ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด ได้กระตุ้นให้ผู้บริโภคหันไปช้อปออนไลน์มากขึ้นเรื่อยๆ และนั่นทำให้ทั้งบริษัทและนักลงทุนพยายามผสมผสานอีคอมเมิร์ซเข้ากับธุรกิจร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม เพื่อทำให้ธุรกิจสามารถก้าวไปข้างหน้าได้
ในปี 2008 ยอดขายอีคอมเมิร์ซคิดเป็น 3.6% ของยอดขายปลีกทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา ตามข้อมูลจาก eMarketer ขณะที่ Amazon เห็นว่าธุรกิจเติบโตขึ้นเป็น 10 เท่าในปี 2010 ด้าน Walmart ได้ก่อตั้งแพลตฟอร์มออนไลน์ของตัวเองขึ้นมา ไม่นับรวมผู้เล่นใหม่ๆ แบรนด์ค้าปลีกเกือบทุกแบรนด์ได้สร้างตัวตนขึ้นในโลกดิจิทัล ในขณะที่อีคอมเมิร์ซกำลังเฟื่องฟู ภายในปี 2020 ยอดขายออนไลน์คิดเป็น 14% ของยอดขายปลีกทั้งหมด
รายงานของ CNBC ระบุว่า การระบาดของโรคโควิดได้เร่งให้เติบโตมากยิ่งขึ้น โดยขณะนี้ยอดขายอีคอมเมิร์ซคาดว่าจะคิดเป็น 15.3% ของยอดขายปลีกทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้ ตามข้อมูลของ eMarketer และการเติบโตยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง ตัวเลขดังกล่าวคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 23.5% ของยอดขายทั้งหมดภายในปี 2025
“ผู้บริโภคต้องการประสบการณ์ที่ราบรื่น เขาหรือเธอต้องการที่จะสามารถโต้ตอบกับเราในร้านค้าของเราเช่นเดียวกับบนเว็บไซต์ของเรา ดังนั้น การสร้างประสบการณ์แบบ Omnichannel จึงมีความสำคัญในช่วงการระบาดใหญ่” ฮาร์มิต ซิงห์ ผู้อำนวยการสายการเงินของ Levi’s กล่าว
Levi’s มีร้านค้าในมือกว่า 3,000 แห่ง ซึ่งนอกเหนือจากการขายสินค้าทางออนไลน์ ในห้างสรรพสินค้าและร้านค้าปลีกอื่นๆ ยังได้มุ่งเน้นไปที่การขยายการลงทุนในการสร้างประสบการณ์แบบดิจิทัล ขณะเดียวกันยังคงให้ความสำคัญกับสิ่งที่ลูกค้าสัมผัสประสบการณ์การช้อปปิ้งด้วยตนเองอยู่เช่นกัน
ในปีงบประมาณ 2020 ของ Levi’s เกือบ 1 ใน 4 ของยอดขายมาจากการช้อปปิ้งออนไลน์ ไม่ว่าจะโดยตรงผ่านแพลตฟอร์มของ Levi’s หรือผ่านทางดิจิทัลของผู้ค้าส่ง ตัวเลขนี้นับว่าเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับปี 2015 ที่ยอดขายออนไลน์คิดเป็นสัดส่วนน้อยกว่า 10% ของธุรกิจทั้งหมด
ปีที่แล้ว Levi’s ได้เปิดตัวร้านทดลองแห่งใหม่ในเมืองพาโลอัลโต รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันให้มีการขายตรงสู่ผู้บริโภคมากขึ้นและขายส่งน้อยลง ร้านค้า NextGen มีฟีเจอร์ที่เน้นด้านดิจิทัลหลายอย่าง รวมถึงการผสานรวมกับแอปพลิเคชันของบริษัท การไปที่ร้านและการคืนสินค้าแบบไม่ต้องสัมผัส ตลอดจนจัดประเภทสินค้าคงคลังที่ขับเคลื่อนโดยข้อมูลลูกค้าในพื้นที่
ซิงห์กล่าวว่า Levi’s เปิดสาขาใหม่ 100 แห่งเมื่อปีที่แล้ว และมีแผนจะเปิดมากกว่า 100 แห่งในปีนี้ ร้านค้าเหล่านั้นบางส่วนจะเป็นร้านค้าที่มอบประสบการณ์ใหม่ ซึ่งบริษัทได้ประกาศไปก่อนหน้านี้
“เราขยายการลงทุนของเราในการขับเคลื่อนประสบการณ์ดิจิทัลมากขึ้น” ซิงห์กล่าว “เราสามารถทดสอบสิ่งต่างๆ และปรับขนาดสิ่งต่างๆ ด้วยความเร็วที่เราไม่สามารถทำได้ก่อนเกิดโรคระบาด และฉันคิดว่ามันช่วยบริษัทอย่างเราจริงๆ เพราะฉันคิดว่าเราสามารถคล่องตัวมากขึ้น”
ความสมดุลระหว่างประสบการณ์ในร้านค้าและออนไลน์ในช่วงการระบาดใหญ่ยังนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงวิธีที่ Levi’s คิดเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานการจัดจำหน่าย ซึ่งมีความสำคัญเพิ่มขึ้นท่ามกลางความท้าทายในห่วงโซ่อุปทาน
ซิงห์กล่าวว่ากลยุทธ์ Omnichannel ในด้านธุรกิจที่ผู้บริโภคต้องเผชิญ ทำให้บริษัทพิจารณาศูนย์กระจายสินค้าแบบเดิม ซึ่งบางแห่งก็ตอบสนองผลิตภัณฑ์สำหรับลูกค้าขายส่งเท่านั้น ในขณะที่ศูนย์กระจายสินค้าอื่นๆ ได้ให้บริการความต้องการของผู้บริโภคอีคอมเมิร์ซ ซึ่งทำให้เกิดวิธีการใหม่คือ การจัดส่งจากร้านค้า โดยพบว่าได้นำไปสู่ประสิทธิภาพของสินค้าคงคลัง และต้นทุนการบริการที่ต่ำลง
“ฉันคิดว่าเรื่องแบบนั้นจะสร้างความแตกต่างอย่างมาก ตอนนี้เรากำลังขยายขนาดการจัดส่งจากร้านไปทั่วโลก และเรากำลังตั้งศูนย์กระจายสินค้าแบบ Omnichannel เพิ่มเติมในยุโรปและส่วนอื่นๆ” ซิงห์กล่าว
อ้างอิง:
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP