อีเจฮุน นักแสดงมากความสามารถที่สร้างผลงานชิ้นมาสเตอร์พีซของตัวเองเอาไว้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งซีรีส์ทางโทรทัศน์ ภาพยนตร์ มิวสิกวิดีโอ รวมไปถึงบทบาทใหม่ในการก่อตั้งโปรดักชันเฮาส์ Hardcut ร่วมกับเพื่อนสนิทที่เป็นผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ นั่นแปลว่าชีวิตนี้เขาพร้อมจะทุ่มเทให้ทั้งหมดแล้วกับงานแสดงและผลิตคอนเทนต์ เพื่อช่วยให้โลกใบนี้น่าอยู่ขึ้น
โดยเฉพาะในปี 2021 น่าจะพูดได้ว่าเป็นปีของอีเจฮุนอย่างแท้จริง เพราะเขาได้รับบทนำในซีรีส์สะท้อนสังคมถึง 2 เรื่องคือ Taxi Driver และ Move to Heaven แม้ว่าคาแร็กเตอร์ที่ได้รับจะต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่อีเจฮุนก็แสดงศักยภาพความเป็นนักแสดงออกมาได้อย่างน่าประทับใจ อีกทั้งเนื้อหาของซีรีส์ก็ยังให้แง่คิดเป็นคีย์เมสเสจนอกเหนือจากความบันเทิง ซึ่งเป็นความตั้งใจส่วนตัวของอีเจฮุนที่มักจะเลือกงานที่มีความหมายต่อผู้ชมอยู่เสมอ
“เวลาที่ได้บทมา ผมจะตั้งใจศึกษาและสำรวจชีวิตของตัวละครนั้นๆ อย่างจริงจัง เพราะผมเองไม่ได้มีประสบการณ์ชีวิตมากมายนัก ก็เลยต้องพยายามมองโลกภายนอกเยอะๆ ว่าคนสมัยนี้เขาใช้ชีวิตกันอย่างไร อะไรที่กำลังเป็นเทรนด์ หรือเรื่องที่เป็นประเด็นและส่งผลต่อสังคมในตอนนี้
“ผมจะพยายามเรียนรู้เรื่องราวเหล่านั้นทั้งทางตรงและทางอ้อม เพราะในการตัดสินใจที่จะรับงานสักชิ้นหนึ่ง ผมไม่ได้เน้นที่บทบาทที่ได้รับเพียงอย่างเดียว แต่มุมมองทางสังคมต่างๆ ก็เป็นส่วนสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกรับงานของผมเหมือนกัน”
Move to Heaven (2021)
Taxi Driver (2021)
ถ้าพูดถึงจุดเริ่มต้นความสนใจด้านงานแสดงและภาพยนตร์ของอีเจฮุน ต้องย้อนไปในช่วงวัยเด็ก เขาชอบดูหนังมาตั้งแต่เล็กๆ และถึงทุกวันนี้การดูหนังคนเดียวยังเป็นกิจกรรมที่เขาชอบทำในวันว่าง จนมาช่วงที่เขาเข้าเป็นนักศึกษาสาขา Bioinformatics Engineering มหาวิทยาลัยเกาหลี ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสถาบันที่สอบเข้ายากที่สุดแห่งหนึ่ง แต่เมื่อรู้ตัวว่าการแสดงเป็นความฝันที่ตามหา อีเจฮุนตัดสินใจลาออก และเปลี่ยนไปเรียนด้านการแสดงอย่างจริงจังที่ Korea National University of Arts ในปี 2008 หลังจากเดบิวต์ในภาพยนตร์สั้น Ah, Man (2008) ตามมาด้วยผลงานภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง
เขาให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD ถึงช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงในครั้งนั้น ความกล้าหาญอะไรที่ทำให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งเปลี่ยนสายอาชีพแบบขั้วตรงข้าม
“ผมคิดว่าหลายคนไม่กล้าและกลัวที่จะทำในสิ่งที่อยากจะทำ แต่ตอนที่ผมคิดได้แล้ว ถ้าหากไม่กล้าที่จะลองก็คงไม่ได้สิ่งที่ฝันไว้ ในความเป็นจริงถึงแม้มันจะยาก แต่ถ้าลองทำทีละเล็กละน้อย ลองดูอีกครั้งน่าจะดีนะครับ
“การบรรลุเป้าหมายได้ เริ่มจากการเริ่มทำเลยครับ แน่นอนว่าจะมีหลายเหตุผลที่ห้ามไม่ให้ทำ แต่ทุกๆ วันมันผ่านไปอย่างเร็วมากนะครับ เพราะฉะนั้นสิ่งที่คิดไว้ ขอให้ทำไปเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจ เพราะเราได้ลองทำมันแล้ว ผมอยากจะพูดแบบนี้ครับ”
Just Friends? (2009)
ภาพยนตร์และซีรีส์ส่วนใหญ่มักจะเป็นผลงานที่มีความหมายและสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับประเด็นทางสังคม อย่างเช่นภาพยนตร์อินดี้ขนาดสั้น Just Friends? (2009) ที่เล่าถึงชีวิตรักแบบแฮปปี้เอนดิ้งของ LGBTQIA+ ที่เกิดขึ้นได้ แม้ความจริงแล้วเรื่องนี้จะยังเป็นประเด็นที่อ่อนไหวในสังคมอนุรักษนิยมของเกาหลีอยู่ก็ตาม
ตามมาด้วยภาพยนตร์ฟอร์มเล็กอย่าง Bleak Night (2011) เล่าถึงมิตรภาพที่แตกสลาย ปัญหาการบูลลี่ในโรงเรียน ความเจ็บปวดและเปราะบางที่วัยรุ่นต้องเผชิญเพียงลำพัง และสุดท้ายจบลงด้วยการฆ่าตัวตาย โดยผลงานนี้ถือว่าเป็นการแจ้งเกิดอย่างงดงามของอีเจฮุน เพราะเขาคว้ารางวัลนักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยมมาครองได้จากหลายเวที
แม้กระทั่งผลงานในช่วงหลังๆ ก็ยังคงเจตนารมณ์เดิมไว้อย่างเหนียวแน่น เช่น Signal (2016) ที่เป็นการนำคดีสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นจริงในเกาหลีมาดัดแปลงและถ่ายทอดออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งความผิดพลาดในกระบวนการยุติธรรมของเกาหลี รวมไปถึงมุมมองของครอบครัวผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ เพื่อสร้างความหวังและกำลังใจในการก้าวต่อไปข้างหน้า
“เหตุผลที่ผมเลือกซีรีส์ Signal เพราะอยากจะช่วยส่งเสียงของความโกรธและความเจ็บปวดของเหยื่อที่ต้องทนทุกข์กับอาชญากรรมที่ยังไม่ถูกคลี่คลาย เพราะบาดแผลและความโศกเศร้าที่เหยื่อและคนรอบข้างต้องเผชิญนั้นเป็นเรื่องที่ยากจะรับมือ และมันก็ไม่ง่ายที่จะเอาชนะสิ่งเหล่านี้ ถึงแม้ว่าผมจะไม่สามารถสัมผัสถึงความรู้สึกแบบเดียวกับพวกเขาได้ แต่อย่างน้อยก็ควรจะพยายามนึกถึงความรู้สึกเหล่านั้นในขณะที่แสดง เพื่อสื่อสารให้คนในสังคมได้รับรู้ถึงปัญหาที่เป็นอยู่”
Bleak Night (2011)
Signal (2016)
แพสชันอันแรงกล้า และความลุ่มหลงในการแสดงที่หยุดไม่อยู่
ถ้าถามว่าอีเจฮุนหลงรักการแสดงมากแค่ไหน สิ่งที่พิสูจน์ได้อย่างเป็นรูปธรรมก็น่าจะเป็นความพยายามในการ ‘เป็น’ ตัวละครนั้นๆ อย่างสมจริงที่สุด เพราะไม่ว่าจะรับบทบาทไหน อีเจฮุนก็มักจะใช้เวลาทั้งหมดที่มีเพื่อทุ่มเทกับมันอย่างเต็มที่เสมอ โดยเขาได้ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD ไว้ว่า
“หลังจากตัดสินใจเลือกงานแล้ว ผมจะทุ่มเทเวลาไปกับการค้นคว้าตัวละครทั้งในและนอกเวลางานครับ การจะทำความคุ้นเคยกับตัวละครนั้นต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง แต่ผมคิดว่ามันเป็นหน้าที่ที่ผมต้องทำให้ได้และต้องทำให้ดีครับ ผมมักจะจดบันทึกทุกตอน ทุกฉาก และจินตนาการว่าจะแสดงออกอย่างไร ทำงานร่วมกับทีมงาน ผู้กำกับ และเพื่อนนักแสดง แบ่งปันข้อมูลซึ่งกันและกัน เป็นสิ่งที่ต้องพยายามจินตนาการด้วยว่าจะทำให้ตัวละครนั้นเข้าถึงผู้ชมได้อย่างไร”
เพื่อรับบทในซีรีส์ Taxi Driver อีเจฮุนไปลงเรียนอย่างจริงจังเพื่อที่จะขับรถอย่างโลดโผนด้วยตัวเอง โดยไม่ใช้สแตนด์อินหรือมุมกล้อง
ซุ่มออกกำลังกาย 6 วันต่อสัปดาห์ นาน 4 เดือน เพื่อให้ตัวเองดูเหมือนนักมวยใต้ดินจริงๆ ในซีรีส์ Move to Heaven
กินโปรตีนเชกต่อเนื่อง 5 สัปดาห์ โดยไม่แตะอาหารแบบปกติ เพื่อให้ตัวเองเข้าถึงตัวละคร พัคยอล นักเคลื่อนไหวอิสระ ซึ่งเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์จริงที่ยืนหยัดต่อสู้กับแนวคิดอนาธิปไตย ในภาพยนตร์ Anarchist from Colony
ไม่ใช่แค่การศึกษาความรู้สึกภายในของตัวละครเท่านั้น แต่อีเจฮุนเคยให้สัมภาษณ์ว่ารูปลักษณ์ภายนอกก็มีอิทธิพลและส่งผลต่อทัศนคติในการแสดงของเขาด้วยเช่นกัน
“ปกติผมเป็นคนที่ชอบแต่งตัวเรียบร้อย แต่ช่วงที่ถ่ายทำภาพยนตร์ Time to Hunt ผมต้องแต่งตัวแนวสตรีทตลอด และกลายเป็นว่าเผลอหยิบมันมาใส่ในชีวิตจริงด้วย ผมคิดว่าการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอกก็เป็นขั้นตอนสำคัญในการพัฒนาตัวละคร และผมเองก็รู้สึกสนุกไปกับมันด้วยเช่นกัน”
Time to Hunt (2020)
ชีวิตจริงของอีเจฮุน ทั้งในมุมของการเป็นนักแสดงและซีอีโอ
ด้วยความคลั่งรักและทุ่มเทกับงานแสดงแบบสุดๆ กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้อีเจฮุนอยากจะต่อยอดเส้นทางของตัวเองไปสู่การเป็นผู้ผลิต โดยได้เปิดบริษัทโปรดักชันร่วมกับเพื่อนๆ และมีผลงานออกมาสู่สายตาผู้ชมแล้ว ล่าสุดคือ Unframed โปรเจ็กต์ภาพยนตร์สั้น 4 เรื่องที่กำกับโดยนักแสดง 4 คน ได้แก่ อีเจฮุน, ซนซอกกู, พัคจองมิน และชเวฮีซอ โดยหนึ่งในนั้นคือ Blue Happiness ที่อีเจฮุนลงมือกำกับและเขียนบทด้วยตัวเอง และได้ จองแฮอิน มาเป็นนักแสดงนำ
“ตอนนี้สิ่งที่ทำอยู่และอยากทำมากที่สุดคือการแสดงให้ดีที่สุด ผมอยากจะทำงานด้านการแสดงไปทั้งชีวิตเลยครับ
“ไม่นานมานี้ผมได้ทำบริษัทโปรดักชันร่วมกับเพื่อนๆ ในชื่อ Hardcut เหตุผลที่เริ่มทำธุรกิจเพราะอยากเรียนรู้ให้มากขึ้น ลองทำงานร่วมกับคนอื่นเพื่อผลิตงานที่ดีๆ ออกมา รวมถึงบริษัทดูแลนักแสดง Company On ที่ผมหวังว่าจะได้ร่วมงานกับเพื่อนนักแสดงที่เก่งๆ ในเร็วๆ นี้ ผมว่ามันคงจะดีไม่น้อยถ้าเราสามารถมีพื้นที่ให้ศิลปินมากมายเข้ามาและจากไป เป็นสถานที่ที่พวกเขาสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างอิสระได้โดยไม่ต้องจำกัดตัวเอง
View this post on Instagram
“แม้จะทำงานแสดงมามากกว่า 10 ปีแล้ว แต่ผมก็ยังมีความกังวลอยู่เสมอเวลาที่ต้องโชว์ด้านใหม่ๆ ของตัวเองออกมา ในการเป็นนักแสดง แม้จะสามารถเปลี่ยนสไตล์ของตัวเองไปได้เรื่อยๆ แต่คุณไม่สามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ หรือต่อให้เปลี่ยนโทนเสียง มันก็ยังยากที่จะกำจัดพื้นเสียงเดิมของตัวเอง เพราะฉะนั้นเวลาจะเริ่มทำงานแต่ละชิ้น ผมก็เลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทดลองและขัดเกลาตัวเองไปเรื่อยๆ เพื่อให้เป็นนักแสดงที่เก่งขึ้น
“และเพราะว่าผู้ชมต้องการเสพสิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา นักแสดงหน้าใหม่ก็เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ ผมจึงพยายามทำงานทุกชิ้นให้เหมือนเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้ทำ เพราะไม่อยากกังวลว่าจะมีนักแสดงคนอื่นมาแทนที่ หรือมีอะไรที่ผมไม่สามารถทำได้เหมือนอย่างคนอื่น ต่อจากนี้ก็เลยอยากจะตั้งใจทำงานต่อไปด้วยความคิดที่ว่า…อยากจะเป็นคนที่ไม่มีใครแทนที่ได้”
To Know:
- เหตุผลหนึ่งที่ทำให้อีเจฮุนรักการแสดงและสนใจงานภาพยนตร์ อาจเป็นเพราะเขาชอบดูหนังมาตั้งแต่เด็กๆ และจนถึงปัจจุบันนี้ การดูหนังคนเดียวคือกิจกรรมที่เขาชอบทำในวันว่าง นอกจากนี้ก็จะเป็นการไปกินอาหารอร่อยๆ กับเพื่อนสนิท ติดตามไลฟ์สไตล์ในวันชิลๆ ได้ที่ Instagram: leejehoon_Official
- แม้บทบาทในซีรีส์หลายๆ เรื่องของอีเจฮุนจะดูเข้มข้น จริงจัง แต่ตัวตนจริงของเขาค่อนข้างเป็นคนขี้เล่นและมีเสน่ห์ ถ้าอยากพิสูจน์ความน่ารักในมุมมองที่ไม่ค่อยได้เห็น แนะนำให้ตามไปดู Vlog ในช่อง YouTube: Company On
อ้างอิง:
- https://www.imdb.com/name/nm2043703/
- https://namu.wiki/w/%EC%9D%B4%EC%A0%9C%ED%9B%88
- https://www.koreatimes.co.kr/www/art/2022/04/688_309851.html
- https://daegorr.wordpress.com/2016/04/22/translation-lee-je-hoon-1st-look-vol-108-interview/
- https://www.soompi.com/article/1481254wpp/8-reasons-why-we-cant-help-but-fall-in-love-with-lee-je-hoon
- https://www.esquirekorea.co.kr/article/46663