ลอร่าในภาพยนตร์เรื่อง Wild at Heart ของผู้กำกับ เดวิด ลินช์
ภาพ: PolyGram filmed Entertainment / Sunset Boulevard / Corbis via Getty Images
เชื่อว่าหลายคนที่ได้ชม Marriage Story (2019) ยอดภาพยนตร์ดราม่าที่เล่าเรื่องปัญหาความสัมพันธ์และการหย่าร้างของคู่รักได้อย่างดุเดือดเข้มข้น คงรู้สึกทึ่งอยู่ไม่น้อยกับการแสดงอันยอดเยี่ยมของ ลอร่า เดิร์น ในบทบาท นอร่า ทนายความหญิงวัยกลางคนจอมเคี่ยว ผู้พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ นิโคล (สการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน) ชนะคดีและได้รับสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูกจาก ชาร์ลี (อดัม ไดรเวอร์) สามีผู้กำกับละครเวทีชื่อดัง
การแสดงของลอร่านั้นเรียกได้ว่าโดดเด่นถึงขั้นขโมยซีนสองพระนางในหลายฉากหลายตอน จนได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลามจากเหล่าผู้คนที่ได้ดูภาพยนตร์ และที่สำคัญบทบาทนี้ยังมอบสถานะตัวเต็งผู้ชนะรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมปี 2020 ให้กับเธอด้วย ซึ่งอีกไม่นานเราก็จะได้รู้กันแล้วว่าเธอจะสามารถคว้ารางวัลอันทรงเกียรตินี้มาครอบครองได้เป็นครั้งแรกหรือไม่ แต่ก่อนจะถึงวันนั้น เรามาทำความรู้จักกับผู้หญิงคนนี้ให้ลึกขึ้นอีกสักนิดดีกว่าว่าเธอเป็นใคร และผ่านผลงานอะไรมาบ้าง
ลอร่า อลิซาเบธ เดิร์น เกิดเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 1967 ณ ลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา โดยเธอเติบโตขึ้นในครอบครัวนักแสดง มีคุณพ่อ บรูซ เดิร์น และคุณแม่ ไดแอน แลดด์ นักแสดงรุ่นใหญ่มากฝีมือเป็นผู้เลี้ยงดู ซึ่งทั้งคู่มีลอร่าขณะกำลังถ่ายทำภาพยนตร์ที่แสดงร่วมกันเรื่อง The Wild Angels (1966)
ลอร่าในภาพยนตร์เรื่อง Rambling Rose
ภาพ: Seven Arts / Getty Images
หลังจากเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนียได้เพียงหนึ่งเทอม ลอร่าที่ขณะนั้นกำลังสนใจในศาสตร์ของการแสดงก็ได้สมัครเรียนที่ Lee Strasberg Theatre and Film Institute สถาบันการแสดงย่านยูเนียนสแควร์ นิวยอร์ก เพื่อเรียนรู้และฝึกฝนทักษะด้านการแสดงอย่างจริงจัง
จริงๆ แล้วความสนใจที่มีต่อวงการมายาของเธอเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงวัยเด็ก อ้างอิงจากคำพูดในบทสัมภาษณ์ของนิตยสาร Fortune ที่เธอเผยว่าตัวเองเคยรับบทสมทบในภาพยนตร์เรื่อง Alice Doesn’t Live Here Anymore (1976) ของผู้กำกับ มาร์ติน สกอร์เซซี เมื่ออายุ 7 ปี ซึ่งแม่ของเธอเป็นหนึ่งในนักแสดงของภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะความชอบรวมถึงอิทธิพลและแรงบันดาลใจที่ได้รับมาจากพ่อแม่ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ลอร่าเริ่มรู้สึกสนใจในการแสดงจริงๆ
บทบาทเล็กๆ จากภาพยนตร์เรื่อง Foxes (1980) ภาพยนตร์ดราม่าชีวิตวัยรุ่นที่มี โจดี้ ฟอสเตอร์ แสดงนำ คือผลงานเรื่องแรกในฐานะนักแสดงมืออาชีพของลอร่า ก่อนที่ภายหลังเธอจะตระเวนออดิชันไล่ล่าหาโอกาสในวงการบันเทิงไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ได้แสดงภาพยนตร์รวมถึงทีวีซีรีส์มากมายในบทบาทที่แตกต่างกันออกไป และช่วงเวลาที่ลอร่าเริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในวงกว้างจริงๆ เห็นจะเป็นช่วงปี 1985-1990 เนื่องจากเธอได้โอกาสแสดงในภาพยนตร์อย่าง Mask (1985), Smooth Talk (1985), Blue Velvet (1986) และ Wild at Heart (1990) ซึ่งเป็นผลงานที่ทำให้ลอร่าได้รับเสียงชื่นชมมากมาย อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการอันก้าวกระโดดของเธอ แถมนักวิจารณ์หลายคนยังให้การยอมรับในฝีมืออีกด้วย
ลอร่าในภาพยนตร์เรื่อง Jurassic Park
ภาพ: Murray Close / Sygma via Getty Images
เวลาล่วงเลยผ่านไปกว่าหนึ่งทศวรรษ ความสามารถของลอร่าเริ่มฉายแสงเปล่งประกายมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อปี 1992 เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลทางการแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Academy Awards หรือออสการ์เป็นครั้งแรกในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง Rambling Rose (1991) ที่แม่ของเธอร่วมแสดงด้วยในบทบาทสมทบ พร้อมสร้างประวัติศาสตร์เป็นแม่ลูกคู่แรกที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์จากผลงานการแสดงภาพยนตร์เรื่องเดียวกัน
ณ จุดนี้เรียกได้ว่าเส้นทางชีวิตในฮอลลีวูดของลอร่าค่อนข้างไปได้ดี หลายคนเริ่มรู้จักชื่อของเธอแล้ว โดยหลังประสบความสำเร็จจาก Rambling Rose เธอก็ได้รับบทบาทการแสดงที่น่าจดจำในภาพยนตร์อีกมากมายหลายเรื่อง เช่น Jurassic Park (1993), A Perfect World (1993), Citizen Ruth (1996), October Sky (1999), I Am Sam (2001), Jurassic Park III (2001), We Won’t Live Here Anymore (2004) ส่วนผลงานทางฝั่งทีวีก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น Afterburn (1993), Recount (2008) รวมถึงซีรีส์อย่าง Enlightened และ Big Little Lies ด้วย ซึ่ง 4 เรื่องหลังสุดที่เราเอ่ยถึงคือผลงานที่ทำให้ลอร่าสามารถคว้ารางวัลลูกโลกทองคำหรือ Golden Globes มาครองได้
ทางด้านชีวิตส่วนตัว ลอร่าเคยคบหากับ เบน ฮาร์เปอร์ ศิลปินชาวอเมริกันผู้ชนะรางวัลแกรมมี่มาแล้วถึง 3 ครั้ง ทั้งคู่แต่งงานเป็นสามีภรรยาในปี 2005 มีลูกด้วยกัน 2 คนชื่อ แอลเลอรี และจายา ฮาร์เปอร์ แต่โชคไม่ดีนักเพราะหลังจากใช้ชีวิตคู่ร่วมกันเพียงไม่กี่ปีก็เป็นอันต้องเลิกรา เนื่องจากฝ่ายสามีอย่างเบนได้ฟ้องหย่าลอร่าในปี 2010 โดยให้เหตุผลเรื่องปัญหาความแตกต่างที่เข้ากันไม่ได้ และสุดท้ายก็นำมาซึ่งการหย่าร้างของทั้งคู่เมื่อเดือนกันยายน ปี 2013
ลอร่า เดิร์น, นิโคล คิดแมน, โซอี้ คราวิตซ์, รีส วิเธอร์สปูน และเชลีน วูดลีย์ ที่งาน Golden Globes ปี 2018 หลังซีรีส์ Big Little Lies ชนะรางวัลสาขามินิซีรีส์ยอดเยี่ยม
ภาพ: Kevin Winter / Getty Images
ลอร่ายังเป็นคนที่ชอบทำงานการกุศลด้านต่างๆ เธอเคยออกมาสนับสนุนเรียกร้องให้ผู้คนตระหนักถึงกลุ่มผู้ป่วยดาวน์ซินโดรมผ่านนิตยสาร Ability อีกทั้งยังสนับสนุนในเรื่องสิทธิสตรี ความเท่าเทียมทางเพศ รวมถึงรณรงค์ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเรื่องความรุนแรงของอาวุธปืนและปัญหาสภาพภูมิอากาศโลกที่กำลังเข้าขั้นวิกฤตอยู่ในปัจจุบันด้วย
แม้ลอร่าจะไม่ใช่นักแสดงที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับซูเปอร์สตาร์ที่มักปรากฏตัวให้เห็นผ่านสื่ออยู่บ่อยๆ หรือถูกปาปารัซซีจับจ้องทุกฝีก้าว แต่อย่างน้อยเราเชื่อว่าหลายคนที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ต้องเคยเห็นหน้าค่าตาหรือเคยดูภาพยนตร์ที่เธอแสดงมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นบทบาทคุณแม่ในภาพยนตร์รักดราม่าอย่าง The Fault in our Stars ก็ดี หรือจะเป็นบทบาทพลเรือโทในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ฟอร์มยักษ์ Star Wars: The Last Jedi ก็ดี และที่สำคัญคือตอนนี้เธอได้กลายเป็นหนึ่งในนักแสดงยอดฝีมือแห่งวงการฮอลลีวูดไปแล้ว
ลอร่าชนะรางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากเรื่อง Marriage Story ที่งาน Critics’ Choice Awards ปี 2020
ภาพ: Kevin Winter / Getty Images for Critics Choice Association
อย่างไรก็ตาม ปี 2019 ที่ผ่านมานับว่าเป็นปีทองของลอร่า เพราะนอกจากจะได้รับบทรองที่โดดเด่นเกินหน้าเกินตาพระเอกนางเอกอยู่หลายฉากใน Marriage Story ภาพยนตร์ดราม่าชีวิตรักของผู้กำกับ โนอาห์ บอมบัค ที่ส่งให้เธอคว้ารางวัลมาแล้วหลายเวที โดยเฉพาะรางวัลใหญ่อย่าง Golden Globes, SAG Awards และ Critics’ Choice Awards ยังมีภาพยนตร์อีกหนึ่งเรื่องที่เธอได้ฝากฝีมือทางการแสดงอันสวยงามเอาไว้ นั่นก็คือ Little Women ภาพยนตร์พีเรียดดราม่าก้าวพ้นวัยของผู้กำกับหญิงสาวมาแรง เกรตา เกอร์วิก ที่ได้เข้าชิงออสการ์ 2020 ถึง 6 รางวัล รวมทั้งภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ภายในปีเดียวกัน นักแสดงมากฝีมืออย่างลอร่าจะได้รับบทบาทอันเฉิดฉายในสองภาพยนตร์ดีกรีผู้ท้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม หากแต่เป็นเพราะประสบการณ์ที่สั่งสมและความสามารถที่พัฒนามาตลอดเวลายาวนานหลายสิบปีในวงการนี้ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วเราก็ต้องมารอดูกันว่าเธอจะสามารถคว้ารางวัลตุ๊กตาทองตัวแรกกลับบ้านได้หรือไม่ หลังจากที่เคยมีชื่อเข้าชิงมาแล้ว 2 ครั้งในปี 1992 และ 2015
Cover Photo: Terence Patrick / Getty Images for Turner
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง: