 ml.)

มิสต์กุหลาบบำรุงผิวที่ควรพกไปทุกที่ เราขอนิยามว่ามันเป็นฟีลกู้ดมิสต์ที่สเปรย์ทีไรก็ให้ความชุ่มชื้น ผ่อนคลายไปกับความหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของ Jurlique Rose

 

 

  • Rare Rose Face Oil (2,700 บาท/ 50 ml.)

ออยล์บางเบาแต่ให้การบำรุงเข้มข้นในทุกหยด เผยผิวโกลว กระจ่างใส ดูอิ่มเอิบ และยังให้ความรู้สึกผ่อนคลายขณะลูบไล้ออยล์ลงผิวทุกครั้ง 

  • Herbal Recovery Bi-Phase Serum (3,300 บาท/ 30 ml.)

เซรั่มสูตรน้ำมันและน้ำที่ช่วยบูสต์ผิวที่ดูเหนื่อยอิดโรยให้สดชื่น เปล่งประกาย พร้อมช่วยลดเลือนริ้วรอยไปในตัว หมดกังวลเรื่องผิวอุดตันด้วยเนื้อที่บางเบา เหมาะกับทุกสภาพผิว

 

Jurlique Farm

 

[Spoiler Alert] 

ใครที่หลงรัก Calendula Face Oil ที่เลื่องชื่อในเรื่องการฮีลผิวบอบบาง เตรียมช้อปไลน์ผลิตภัณฑ์ Calendula แบบจัดเต็มได้ในเดือนตุลาคมปีนี้ 

 

 

และข่าวดีสำหรับคนที่เป็นแฟนกุหลาบ Jurlique เหมือนเรา เดือนสิงหาคมนี้คุณจะได้สัมผัสไลน์ผลิตภัณฑ์ Intense Rose ซึ่งเป็นกุหลาบสายพันธุ์ใหม่ที่คิดค้นขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 40 ปีของแบรนด์ ไลน์นี้หอมไม่แพ้ Jurlique Rose แต่ให้มิติที่นุ่มลึกชวนหลงใหลไปอีกแบบ 

 

Sustainability Efforts

ด้วยปณิธานอันแน่วแน่ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ไม่เพียงแต่บำรุงผิว แต่ยังบำรุงโลก Jurlique ได้การรับรอง B Corp ที่เป็นเครื่องยืนยันถึงมาตรฐานระดับสูงในการสร้างสรรค์ผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ผ่านกระบวนการผลิตสินค้าและบริการที่ยั่งยืน โปร่งใส และรับผิดชอบต่อสังคม 

 

 

ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาวัตถุดิบอย่างมีความรับผิดชอบ การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยยังสามารถตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ผลิตภัณฑ์ได้ตั้งแต่เมล็ดพันธุ์ เช่น ผู้ผลิต วันที่ผลิต ผู้ผลิตวัตถุดิบ แหล่งที่มาของวัตถุดิบ ระยะเวลาที่วัตถุดิบอยู่ในคลังสินค้า เป็นต้น ถือเป็นมาตรฐานอีกระดับที่ทำให้ผู้บริโภคอุ่นใจได้กับที่มาที่ไปในทุกขั้นตอน  

 

Jurlique Farm

 

Founder’s Thoughts

Ulrike Klein หนึ่งในผู้ก่อตั้งเผยในงานครั้งนี้ว่า วิสัยทัศน์ของเธอเมื่อ 40 ปีก่อนที่มุ่งหวังให้ Jurlique เป็นแบรนด์ที่ผสานพลังชีวิตแห่งธรรมชาติ และมอบผลลัพธ์อันบริสุทธิ์จากธรรมชาติสู่ผิวนั้นเป็นอะไรที่ฟังดูล้ำเกินจริง แต่ด้วยปณิธานที่ตั้งมั่นตั้งแต่วันแรก เธอรู้สึกภูมิใจกับการเติบโตของแบรนด์ดังที่เป็นในทุกวันนี้ 

 

 

ทั้งนี้ เธอยังฝากบทเรียนสำคัญที่อยากส่งต่อแก่คนรุ่นหลังที่อยากข้าสู่อุตสาหกรรมความงามอีกด้วย 

 

“ฉันคิดว่ามันสำคัญที่จะไม่ลอกเลียนแบบ อุตสาหกรรมนี้ยังมีพื้นที่สำหรับแบรนด์ใหม่ๆ อีกมาก แต่คุณต้องมีวิสัยทัศน์ที่เป็นเอกลักษณ์ ค้นหาว่าคุณมีความสามารถอะไร มีความรู้ความเข้าใจอะไรบ้าง มันไม่ใช่แค่มีไอเดียดีๆ ในการทำสกินแคร์ แต่คุณจำเป็นต้องรู้ว่าจะทำอย่างไร เพื่อที่จะทำมันอย่างมืออาชีพ

 

 

และถ้าคุณมีวิสัยทัศน์นั้น ก็แค่ยึดมั่นในสิ่งนั้น เพราะเมื่อเรามาที่ออสเตรเลีย เริ่มต้นสร้าง Jurlique ในปี 1985 เรารู้ว่านี่คือสิ่งที่เราต้องการจะทำ เราได้คุยกันไปบ้างแล้วว่าอาจไม่มีใครสนใจก็ได้นะ ทำไมถึงจะต้องเป็นธรรมชาติล่ะ ทำไมต้องเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ผลิตที่ออสเตรเลียในเมือง Adelaide ล่ะ มันดูไม่มีวันที่เราจะนำสิ่งนั้นเข้าสู่ตลาดได้เลย 

 

แต่เราเชื่อมั่นในการเดินทางนั้นมาก จนส่งออกผลิตภัณฑ์ถึง 95% เป็นเวลา 5 ปี ดังนั้นคุณต้องมีความแกร่ง ความยืดหยุ่น รู้ว่านี่คือสิ่งที่คุณต้องการจะทำ แล้วก้าวไปในทิศทางที่ถูกต้อง” 

 

 

What’s Next? 

“ในขณะที่เรามองไปยังอนาคตอีก 40 ปีข้างหน้า ปณิธานของเรายังคงเป็นการสร้างสรรค์นวัตกรรมร่วมกับธรรมชาติ พัฒนาแนวปฏิบัติความงามที่ยั่งยืน และส่งเสริมให้ชุมชนของเราโอบรับผลิตภัณฑ์ดูแลผิวจากธรรมชาติ” Loic Rethore ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Jurlique กล่าว 

 

 

ทางแบรนด์ยังคงยึดมั่นในการทำการเกษตรแบบ Biodynamic ต่อไป แลมุ่งในการสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) รวมถึงการใช้ Recyclable/ Reusable Packaging 100% ภายในปี 2030 

 

 

Jurlique

Address: Jurlique Flagship Store ศูนย์การค้า Gaysorn Village ชั้น 2 

Tel: 06 3834 7758

Website: https://jurlique.co.th/

Facebook: https://www.facebook.com/jurlique.th

Instagram: https://www.instagram.com/jurlique_th/

 

ภาพ: Jurlique

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising