Grandma House บ้านมัทฉะ-ขนมวากาชิสไตล์ Japandi เปิดสาขาใหม่ที่โคราช

เมื่อพูดถึงคาเฟ่สเปเชียลตี้มัทฉะ เราเชื่อว่าหลายๆ คนคงนึกถึงลิสต์คาเฟ่มัทฉะมากมายในกรุงเทพฯ หรือเมื่อไรที่เราเริ่มเอ่ยถึงขนมวากาชิ (Wagashi) ขนมหวานดั้งเดิมของประเทศญี่ปุ่น ก็คงต้องนึกถึงความซีเรียสในการดื่มมัทฉะฉบับพิธีชาเป็นแน่

แต่สำหรับที่ Grandma House โลเคชันใหม่ที่ตั้งอยู่นอกกรุงเทพฯ ไปราวๆ 4 ชั่วโมงกว่าอย่างในตัวจังหวัดนครราชสีมา นิ-ณิชาภัทร พรไธสง และ ยี่หวา-นวภัทร สมานพันธ์ สองพาร์ตเนอร์ที่ริเริ่มทำร้านมากว่า 10 ปีนั้นยังคงตั้งใจให้ Grandma House เป็นสเปซสำหรับคนรักมัทฉะและขนมญี่ปุ่นทุกๆ คน ด้วยเมนูเครื่องดื่มมัทฉะอร่อยๆ ในคอนเซปต์ดื่มสนุก เข้าใจง่าย และขนมวากาชิหลากหลายรูปแบบที่ใช้วัตถุดิบส่งตรงจากญี่ปุ่น เสิร์ฟให้เราได้ทำความรู้จักไปพร้อมกันในทุกฤดูกาล ทุกวาระโอกาส และเทศกาลภายใต้ร้านแห่งใหม่นี้

จาก Grandma House บ้านชาหลังเล็กๆ ที่อบอวลไปด้วยบรรยากาศสไตล์ญี่ปุ่น มีเพียง 5 โต๊ะ ทั้งยังตั้งอยู่ในโซนต่างจังหวัด ที่ทำให้ต้องขายเมนูเครื่องดื่มผสมผสานเพื่อให้คนในพื้นที่เข้าถึงได้ง่ายมาร่วม 8 ปี จนเมื่อ 2 ปีที่แล้วยี่ตัดสินใจนำเครื่องทำกาแฟออก เพื่อตั้งใจจะแสดงจุดยืนของบ้านมัทฉะสเปเชียลตี้ และชูวากาชิฝีมือของนิให้โดดเด่นมากขึ้น และทำให้ Grandma House เป็นดั่งร้านมัทฉะในภาพจำของทุกๆ คน

The Vibe

ด้วยความเข้าใจในกลุ่มลูกค้าของตนเอง จึงทำให้ Grandma House แห่งใหม่นี้แยกเป็น 2 โซน เริ่มจากชั้นแรกของร้าน ที่ยังคงเน้นคอนเซปต์ดื่มสนุกและเหมาะกับทุกๆ คนในทุกวัน โดยเปลี่ยนสไตล์การตกแต่งจากเดิมที่เป็นแนวโฮมมี่มาเป็นสไตล์ Japandi มีความโต โมเดิร์นขึ้น แต่ยังคงความเรียบง่ายแบบญี่ปุ่นที่คงฟังก์ชันแบบสแกนดิเนเวียนไว้

ไม่ว่าจะเป็นเคาน์เตอร์บาร์โทนไม้ ผนังสีเทา ท็อปหินอ่อน มุมโต๊ะที่นั่งที่ตอบโจทย์ผู้คนในทุกๆ กลุ่ม ทั้งการมาคนเดียว มาเป็นคู่ มากับกลุ่มเพื่อน หรือจะมากับครอบครัว และแม้จะเป็นช่วงเร่งรีบของวัน ก็ยังสามารถเข้ามาเอ็นจอยสเปซนี้ได้เช่นกัน

สเปซที่เพิ่มขึ้นทำให้ร้านแตกไลน์ของบาร์น้ำชาพรีเมียมในชั้น 2 ภายใต้ชื่อ Tsubaki Tearoom มีที่มาจากดอกสึบากิ สัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งและทนทานต่อทุกฤดูกาลของประเทศญี่ปุ่น เปรียบเสมือนความอดทนและมุมานะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของทั้งคู่

ตัวบาร์เป็นแบบไพรเวต ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ตลอดแนวตลอดชั้น ให้ความรู้สึกหรูหราและคลาสซี่ขึ้นมาอีกระดับ ตอบโจทย์สายมัทฉะสโลว์ไลฟ์ที่ต้องการใช้เวลาดื่มด่ำไปกับทั้งตัวชา ขนม และบรรยากาศ ซึ่งพื้นที่ในส่วนนี้มักจะถูกใช้ในการจัดเวิร์กช็อปวากาชิ คอร์สทีเทเบิล และสเปซสำหรับการพูดคุย-แลกเปลี่ยนเรื่องราวชาที่นิชขึ้นของเพื่อนๆ ในคอมมูนิตี้มัทฉะโดยเฉพาะ

The Taste

ด้วยความที่อยากให้ทุกคนมาสนุกด้วยกัน ทางร้านจึงแนะนำเป็นเมนู Matcha Setbox (359 บาท) เซ็ตที่เราจะสามารถชงมัทฉะเองได้ โดยเซ็ตนี้จะประกอบไปด้วยมัทฉะสายพันธุ์เดี่ยวอูจิฮิคาริ (Uji Hikari) จากเมืองอูจิ จังหวัดเกียวโต (Uji, Kyoto) กาน้ำร้อนที่ร้านจัดเตรียมอุณหภูมิน้ำ และปริมาณน้ำที่เหมาะสมเอาไว้ให้ พร้อมกับแปรงไม้ไผ่สำหรับชงชา

ทั้งยังมีเมนูขนมหวานอย่าง แรร์ชีสเค้กมัทฉะ และเมนู โมนากะเจลาโตมัทฉะเลเวลดาร์ก ที่ใช้มัทฉะเบลนด์ระหว่างสายพันธุ์โอคุมิโดริกับยาบูคิตะ (Okumidori x Yabukita) จากเมืองวาซุกะ จังหวัดเกียวโต (Wazuka, Kyoto) ก่อนจะนำข้าวเม่าอ่อนจากชุมชนสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา มารองไว้ตรงฐาน

จบท้ายด้วยการประกบแผ่นแป้งอบกรอบหรือโมนากะ (Monaka) ที่เพียงแค่ตักหนึ่งคำก็ได้ถึง 3 เท็กซ์เจอร์ ทั้งเนื้อไอศกรีมที่แน่น ตัดกับความหอมหนึบหนับของข้าวเม่า และความกรุบกรอบ หอมข้าวพองของโมนากะที่เราจะขอยกให้เมนูนี้เป็นคอมบิเนชันที่ลงตัวสุดๆ

เพิ่มความสนุกกันอีกระดับด้วยเมนูที่ 2 อย่างเมนูในหมวดหมู่ลาเต้ที่ร้านมีให้เราเลือกสั่ง ทั้ง Matcha Latte มัทฉะสายพันธุ์เดี่ยวอูจิฮิคาริ สกัดด้วยน้ำร้อน ก่อนเทลงบนชั้นนมเย็นๆ กลิ่นหอมบอดี้ไลต์ดื่มง่าย กับเมนู Hojicha Latte สำหรับใครที่ต้องการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนน้อยลงมาอีกหน่อย โดยร้านจะเลือกใช้เป็นโฮจิฉะคั่วเข้มจากวาซุกะ ให้กลิ่นคั่วหอม โน้ตโทนช็อกโกแลต-คาราเมล

สองแก้วนี้เรายังสามารถเลือกเพิ่มท็อปปิ้งอย่างเจลาโตกับฟินองซิเยร์รสมัทฉะ-โฮจิฉะได้อีกด้วย (299 บาท)

คั่นด้วยเมนูมัทฉะเย็นกันสักแก้วอย่าง Clear Matcha (180 บาท) มัทฉะสายพันธุ์เดี่ยวซาเอะมิโดริ (Saemidori) จากวาซุกะ ที่สกัดด้วยน้ำร้อน ก่อนเทลงบนชั้นน้ำเย็นๆ ดื่มแล้วให้ความสดชื่น หอมกลิ่นคล้ายธัญพืช อูมามิและหวานในช่วงท้าย

ก่อนจะปิดท้ายด้วยเมนูฟิวชันอย่างมัทฉะน้ำมะพร้าวปั่น Coconut Matcha Frappe (180 บาท) เดิมทีแก้วนี้จะถูกท็อปด้วยเจลาโตมะพร้าว แต่เราเลือกเปลี่ยนรสชาติของเจลาโตให้เป็นนมฮอกไกโดได้ เพราะรสชาติของเจลาโตนมฮอกไกโดไปด้วยกันได้ดีกับทั้งความหวานของเกล็ดน้ำมะพร้าว และรสชาติของมัทฉะเบลนด์ระหว่างสายพันธุ์โกโควกับซามิโดริ (Gokou x Samidori) จากวาซุกะ

ย้อนกลับมาพูดถึงห้องชา Tearoom Tsubaki กันบ้าง เพราะเราอยากแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกับขนมวากาชิของนิ ที่ถูกปั้นสดๆ วันต่อวัน ก่อนจะวางขายไว้ตรงหน้าร้าน หรือเสิร์ฟไว้ในคอร์สทีเทเบิลที่จะเปิดให้จับจองที่นั่งกันเป็นรอบๆ

อย่างวันที่เราไปจะมีขนมในวันเทศกาลเด็กผู้ชาย (Kodomo no Hi: 子供の日) ที่หารับประทานได้ยากในประเทศไทย หากไม่ใช่ช่วงเดือนพฤษภาคมอย่าง คาชิวะโมจิ (Kashiwa Mochi: 柏餅) แสดงถึงความมงคล หรือการเริ่มต้นใหม่ แล้วยังมีขนมประจำร้าน เนริกิริ (Nerikiri: 練り切り) ที่เดิมทีจะมีเพียงไส้ถั่วแดงกับถั่วขาวยูซุเป็นออริจินัล

แต่สำหรับฤดูใบไม้ร่วง เนริกิริในรอบนี้มาในไส้เกาลัด-วอลนัท-ถั่วแดง ในคอร์สทีเทเบิลเองก็จะมีเสิร์ฟเป็น สึบากิโมจิ (Tsubaki Mochi: 椿餅) เท็กซ์เจอร์คล้ายข้าวเหนียวไส้ถั่วแระญี่ปุ่น และ ไดฟูกุ (Daifuku: 大福) ไส้เกาลัด-วอลนัท ท็อปด้วยมองบลังก์

Good for

เราว่า Grandma House เหมาะกับทุกคนในทุกวัน โดยเฉพาะคนที่ต้องการดื่มอะไรสนุกๆ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นสายมัทฉะเองก็ดี เพราะยังสามารถทำความเข้าใจและเอ็นจอยไปกับทุกเมนูของร้านได้ ส่วนในโซน Tearoom Tsubaki นั้น ก็ถือเป็นทางเลือกที่เพิ่มขึ้นมาเพื่อเอาใจเหล่าคนรักมัทฉะสายลึกโดยเฉพาะ