ความคืบหน้ากรณีการเสียชีวิตของ บุ้ง-เนติพร เสน่ห์สังคม นักกิจกรรมกลุ่มทะลุวัง ที่เสียชีวิตวานนี้ (14 พฤษภาคม)
วันนี้ 15 พฤษภาคม ที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ กฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความประจำศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เดินทางเข้าพบแพทย์นิติเวช ในการติดตามการผ่าชันสูตรพลิกศพเนติพร เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิต
โดยกฤษฎางค์ระบุว่า วันนี้เป็นการชันสูตรพลิกศพตามกฎหมาย ทั้งนี้ คำแถลงของกรมราชทัณฑ์ระบุว่าบุ้งหัวใจล้มเหลว ซึ่งตนมองว่ากว้างเกินไป ตอนนี้ได้ปรึกษาแพทย์แล้วว่าจะต้องหาสาเหตุว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร จะได้กระจ่างชัดกับครอบครัว พี่น้อง และสังคม ซึ่งจะมีการดูทั้งกายภาพว่ามีบาดแผลหรือไม่ ถูกทำร้ายร่างกายหรือเปล่า หรือมีสารอันตรายต่อร่างกายหรือไม่ รวมทั้งมีสารอะไรหรือไม่ที่ทำให้หัวใจล้มเหลว
กระบวนการชันสูตรวันนี้ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง และจะทราบผลในเย็นวันเดียวกัน ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับการตรวจเลือดและสารคัดหลั่งต่างๆ ต้องมีการส่งไปตรวจกับผู้เชี่ยวชาญภายนอก ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 4 สัปดาห์จึงจะทราบผล
กฤษฎางค์กล่าวต่อว่า ยังมีประเด็นคาใจอยู่ว่ามีการดูแลรักษาที่ดีจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์หรือไม่ เพราะตัวบุ้งเองตั้งแต่ถูกศาลอาญากรุงเทพใต้ถอนประกันและได้ประกาศอดอาหารก่อนอาการทรุดหนัก จนกระทั่งวันที่ 4 เมษายน ได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ก่อนถูกส่งตัวกลับไปรักษาที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ โดยปัญหาทั้งหมดอยู่ตรงเรื่องการหมดสติเมื่อวานนี้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร มีการดูแลรักษาที่ดีหรือไม่
ขณะเดียวกันอีกประเด็นคือ กรณีที่ราชทัณฑ์ออกแถลงช่วงหนึ่งระบุว่า หลังจากที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้รับตัว เนติพร เสน่ห์สังคม จากโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2567 เนติพรรับประทานอาหารและน้ำปกติ ซึ่งแพทย์และพยาบาลได้รักษาและดูแลอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง แต่ยังมีอาการขาอ่อนแรงและบวมเล็กน้อย ผลเลือดมีภาวะโลหิตจางเล็กน้อย เกลือแร่ต่ำ
หากกรมราชทัณฑ์ระบุเช่นนี้ แล้วค่าเกลือแร่ต่ำเกิดขึ้นได้อย่างไร เรื่องนี้คือสิ่งที่ตนสงสัย เพราะหากค่าเกลือแร่ต่ำ เท่าที่ตนศึกษามาต้องอยู่ในภาวะที่ทางกายไม่สมบูรณ์
ทั้งนี้ ประเด็นที่บุ้งจะกินข้าวหรือไม่กินนั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่ประเด็นสำคัญคือ รัฐจะดูแลคนที่ยังไม่ถูกตัดสินว่าผิดได้อย่างมีคุณภาพหรือไม่ และหากวันหนึ่งศาลตัดสินยกฟ้องขึ้นมา แล้วเขามาตายในโรงพยาบาลฯ มองว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่สมควร
กฤษฎางค์กล่าวต่อว่า อีกประเด็นหนึ่งที่ค้างคาใจมากคือ การรักษาพยาบาลช่วงเช้าวานนี้ (14 พฤษภาคม) เวลาเด็กหมดสติไป หัวใจไม่ทำงาน โดยศักยภาพของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ดูแลไม่ได้ เพราะใช้เวลาปั๊มหัวใจนานกว่าจะส่งมาที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ตนจึงเกิดคำถามว่า ทำไมไม่ตัดสินใจส่งตัวก่อน
โดยทั้งหมดนี้ต้องถาม ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ตนกังวลใจ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ดังนั้นขอเรียกร้องตรงนี้เลยว่า ขอให้ทวีช่วยดูแลรักษาพยานหลักฐานต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเมื่อวานนี้ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไว้ให้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น
กฤษฎางค์กล่าวต่ออีกว่า จริงๆ แล้วความตายเป็นเรื่องปกติ ทุกคนต้องตายอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องการเมือง มันเป็นประเด็นที่ว่ามาตรฐานของรัฐซึ่งสะท้อนอะไรหลายอย่าง บางทีการที่ใครจะตายมันไม่ใช่ความผิดของศาล แต่ความผิดเริ่มต้นที่สิทธิในการประกันตัว ปล่อยตัว และยังไม่ได้ตัดสินให้ถึงที่สุด
“ผมไม่ได้พูดว่าต้องดูแลดีขนาดอดีตนายกรัฐมนตรีนะ แต่หมายถึงว่าทุกคนต้องเท่ากัน นี่คือสิ่งที่ตนอยากสอบถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม” กฤษฎางค์กล่าว
ขณะที่วันนี้ยังไม่มีการเคลื่อนร่างของบุ้งไปประกอบพิธีทางศาสนา ซึ่งจะเคลื่อนในวันพรุ่งนี้ (16 พฤษภาคม) โดยกำหนดการสวดพระอภิธรรมและพิธีฌาปนกิจศพ จะนำศพไปไว้ที่ศาลา 8 วัดสุทธาโภชน์ ลาดกระบัง และเริ่มสวดพระอภิธรรมในเวลา 19.00 น. ตั้งแต่วันที่ 16, 17 และ 18 พฤษภาคม และวันที่ 19 พฤษภาคม เวลา 16.00 น. ฌาปนกิจศพ
นอกจากนี้ทางครอบครัวขอความกรุณาและขอความร่วมมือสื่อมวลชนงดถ่ายภาพครอบครัวและอยู่ในพื้นที่ที่จัดเตรียมไว้ให้