วันนี้ (21 ตุลาคม) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ทนายตั้ม-ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษฐานฟอกเงินกับ สามารถ เจนชัยจิตรวนิช สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ จากกรณีที่มีคลิปเสียงซึ่งษิทราระบุว่าเป็นลักษณะการเรียกรับผลประโยชน์จากบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด โดยมี พ.ต.ต. วรณัน ศรีล้ำ โฆษก DSI เป็นตัวแทนรับมอบพยานหลักฐานแทน พ.ต.ต. ยุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทนอธิบดี DSI
พ.ต.ต. วรณัน กล่าวว่า วันนี้ษิทรานำตัวพยานคนสำคัญที่มีข้อมูลเกี่ยวกับการฟอกเงินมาส่งให้กับ DSI จากนี้ DSI จะพิจารณาและดำเนินการให้รวดเร็วต่อไป ส่วนประเด็นคดีดิไอคอนกรุ๊ปจะเข้าข่ายเป็นคดีในการดูแลของ DSI แล้วหรือไม่ เรื่องนี้ยังต้องพิจารณาแนวโน้มประกอบกับข้อเท็จจริง หากเข้าเงื่อนไขทางกฎหมายก็จะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง DSI กับตำรวจ โดยที่ดินที่ยึดอายัดมาก่อนหน้านี้ ยืนยันว่าเป็นของดิไอคอนกรุ๊ปจริง ซื้อมาจากบุคคลธรรมดา ไม่ใช่นิติบุคคล แต่ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีความสัมพันธ์อย่างไรกับผู้บริหารบริษัท
ด้านษิทรากล่าวว่า ประเด็นหลักที่ตนเองเดินทางมาขอให้ DSI ตรวจสอบคือกรณีคลิปเสียงที่สามารถเรียกรับผลประโยชน์จาก บอสพอล-วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ผู้บริหารบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ซึ่งพบว่าแต่ละเดือนเรียกเงินหลักแสนบาท การที่ขณะนี้บอสพอลถูกดำเนินคดีฐานฉ้อโกงประชาชนแล้ว ฉะนั้นบุคคลที่รับเงินจากผู้ต้องหาที่กระทำความผิดจะถือว่าผิดฐานฟอกเงินด้วยหรือไม่ จึงต้องให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ
หลักฐานที่จะยื่นให้ตรวจสอบการฟอกเงินของสามารถที่ตนนำมาด้วย มีทั้งคลิปเสียงการสนทนา เอกสารการโอนเงิน บันทึกความเคลื่อนไหวบัญชีเดือนตุลาคมของสามารถ และตัวพยานบุคคล โดยบุคคลนี้ยืนยันได้ว่าเป็นคนที่อยู่ติดกับสามารถ รู้เห็นในหลายเหตุการณ์ ตนจึงร้องขอ DSI ก่อนหน้านี้ให้พยายามนำบุคคลดังกล่าวเข้าโครงการคุ้มครองพยานเพื่อความปลอดภัยของตัวเขา ส่วนตัวเชื่อว่าหลักฐานทั้งหมดที่มีจะเอาผิดสามารถได้
ษิทรากล่าวต่อว่า พยานคนนี้อยู่กับสามารถมานานมากกว่า 5 ปี รู้เห็นว่ามีการนัดพบระหว่างสามารถกับผู้บริหารดิไอคอนกรุ๊ป ทั้ง 2 ฝ่ายพบกันล่าสุดเมื่อวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา ช่วงเวลา 20.00-20.40 น. ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใกล้กับที่ทำการบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด พร้อมกับ บอสปีเตอร์ หารือกันว่าจะทำอย่างไร เพราะขณะนั้นธุรกิจดิไอคอนกรุ๊ปเริ่มถูกพูดถึงอย่างแพร่หลาย ทั้งนี้ การที่พยานคนดังกล่าวออกมาเปิดเผยข้อมูลเป็นเพราะถูกทำร้ายร่างกายมาเป็นเวลานาน
ส่วนเงินที่โอนเข้าบัญชีสามารถทุกเดือนจะเข้าเพียงบัญชีส่วนตัวหรือเชื่อมโยงไปถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ตนขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ทำงาน เพราะเชื่อว่าพยานคนนี้ทราบรายละเอียดมากพอสมควร
ษิทรากล่าวถึงกรณีที่สำนักข่าวแห่งหนึ่งรายงานเกี่ยวกับขบวนการทนายความที่ออกมาเคลื่อนไหวกับผู้เสียหาย โดยมุ่งเน้นไปที่ทนายแบรนด์เนมคนหนึ่งว่า ตนเองและคณะทนายที่ออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่มีใครสนิทสนมกับนักการเมืองคนใด ไม่มีใครที่รับงานการเมืองอย่างแน่นอน หลังจากนี้เมื่อมีประเด็นการเมืองเข้ามาจะทำให้คดีสะดุดลงหรือไม่ เรื่องนี้ต้องอยู่ที่ผู้ดูแลกระทรวงยุติธรรม และต้องดูด้วยว่าเทวดาคนดังกล่าวจะศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน หลักฐานที่มีโยงไปถึงหรือไม่ ตนคิดว่าถ้าหลักฐานชัดเจน ผู้ใหญ่ในกระทรวงจะไม่ปล่อยเทวดานั้นไว้แน่นอน
“ต้องขอบอกว่าทนายทุกคนที่ออกมาเคลื่อนไหวเป็นผู้ที่เสียสละมาก ทุกคนออกมาเพื่อดำเนินคดีกับกลุ่มบอส ตนไม่รู้ว่าสื่อดังกล่าวต้องการจะช่วยเหลือประชาชนหรือต้องการทำอะไร ถึงทำการลักษณะแบบนี้” ษิทรากล่าว
หลังจากนั้นษิทราเชิญกลุ่มผู้เสียหายจากคดีแชร์ลูกโซ่ที่สามารถ ในฐานะประธานสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย เคยพาไปร้องขอความเป็นธรรมจากการลงทุนแชร์ลูกโซ่ที่ทำเนียบรัฐบาลและที่ DSI โดยกลุ่มผู้เสียหายระบุว่า ขณะนั้นสามารถรับปากกับกลุ่มว่าจะช่วยเดินหน้าทางคดีให้ โดยช่วงปี 2566 ที่เป็นการเลือกตั้งใหญ่ของประเทศ สามารถระบุกับพวกตนเองว่า “ถ้าผมช่วยคุณแล้ว รบกวนพวกคุณช่วยผมด้วยนะ”
ยอมรับว่าตอนนั้นกลุ่มผู้เสียหายมีอยู่ 414 คน ทั้งหมดตั้งใจเลือกพรรคของสามารถเพราะต้องการได้รับความช่วยเหลือคดีแชร์ลูกโซ่ แต่เมื่อการเลือกตั้งเสร็จสิ้น ปรากฏว่าสามารถกลับเงียบหายไปเลย
ษิทรายังกล่าวถึงการดำเนินคดีกับภรรยาของผู้ต้องหาที่มีพฤติการณ์เชิญชวนให้ประชาชนร่วมอบรมคอร์สออนไลน์และร่วมลงทุนกับดิไอคอนกรุ๊ปว่า ส่วนนี้คาดว่าเจ้าหน้าที่จะต้องรวบรวมพยานหลักฐานในส่วนของกลุ่มแม่ข่าย และกรณีของพิธีกรรายการหนึ่งที่มีแขกรับเชิญเป็นกลุ่มบอสจำนวนมาก ส่วนนี้ต้องพิจารณาอย่างละเอียดว่าเป็นเพียงการเปิดพื้นที่รายการหรือร่วมโฆษณาเกินจริง