ด้วยสถานการณ์ที่เห็นและเป็นอยู่ เอ็ดดี ฮาว รู้ดีว่าเส้นทางในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกของนิวคาสเซิลเดินทางมาถึง ‘จุดตัดสิน’
ถ้าแพ้ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในเกมที่พาร์กเดส์แพรงซ์ ก็เตรียมบอกลารายการสโมสรระดับสูงสุดของยุโรปที่พวกเขาเฝ้ารอคอยมายาวนานกว่า 20 ปีได้เลย
สิ่งที่น่าสนใจคือในเกมสำคัญนี้ นักเตะที่กลายเป็นที่จับตามองมากกว่าใครคือไอ้หนูวัย 17 ปีที่ความจริงไม่ควรจะมีโอกาสมีชื่ออยู่แม้กระทั่งบนม้านั่งข้างสนามด้วยซ้ำไป
แต่จากฟอร์มในเกมล่าสุดกับเชลซีแล้ว บางทีเราอาจควรต้องรู้จักกับ ลูอิส ไมลีย์ ไว้บ้าง
ตั้งแต่มีการจับสลากแบ่งสายในเดือนสิงหาคม นิวคาสเซิลเป็นหนึ่งในทีมที่ถูกพูดถึงอย่างมาก เพราะไม่เพียงแต่เป็นทีมม้ามืดที่เป็นตัวแทนจากพรีเมียร์ลีกหลังติดท็อปโฟร์ในฤดูกาลที่แล้ว การได้กลับมาเล่นรายการนี้อีกครั้งในรอบ 20 ปีของพวกเขาก็ดันต้องมาอยู่ใน ‘กลุ่มแห่งความตาย’ หรือ Group of Death เสียด้วย
ด้วยความที่มีเพื่อนร่วมห้องเป็นเอซี มิลาน, โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในสายตาของผู้เชี่ยวชาญมองว่ากลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มที่มีความสูสีคู่คี่ และยากที่จะคาดเดาได้ว่าทีมใดที่จะได้ผ่านเข้าสู่รอบต่อไป
และผ่านมา 4 เกม สถานการณ์ก็ดูจะไปในทำนองนั้นจริง
ระหว่างอันดับ 1-4 ของกลุ่ม F นั้นมีคะแนนห่างกันแค่เพียง 3 แต้ม โดยเวลานี้ดอร์ทมุนด์นำจ่าฝูงของกลุ่มมี 7 คะแนน ตามมาด้วยเปแอสเช 6 คะแนน เอซี มิลาน 5 คะแนน และนิวคาสเซิลอยู่ในอันดับสุดท้ายมี 4 คะแนน
อย่างไรก็ดี สถานการณ์ของทีม ‘แม็กไพส์’ ดูจะลำบากกว่าเพื่อนร่วมกลุ่มสักหน่อย เพราะหากพวกเขาพ่ายแพ้ในเกมที่ 5 ซึ่งจะไปเยือนเปแอสเชในคืนนี้ ความหวังในการเข้ารอบต่อไปจะแทบเป็นไปไม่ได้ และนั่นทำให้ เอ็ดดี ฮาว ต้องการจะทำให้ดีที่สุด
“นี่คือช่วงเวลาตัดสินของเราในรายการนี้ และเราต้องทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง” ฮาวกล่าวเอาไว้ก่อนเกม
โดยที่ผู้จัดการทีมซึ่งกำลังพิสูจน์ผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ว่าสามารถทำทีมเล่นฟุตบอลในระดับสูงสุดของยุโรปได้จริงยอมรับว่าส่วนตัวแล้วเป็นคนไม่ค่อยชอบความพ่ายแพ้นัก และหนึ่งในแรงผลักดันที่สำคัญที่สุดในชีวิตการทำงานก็มาจากความกลัวที่จะล้มเหลว
อดีตนายใหญ่บอร์นมัธเปิดเผยว่า ทีมมีการปรับเปลี่ยนการซ้อมให้ต่างไปจากโปรแกรมแบบเดิมๆ ด้วยการนำลูกทีมเดินทางมาที่ปารีสเพื่อลงซ้อมที่สนามพาร์กเดส์แพรงซ์ แทนการลงซ้อมที่ศูนย์ฝึกของสโมสรในไทน์ไซด์
การทำเช่นนี้เพื่อเป็นการทำให้ทีมทำความคุ้นเคยกับสนามแข่งขันมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ปัญหาของฮาวไม่ได้อยู่แค่เรื่องของสถานการณ์ลำบากในกลุ่มเท่านั้น เพราะปัญหาใหญ่ที่แท้จริงคือการที่ทีมขาดผู้เล่นในทีมชุดใหญ่มากถึง 12 คนด้วยกัน โดยเฉพาะพื้นที่แดนกลางที่ขาดหายทั้ง ฌอน ลองสตาฟฟ์, เอลเลียต แอนเดอร์สัน และ โจ วิลล็อก ในขณะที่ ซานโดร โตนาลี อยู่ระหว่างการชดใช้โทษแบนยาวถึง 8 เดือนจากคดีการเล่นพนัน
แต่การขาดหายของนักเตะเหล่านี้กลับเป็นโอกาสที่ทำให้นิวคาสเซิลได้ค้นพบความหวังใหม่ และความหวังใหม่ที่ว่านั้นเจิดจ้าน่าสนใจเสียด้วย
นักเตะที่กำลังเป็นที่พูดถึงอย่างมากคือ ลูอิส ไมลีย์ กองกลางดาวรุ่งวัยเพียงแค่ 17 ปี ที่ดูหน้าก็รู้ว่าเป็นละอ่อนน้อยยังเรียนไม่จบชั้นไฮสคูลแน่นอน
ประเด็นคือไมลีย์กลับมีความเก่งกาจเกินตัวไปมาก และกลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในเกมที่นิวคาสเซิลไล่ถล่มเชลซี (ซึ่งเพิ่งเสมอกับแชมป์เก่าอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 4-4 ในเกมก่อนหน้านี้) โดยมีส่วนสำคัญกับการผ่านบอลให้ อเล็กซานเดอร์ อิซัค ทำประตูในช่วงต้นเกม
ไม่นับการเล่นที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะความนิ่งที่เกินตัวไปมาก ไม่นับเรื่องของทักษะการเล่น ความแข็งแกร่งที่สามารถยันกับนักเตะประสบการณ์สูงที่ล้วนเป็นสตาร์ของเชลซีอย่าง เอนโซ เฟร์นานเดซ, มอยเซส ไกเซโด หรือ คอเนอร์ กัลลาเกอร์ ได้อย่างสบายๆ
ความจริงแล้วไมลีย์ไม่ควรจะมีชื่อในทีมด้วยซ้ำในตอนนี้ เพราะด้วยวัยและประสบการณ์เขาเป็นเพียงตัวเลือกลำดับที่ 7 ภายในทีมเท่านั้น
แต่ในเกมวันนั้นเขาเล่นเคียงข้างกับ โชลินตัน และ บรูโน กิมาไรส์ ได้อย่างองอาจ ซึ่งฟอร์มของไมลีย์โดยเฉพาะการผ่านบอลอย่างแม่นยำที่ถูกต้องทั้งน้ำหนัก ทิศทาง และเหนือกว่านั้นคือวิชันในการอ่านเกมที่สะท้อนให้เห็นว่าเป็นนักเตะที่มีความพิเศษ ทำให้กองกลางที่เป็น Poster Boy ของนิวคาสเซิลยุคนี้อย่างกิมาไรส์ถึงกับอดออกปากชมไม่ได้
“ลูอิส ไมลีย์ สุดยอดมาก เขาเป็นดาราตัวจริง ตอนผมอายุ 17 ปีเท่าเขา ผมบอกเลยว่าผมห่วยแตกมาก ผมนึกไม่ออกเลยว่าผมจะเล่นแบบเขาได้อย่างไรตอนอายุ 17 ปี เด็กคนนี้น่าเหลือเชื่อมาก” บรูโนกล่าว ซึ่งแน่นอนว่าชาวทูนอาร์มีต้องฟัง
อีกคนที่ออกมาประทับตราให้คือกัปตันทีมตัวจริง จามาล ลาสเซลส์ ที่ออกมาชมเชยไอ้หนูฮีโร่เด็กท้องถิ่นคนนี้ “เขามีอนาคตที่สดใสรออยู่ข้างหน้าและผมก็ตื่นเต้นมาก พรสวรรค์ของเขามันเปล่งประกาย เขาเป็นกองกลางที่ขยัน มีความเข้าใจเกมสูง และสมควรจะได้รับคำชมเชยจากฟอร์มการเล่นนี้ ถ้าเขาได้พัฒนาตัวเองขึ้นอีก เขาจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดเลย”
อย่างที่ลาสเซลส์บอก ไมลีย์เป็นสายเลือดชาวไทน์ไซด์ เขาเป็น 1 ใน 4 พี่น้องซึ่งมีพี่ชายเล่นให้ทีมนิวคาสเซิลรุ่นอายุต่ำกว่า 21 ปีอีกคน ที่ชวนให้คิดถึง ‘พี่น้องลองสตาฟฟ์’ ที่เคยมีช่วงเวลาที่พี่น้อง ฌอน และ แมตตี ลองสตาฟฟ์ ลงเล่นให้นิวคาสเซิลด้วยกันทั้งคู่ (ปัจจุบันแมตตีถูกปล่อยตัวออกจากสโมสรและยังหาทีมใหม่ไม่ได้)
แต่สำหรับคนเมืองนิวคาสเซิลแล้ว การแจ้งเกิดของไมลีย์อาจไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาแปลกใจ ในทางตรงกันข้าม มันเหมือนเป็นสิ่งที่พอจะคาดเดาเอาไว้ล่วงหน้าได้
เพราะเมื่อต้นปี 2022 ไมลีย์เพิ่งจะลงแข่งและคว้าแชมป์ในเกมฟุตซอลให้กับแทนฟิลด์สคูล ทีมโรงเรียนของเขา ก่อนจะได้รางวัล แจ็ก ฮิกสัน โทรฟี่สำหรับนักกีฬาเยาวชนที่โดดเด่นที่สุดของเมืองนิวคาสเซิล
ก่อนจะได้โอกาสในการขึ้นมาซ้อมในทีมชุดใหญ่ของนิวคาสเซิล และเซ็นสัญญาอาชีพฉบับแรกกับสโมสรในวันเกิดอายุครบรอบ 17 ปี รวมถึงได้รางวัล ‘วอร์ แจ็กกี้ โทรฟี่’ หรือรางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของสโมสรอีก
เรียกว่าเป็นดาวเด่นที่ฉายแสงแรงกล้าอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา และตอนนี้ก็แจ้งเกิดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วในพรีเมียร์ลีก
ส่วนคืนนี้จะต่อกรกับคู่แข่งอย่างเปแอสเชได้แค่ไหน เป็นเรื่องที่น่าติดตามและเอาใจช่วยเป็นอย่างยิ่งสำหรับว่าที่ ‘จอร์ดี้ฮีโร่’ หน้าละอ่อนคนนี้
อ้างอิง: