ถึงจะพิชิตแชมป์มาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำแต่ความรู้สึกหลังการสวมหมวกกันน็อกก่อนที่จะลงแข่งขันในรายการ ‘โปรตุกีสจีพี’ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาของ ลูอิส แฮมิลตัน ก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะหาคำพูดใดมาอธิบาย
“ผมรู้สึกถึงความมหัศจรรย์และรู้สึกต้อยต่ำในเวลาเดียวกัน” แฮมิลตัน ผู้ซึ่งกลายเป็นเจ้าของสถิติการคว้าชัยชนะมากที่สุดในการแข่งขันรถแข่ง F1 หลังคว้าแชมป์สนามที่ 92 แซงหน้าสถิติตลอดกาลของ มิชาเอล ชูมัคเกอร์ ที่เคยทำไว้ 91 ครั้ง
“มันเป็นเรื่องยากนะที่จะอธิบายถึงความรู้สึก ผมยังเด็ก ผมรู้สึกมีพลัง และผมก็รู้สึกซาบซึ้งด้วย ผมคิดถึงคนที่ร่วมงานกับผมเสมอ”
จากจุดเริ่มต้นเมื่อ 13 ปีที่แล้วกับการคว้าแชมป์สนามแรกของแฮมิลตันที่ได้ขึ้นโพเดียมในฐานะผู้ชนะในรายการแคนาเดียนจีพี กับทีมแม็คลาเรน ด้วยวัยเพียง 22 ปี เขาใช้เวลาทั้งหมด 14 ฤดูกาลในการที่จะก้าวแซงหน้าสถิติของชูมัคเกอร์
แต่การจะคว้าชัยชนะในแต่ละครั้งได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแม้กระทั่งสำหรับเขา เพราะทุกการแข่งขันล้วนเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าสงสัยและความไม่แน่นอน ทำให้ยอดนักขับวัย 35 ปียังรู้สึกหัวใจเต้นแรงและประหม่าเสมอ
“ในทุกการแข่งขัน จะมีความแตกต่างออกไป มีการเดินทางที่แตกต่างกันไปในแต่ละครั้ง”
“สิ่งที่บ้าที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ ในเวลาที่ผมคิดว่าผมน่าจะคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้แล้ว คิดว่าเตรียมพร้อมมาแล้ว แต่พอสวมหมวกเมื่อไรก็ยังรู้สึกถึงความประหม่าและความไม่แน่นอน ผมยังต้องถามตัวเองว่าผมจำแผนได้ไหม ผมจำการตั้งค่าต่างๆ ได้หรือเปล่า”
“สิ่งต่างๆ ทั้งหลายเหล่านี้คือสิ่งที่เราต้องเผชิญและมันก็ยังน่ากลัวเสมอ!”
แฮมิลตันยอมรับว่า ในการแข่งขันที่ผ่านมา 262 สนามตลอดชีวิตการแข่งของเขามีทั้งวันที่เขารู้สึกดี และวันที่รู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย
เพียงแต่ความรู้สึกนั้นไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกว่ามันจะนำมาซึ่งความสำเร็จ เพราะบ่อยครั้งที่เขารู้สึกไม่ดี แต่วันนั้นเขากลับทำผลงานได้อย่างดีที่สุด ในทางตรงกันข้าม ในวันที่เขารู้สึกดี ผลงานในสนามกลับย่ำแย่ก็เกิดขึ้นมาแล้วทั้งนั้น
อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันในความรู้สึกของตำนานนักขับแห่งยุคปัจจุบันคือเรื่องของทีมเวิร์ก และเขารู้สึกโชคดีอย่างมากที่ได้ร่วมงานกับทีมงานที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะกับทีมเมอร์เซเดส ต้นสังกัดในปัจจุบันซึ่งคอยสนับสนุนเขาตลอดมา
“ถึงผมจะประสบความสำเร็จมามากขนาดนี้ ผมได้ศึกษาสิ่งต่างๆ มากกว่าที่ผมเคยได้ศึกษามา ผมผ่านการฝึกซ้อมมามากมายและผลลัพธ์ของมันคือผลงานที่สม่ำเสมออย่างที่ได้เห็นกัน ผมได้ทำงานร่วมกับคนที่ยอดเยี่ยมมากมาย พวกเขาน่าเหลือเชื่ออย่างมาก”
“ลองดูถึงการที่ผมสามารถไว้วางใจพวกเขาได้ (มีคนรีไทร์เพียงคนเดียวในการแข่ง 79 สนามหลังสุด และไม่มีใครออกจากงานเลยแม้แต่คนเดียวใน 45 เรซหลัง) มันไม่ใช่เรื่องของความบังเอิญ แต่มันเป็นผลงานของคนที่ไม่เคยหยุดหาคำตอบ คนที่ไม่เคยหยุดรอเมื่อประสบความสำเร็จ และคนที่พยายามจะพัฒนาทุกอย่างไปด้วยกัน”
การประสบความสำเร็จจึงไม่ใช่เรื่องง่าย มันไม่สามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วคนที่จะทำให้เกิดขึ้นได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับเขา ผู้กุมพวงมาลัยอยู่ในมือ
“สิ่งต่างๆ เหล่านี้มันไม่ได้เกิดขึ้นโดยง่าย ทุกครั้งจึงเหมือนการเริ่มต้นใหม่เสมอ และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้ผมรักในสิ่งที่ผมทำ”
“การจะประสบความสำเร็จในระดับเดียวกับที่ผมทำได้นี้ ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่ามันจะเกิดขึ้นอีกไหม มันเกิดจากการที่ผมพยายาม ต่อให้ผมอันดับตกลงมาที่ 3 ผมก็เชื่อเสมอว่า ไม่เป็นไรผมจะกลับไปได้แน่ ยังเหลือทางอีกยาวไกล”
บันทึกชัยชนะครั้งสำคัญของลูอิส แฮมิลตัน
แคนาดา 2007: การแจ้งเกิดครั้งยิ่งใหญ่ (แชมป์ครั้งที่: 1)
หลังเริ่มต้นอย่างสวยงามในฤดูกาลแรกของ ‘รุกกี้’ ด้วยการขึ้นโพเดียมติดต่อกัน 5 สนาม แฮมิลตันก็คว้าแชมป์รายการแรกได้สำเร็จ
อังกฤษ 2008: การซิ่งในตำนาน (แชมป์ครั้งที่: 7)
การแข่งที่นักขับมากมายต่างประสบปัญหาในการแข่งที่ซิลเวอร์สโตน แต่แฮมิลตันซึ่งออกสตาร์ทเป็นลำดับที่ 4 สุดท้ายก็สามารถคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จอย่างสวยงาม และได้รับการจดจำในฐานะหนึ่งในวันที่เขาขับได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุด
ฮังการี 2009: เอาชนะทุกขีดจำกัด (แชมป์ครั้งที่: 10)
การคิดถึงแฮมิลตันในฐานะคนเป็นรองไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขาก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ก่อนถึงสนามที่ 10 ของฤดูกาล 2009 หลังจากที่ไม่ชนะในการแข่งสนามใดๆ เลยเป็นเวลา 9 เดือน และอันดับในสนามก่อนหน้าคือ 12, 13, 16 และ 18 โดยที่ทีมแม็คลาเรนไม่มีใครได้ขึ้นโพเดียมเลย
แต่ยอดนักขับชาวเมืองผู้ดีสร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้นด้วยการคว้าแชมป์มาครองได้อย่างพลิกความคาดหมายสุดๆ
ฮังการี 2013: แชมป์แรกกับเมอร์เซเดส (แชมป์ครั้งที่: 22)
หลังจากย้ายมาอยู่กับเมอร์เซเดสแบบเหลือเชื่อ แฮมิลตันคว้าแชมป์รายการแรกกับต้นสังกัดใหม่ได้สำเร็จที่ฮังการี และเป็นจุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่ของเขา
บาห์เรน 2014: การดวลกันกลางทะเลทราย (แชมป์ครั้งที่: 24)
ปี 2014 การแข่งขัน F1 ร้อนแรงที่สุดปีหนึ่ง เมื่อเมอร์เซเดสตกลงที่จะให้แฮมิลตัน และ นิโค รอสเบิร์ก ห้ำหั่นกันเองได้ และหนึ่งในสนามที่ทั้งคู่สู้กันอย่างสุดเดือดคือรายการบาห์เรนจีพี ที่ผู้ชมได้เห็นการดวลกันของสองยอดนักขับบนแผ่นดินทะเลทราย
ทั้งคู่สู้กันอย่างดุเดือดและเร่าร้อน ก่อนที่สุดท้ายแฮมิลตันจะคว้าแชมป์ได้และเป็นหนึ่งในชัยชนะที่สำคัญที่สุดของเขา
เยอรมนี 2018: การกลับมาที่ยิ่งใหญ่ (แชมป์ครั้งที่: 66)
ฮอคเคนไฮม์ 2018 คือหนึ่งในวันที่มหัศจรรย์ของแฮมิลตัน เมื่อเขาเสียโมเมนตัมให้แก่ เซบาสเตียน เวทเทล และยังทำพลาดในช่วงรอบควอลิฟาย ทำให้ต้องออกสตาร์ทในอันดับที่ 14 ซึ่งก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคว้าแชมป์ได้เลยหากออกสตาร์ทแย่กว่าที่ 6
แต่ถึงจะออกตัวในที่ 14 แฮมิลตันก็พิชิตสนามนี้ได้สำเร็จ และนำไปสู่การได้แชมป์โลกสมัยที่ 5 ของเขา
โมนาโก 2019: ข่มรัศมีคู่แข่งใหม่ (แชมป์สนามที่: 77)
แม็กซ์ เวอร์สแตพเพน ก้าวขึ้นมาเป็นซูเปอร์สตาร์คู่แข่งคนใหม่ของแฮมิลตัน ซึ่งเจอปัญหาใหญ่ในสนามเมื่อมีการเปลี่ยนยางผิดเบอร์ ทำให้เขาต้องแข่งไปแบบนี้กว่า 60 รอบสนาม แต่สุดท้ายเขาก็ยังเอาชนะได้อยู่ดี
ชัยชนะครั้งนี้มีความหมายพิเศษ เพราะนอกจากจะปรามคู่แข่งแล้ว ยังเป็นชัยชนะเพื่อ นิกิ เลาดา สุดยอดนักขับระดับตำนานผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนและเป็นที่ปรึกษาของแฮมิลตัน และเพิ่งจากไปก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน
โปรตุเกส 2020: ทำลายสถิติตลอดกาล (แชมป์สนามที่: 92)
หลังจากที่ทำสถิติทาบการคว้าชัยชนะ 91 สนามของ มิชาเอล ชูมัคเกอร์ ได้ในการแข่งขันที่เยอรมนีในสนามก่อนหน้านี้ แฮมิลตันรู้ตัวว่าเขาจะกลายเป็นตำนานบทใหม่ และมันทำให้เขารู้สึกประหม่า แต่ถึงจะไม่ใช่วันที่ขับได้ดีที่สุดเขาก็ยังควบเข้าเส้นชัยเป็นที่ 1
และได้เป็นตำนานบทใหม่ไปเป็นที่เรียบร้อย
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล
อ้างอิง: